Monday, 19 May 2025
กระทรวงอุตสาหกรรม

‘เอกนัฏ’ ลั่น ไม่ว่าผลสอบตึกถล่มจะออกมาอย่างไร แต่เหล็กของซิน เคอ หยวน ถือว่าสอบตก พร้อมปรับแผนส่งทีมสุดซอย ร่วมเจ้าหน้าที่ DSI เข้าตรวจสอบเก็บข้อมูลบริษัทฯแล้ว

(11 เม.ย. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า ขอปรับแผน ให้ชุดสุดซอยนำหมายศาลเข้าค้นบริษัท ซิน เคอ หยวน (SKY) พร้อม DSI และตำรวจสอบสวนกลาง

“สำหรับผม ไม่ว่าผลสอบสาเหตุของตึกถล่มโดยคณะกรรมการสอบสวนจะออกมาเป็นอย่างไร ผลทดสอบของเหล็ก SKY หรือ ซิน เคอ หยวน ถือว่าสอบตกไปแล้ว”

1. ตัวอย่างเหล็กใหม่ที่เก็บจากโรงงานที่ถูกปิดช่วงธันวาคม(จนถึงวันนี้) สอบตกไปสองรอบ และไม่อนุญาตให้ทดสอบใหม่อีกเป็นรอบที่สาม

2. ตัวอย่างที่ผมได้นำทีมไปเก็บจากบริเวณตึกถล่ม ท่ามกลางสื่อฯ ซึ่งในวันนั้น ผมไม่รู้ด้วยซํ้าว่าจะเจอเหล็กยี่ห้ออะไร ตัดเหล็กด้วยอุปกรณ์จากเหล็กท่อนยาวที่ประเมินว่าไม่ได้รับผลกระทบจากการถล่ม (ได้ถ่ายคลิปเก็บไว้ด้วย) ปรากฏว่าเหล็กข้ออ้อยของ SKY สอบตกไปสองรายการ ในขณะที่เหล็กของยี่ห้ออื่นผ่าน

สอบตกก็คือตก แม้ผลสอบสาเหตุตึกถล่มจะออกมาเป็นอย่างไร แต่ผลทดสอบของเหล็ก SKY ก็ไม่ผ่านอยู่ดี 

แต่หากทางเจ้าพนักงานจะประสานเจ้าหน้าที่ของกระทรวงอุตสาหกรรมไปร่วมเก็บหลักฐานเพิ่มเติมให้สมบูรณ์ ก็ยินดีให้ความร่วมมือครับ

อย่างไรก็ตาม จะต้องเร่งสืบค้นข้อมูล ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เหล็กที่ไม่ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะเหล็กที่ถูกนำออกสู่ตลาดไปก่อนหน้าที่โรงงานจะถูกปิดในช่วงธันวาคมที่ผ่านมา ให้ปรากฏต่อสาธารณะโดยเร็วที่สุด ระงับยับยั้งไม่ให้เกิดความเสียหายต่อไป

ซึ่งก่อนหน้า ทีมสุดซอยได้เข้าไปที่บริษัท SKY เพื่อตรวจสอบโรงงาน และได้ขอข้อมูลเกี่ยวกับเหล็กที่ถูกจำหน่ายออกไป 

แต่กลับพบความผิดปกติเกี่ยวกับกาก 'ฝุ่นแดง' ที่ปรากฏอยู่ในปริมาณมาก ราว ๆ 40,000-50,000 ตัน เกินปริมาณที่เคยได้แจ้งไว้ในระบบไปหลายเท่า จึงได้มีคำสั่งให้ทางบริษัทชี้แจง

แต่จนถึงวันนี้ ข้อมูลที่ได้รับจากบริษัทเกี่ยวกับการจำหน่ายเหล็กกลับไม่เป็นประโยชน์ ส่วนเรื่องฝุ่นแดง ก็ไม่ได้รับคำชี้แจงภายในระยะเวลาที่กำหนด

ผมจึงให้ชุดสุดซอยปรับภารกิจในวันนี้ จากเดิมจะไปร่วมเก็บหลักฐานที่บริเวณตึกถล่ม 

แต่เปลี่ยนให้นำหมายศาล ไปเข้าค้นบริษัท SKY พร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลาง และ DSI เพื่อนำคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด มาสืบค้นหาข้อมูลให้ได้

ซึ่งในขณะนี้ ทีมงานได้อยู่ในพื้นที่ปฏิบัติการแล้วครับ

‘โอ๋ สุดซอย’ นำ!! ‘DSI – ตำรวจสอบสวนกลาง - คณะกรรมการแข่งขันทางการค้า’ บุกทลายโกดัง ‘ซินเคอหยวน’ ค้นยึด เอกสาร เซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์ กล้องวงจรปิด

(12 เม.ย. 68) นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม หรือ ‘หัวหน้าทีมสุดซอย’ ได้โพสต์ข้อความ ถึงกรณี ‘ซินเคอหยวน’ โดยมีใจความว่า ...

ร่วมภารกิจสุดซอย ตรวจค้นและยึดเอกสาร คอมพิวเตอร์ เซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์ - กล้องวงจรปิดของ SKY และตรวจสอบเพิ่มเติมในส่วนของโกดังที่อยู่ด้านหลังที่ปิดตาย ยังพบฝุ่นแดงที่ซ่อนไว้อีกกว่า 13,000 ตัน หากรวมกับของเดิมที่พบก่อนหน้า 43,000 ตัน ก็เท่ากับว่ามีฝุ่นแดงที่พบทั้งหมด 56,000 ตัน…ยิ่งตรวจยิ่งเจอ ถือเป็นภารกิจสำคัญที่ต้องขยายผลตรวจสอบต่อไป

ขอขอบคุณความร่วมมือในการปฏิบัติภารกิจจาก DSI (กรมสอบสวนคดีพิเศษ) ตำรวจสอบสวนกลาง (บก.ปทส.) คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) มูลนิธิบูรณะนิเวศ (EARTH) และสื่อมวลชนทุกท่าน ที่ร่วมภารกิจสุดซอยในครั้งนี้ และยังมีอีกหลายภารกิจร่วมกันต่อจากนี้

และที่สำคัญขอขอบคุณ #ทีมสุดซอย สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กรมโรงงานอุตสาหกรรม และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ที่ทำงานกันอย่างหนักตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งเตรียมข้อมูล สืบค้น ตรวจหน้างานเพื่อหาหลักฐานบนข้อเท็จจริง

หลังจากนี้กรมโรงงานอุตสาหกรรมจะส่งข้อมูล เอกสาร เซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์-กล้องวงจรปิดทั้งหมด ให้กับ DSI เพื่อตรวจสอบและขยายผลต่อไป

‘เอกนัฏ’ ดันมาตรฐานใหม่บันไดเลื่อน-ทางเลื่อนอัตโนมัติ คุมเข้มความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล รองรับแผ่นดินไหว

(18 เม.ย. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2568 ได้มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมประเภท 'บันไดเลื่อน' และ 'ทางเลื่อนอัตโนมัติ' ต้องเป็นไปตามมาตรฐานใหม่ เพื่อยกระดับความปลอดภัยของประชาชน โดยจะมีผลบังคับใช้หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา 90 วัน คาดมีผลจริงภายในเดือนตุลาคม 2568

“ผมได้สั่งการให้ สมอ. เร่งผลักดันให้บันไดเลื่อนและทางเลื่อนอัตโนมัติเป็นสินค้าควบคุมตามกฎหมาย เนื่องจากเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่สาธารณะ เช่น ห้างสรรพสินค้า สนามบิน รถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน และอาคารสำนักงานต่าง ๆ โดยเฉพาะในยุคที่ภัยแผ่นดินไหวไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป มาตรฐานใหม่จึงต้องครอบคลุมถึงการรองรับเหตุแผ่นดินไหวด้วย” นายเอกนัฏ กล่าว

ด้านนายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยเพิ่มเติมว่า มาตรฐานฉบับใหม่นี้เป็นไปตามมาตรฐานสากล (ISO) ที่ทั่วโลกให้การยอมรับ โดยเฉพาะในด้าน ความปลอดภัยและระบบไฟฟ้า พร้อมเทคโนโลยีระบบตรวจจับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว เมื่อเกิดเหตุระบบจะหยุดทำงานโดยอัตโนมัติทันที

จุดเด่นของมาตรฐานใหม่ ได้แก่

1.ระบบตรวจจับแผ่นดินไหวเชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้า หยุดทำงานทันทีเมื่อเกิดแรงสั่นสะเทือน

2.มีโครงสร้างยึดติดแนวดิ่งป้องกันการเคลื่อนหลุดออกจากฐาน

3.ความยาว-ระยะเคลื่อนตัวสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของอาคาร

4.หยุดทำงานอัตโนมัติหากระบบเบรกขัดข้อง ความเร็วผิดปกติ หรือมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปติด

5.ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุในพื้นที่สาธารณะ

โดย ผู้ผลิต ผู้นำเข้า และผู้จำหน่าย จะต้องขอรับใบอนุญาต มอก.3778 เล่ม 1–2567 ให้แล้วเสร็จก่อนจำหน่าย โดยหากฝ่าฝืนจะมีความผิดตามกฎหมาย โดยเมื่อวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา สมอ. ได้จัดสัมมนาเตรียมความพร้อมแก่ผู้ประกอบการ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมถึง 92 ราย

ทั้งนี้ มาตรการใหม่นี้ไม่เพียงแต่ยกระดับความปลอดภัยของประชาชนในชีวิตประจำวัน แต่ยังเป็นการปรับมาตรฐานของประเทศให้ทันต่อสถานการณ์ภัยธรรมชาติ และเพิ่มความมั่นใจในการใช้โครงสร้างพื้นฐานสาธารณะของประชาชนทั่วประเทศ

‘เอกนัฏ’ ชง ‘กระดาษสัมผัสอาหาร’ เป็นสินค้าควบคุม หวังควบคุมโลหะหนัก คาดมีผลบังคับใช้ธันวาคม 2568

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลคุณภาพมาตรฐานของสินค้า ให้เข้มงวดในการตรวจควบคุมการผลิตและนำเข้าสินค้าให้เป็นไปตามมาตรฐาน รวมทั้ง ยกระดับการคุ้มครองความปลอดภัยให้แก่ประชาชน โดยเพิ่มจำนวนสินค้าที่ส่งผลกระทบกับความปลอดภัยให้เป็นสินค้าควบคุมมากขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการสกัดกั้นสินค้าด้อยคุณภาพที่ทะลักเข้ามา และให้เกิดความเป็นธรรมในการแข่งขันสำหรับผู้ประกอบการในประเทศ ล่าสุด เตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบมาตรฐานกระดาษสัมผัสอาหารเป็นสินค้าควบคุม คาดมีผลบังคับใช้ธันวาคม 2568 

“ผมได้สั่งการ สมอ. เร่งประกาศให้ กระดาษสัมผัสอาหาร และกระดาษสัมผัสอาหารสำหรับปรุงอาหารด้วยความร้อน ให้เป็นสินค้าควบคุมเพิ่มอีก 2 รายการ เนื่องจากเป็นสินค้าที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลายและหากเป็นสินค้าด้อยคุณภาพ อาจมีปริมาณโลหะหนักและสารเคมีเกินเกณฑ์มาตรฐานเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ รวมทั้งได้เตรียมความพร้อมให้แก่ผู้ประกอบการ ทั้งผู้ทำ ผู้นำเข้า ในการยื่นขอรับใบอนุญาตจาก สมอ. ก่อนที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้” นายเอกนัฏ กล่าว

นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า “มาตรฐานกระดาษสัมผัสอาหาร มอก. 2948-2562” เช่น จานกระดาษ ถ้วยกระดาษ และ “กระดาษสัมผัสอาหารสำหรับปรุงอาหารด้วยความร้อน มอก. 3438-2565” เช่น กระดาษรองอาหารที่ใช้ในหม้ออบลมร้อน หรือกระดาษอุ่นอาหารในไมโครเวฟ เป็นมาตรฐานด้านความปลอดภัยที่มีข้อกำหนดสำคัญ ในการควบคุมปริมาณโลหะหนัก ได้แก่ ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม และโครเมียม และสารเคมีในกระบวนการผลิตที่เป็นอันตราย ได้แก่ สารฟอกนวล และสารต้านจุลินทรีย์ ไม่ให้เกินเกณฑ์ที่มาตรฐานกำหนด รวมทั้งสารเคมีที่ใช้ต้องเป็นชั้นคุณภาพสัมผัสอาหาร (Food contact grade) เพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค โดยเฉพาะมาตรฐานกระดาษสัมผัสอาหารสำหรับปรุงอาหารด้วยความร้อน จะต้องผ่านการทดสอบที่อุณหภูมิความร้อนสูงสุด 175 องศาเซลเซียส โดยคาดว่ามาตรฐานดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ภายในเดือนธันวาคม 2568 นี้ ซึ่งจะมีผลให้ผู้ประกอบการทุกรายต้องทำ และนำเข้า เฉพาะสินค้าที่ได้มาตรฐานเท่านั้น หากฝ่าฝืนจะมีความผิดตามกฎหมาย โดยเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2568 สมอ. ได้จัดการสัมมนาเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้ประกอบการและผู้ที่เกี่ยวข้อง ในการขอรับใบอนุญาต ณ โรงแรมรามา การ์เด้นส์ กรุงเทพฯ โดยมีผู้ทำ ผู้นำเข้า และผู้จำหน่าย เข้าร่วมสัมมนาดังกล่าว จำนวนกว่า 330 ราย   

กระทรวงอุตฯ จับมือ สถาบันทดสอบและวิจัยของเกาหลีใต้ พัฒนางานด้านมาตรฐาน หนุน ‘อุตสาหกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม’

(5 พ.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 25 เมษายน ที่ผ่านมา กระทรวงอุตสาหกรรม โดย สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ได้ลงนามความร่วมมือด้านการมาตรฐานกับ Korea Testing & Research Institute (KTR) ซึ่งเป็นองค์กรด้านการทดสอบและวิจัยที่ดำเนินงานร่วมกับสถาบันมาตรฐานแห่งชาติของสาธารณรัฐเกาหลี เพื่อพัฒนาความร่วมมือด้านการมาตรฐาน การตรวจสอบรับรองในด้านความปลอดภัย โดยมุ่งเน้นด้านเทคโนโลยีสีเขียว และความเป็นกลางทางคาร์บอน ซึ่งปัจจุบัน สมอ. กำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมด้านสิ่งแวดล้อม (BCG) แล้ว จำนวน 757 มาตรฐาน เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า แผงโซลาร์เซลล์และแผงโซลาร์เซลล์มือสอง ปูนซิเมนต์ไฮดรอลิก ฉนวนกันความร้อน     ฟิล์มติดกระจกประสิทธิภาพพลังงาน เครื่องย่อยสลายขยะชีวภาพด้วยจุลินทรีย์ ระบบสูบน้ำด้วยระบบเซลล์แสงอาทิตย์ กระจกสะท้อนแสง  ยางล้อสูบลม  และคอนกรีตผสมเสร็จสำหรับสภาพแวดล้อมทางทะเล เป็นต้น

“การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยสนับสนุนการพัฒนาด้านการมาตรฐานของไทยในระดับสากล โดยเฉพาะมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสีเขียวและความเป็นกลางทางคาร์บอน ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนนโยบายด้านพลังงานของประเทศไทยที่มุ่งเน้นการใช้พลังงานสะอาด ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และบรรเทาปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการยกระดับอุตสาหกรรมไทยให้แข่งขันได้ในระดับนานาชาติได้อย่างยั่งยืน” 

“สาธารณรัฐเกาหลีเป็นคู่ค้าสำคัญอันดับที่ 13 ของไทย โดยในปี 2567 มีมูลค่าการค้าทวิภาคี รวมกว่า 15,280 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 520,586 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.64% จากปี 2566 โดยสินค้าส่งออกหลักของไทยที่ส่งไปสาธารณรัฐเกาหลี ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาง น้ำมันสำเร็จรูป แผงวงจรไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม และน้ำตาลทราย รวมทั้งยังเป็นผู้ลงทุนสำคัญอันดับที่ 11 ของไทย มีมูลค่าการลงทุนรวม 215 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 7,325 ล้านบาท ในสาขาอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า เหล็กกล้าและวัตถุดิบ เคมีภัณฑ์และปิโตรเคมี เครื่องจักรและยานพาหนะ อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และอุตสาหกรรมการแพทย์”

นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า การลงนามความร่วมมือระหว่าง สมอ. กับ KTR ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางวิชาการด้านการมาตรฐาน การตรวจสอบและรับรองในสาขาความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยีสีเขียวและความเป็นกลางทางคาร์บอน ผ่านการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางวิชาการ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การจัดสัมมนาทางวิชาการ กระบวนการทดสอบ การฝึกอบรมเสริมสร้างศักยภาพของบุคลากรของทั้งสองหน่วยงานตามแนวปฏิบัติสากล รวมถึงกิจกรรมที่เกี่ยวข้องตามที่คู่ภาคีมีความสนใจร่วมกัน ถือเป็นการเริ่มต้นความร่วมมืออย่างเป็นทางการระหว่างสองหน่วยงาน โดยหลังจากนี้จะดำเนินการจัดประชุมวางแผนจัดกิจกรรมทางวิชาการด้านการมาตรฐาน การตรวจสอบและรับรองต่อไป

‘เอกนัฏ’ ส่ง!! ‘ทีมสุดซอย’ กำราบ โรงงานเหล็ก BNSS ในนิคมฯ เมืองชลฯ ลงดาบ 5 ข้อหาโทษหนัก จำคุก 10 ปี ตั้งสอบ จนท. ฐานปล่อยผีเหล็ก IF ระบาด

(10 พ.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้ นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม หัวหน้าชุดปฏิบัติการตรวจสุดซอยของกระทรวงอุตสาหกรรม หรือ ‘ทีมสุดซอย’ พร้อมด้วย กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ลงพื้นที่ บริษัท บี เอ็น เอส เอส สตีลกรุ๊ป จำกัด จังหวัดชลบุรี เพื่อตรวจสอบกระบวนการผลิตและคุณภาพผลิตภัณฑ์เหล็กที่ผลิตจากโรงงานนี้ ตามที่ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนจังหวัดภูเก็ตว่า ซื้อเหล็กเส้นจากโมเดิร์นเทรดแห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต เพื่อนำไปสร้างอาคาร แต่เมื่อนำมาดัดโค้งงอปรากฎว่าเหล็กหัก จึงได้ประสานมายังทีมสุดซอยเพื่อตรวจสอบ 

“เบื้องต้นเจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมจังหวัดภูเก็ตนำตัวอย่างเหล็กจากหน้างานบริเวณที่ก่อสร้าง ส่งมาตรวจวิเคราะห์ที่สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย พบเหล็กที่ส่งมาตรวจทั้ง 10 ท่อนไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ตกค่าโบรอนทั้งหมด“ นายเอกนัฏ กล่าว

นางสาวฐิติภัสร์ กล่าวเสริมว่า จากการตรวจสอบผลิตภัณฑ์เหล็กข้ออ้อย มีอักษร BNS DB16 SD4oT IF กำกับ ซึ่งเป็นเหล็กที่ผลิตโดย บริษัท บี เอ็น เอส เอส สตีลกรุ๊ป จำกัด จดทะเบียนประกอบกิจการผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต ชนิดเหล็กเส้นกลม เหล็กข้ออ้อย และเหล็กรูปพรรณ ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมชลบุรี ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่ใช้เตาหลอมแบบ IF ทำให้ไม่สามารถควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้มีมาตรฐาน ตรวจพบการกระทำความผิดหลายเรื่อง อาทิ ไม่ขออนุญาตแจ้งเดินเครื่องจักร ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐาน EIA ติดตั้งเครื่องจักรเพิ่มเติมที่เข้าข่ายขยายโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต เหล็กไม่เป็นไปตามมาตรฐานในส่วนของค่าโบรอน ซึ่งตรงกับผลการตรวจวิเคราะห์ล่าสุดโดยสถาบันเหล็กฯ ตามที่ประชาชนจังหวัดภูเก็ตร้องเรียนมา และยังมีกรณีลักลอบจำหน่ายกากอุตสาหกรรมด้วย

”โรงงานแห่งนี้มีพฤติกรรมทำผิดเป็นระบบ ไม่เกรงกลัวกฎหมาย ลักลอบประกอบกิจการ ฝ่าฝืน กฎหมายหลายฉบับ จึงต้องจัดการให้เด็ดขาด” นางสาวฐิติภัสร์ ระบุ

นางสาวฐิติภัสร์ กล่าวต่อว่าจากการตรวจสอบเชิงลึกพบสัญญาว่าจ้างผลิตเหล็กของ บริษัท เวล เอสทาบลิช จำกัด ที่มีสำนักงานตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกัน และเมื่อตรวจสอบจากเอกสารภายในบริษัท ประกอบคำบอกเล่าของพนักงานพบว่า มีความเชื่อมโยงเป็นเครือข่าย และมีการตั้งบริษัทเพื่อรับเป็นนายหน้าจัดหาวัตถุดิบและจำหน่ายเหล็ก ซึ่งในวันที่เข้าตรวจค้นยังพบพฤติกรรมต้องสงสัยของชาวจีนหลายคน ซึ่งในส่วนนี้ กขค. จะขยายผลและเร่งตรวจสอบโดยเร็วต่อไป เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งดำเนินคดีกับบริษัทฯ 5 ข้อหา คือ 
1. ทำผลิตภัณฑ์ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน โทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 ล้าน หรือทั้งจำและปรับ 
2. ติดเครื่องหมาย มอก. บนผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน โทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 ล้าน หรือทั้งจำและปรับ 
3. จำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำและปรับ 
4. ทำลายเครื่องหมายและป้ายคำเตือนที่เจ้าพนักงานยึดอายัดของกลาง โทษคดีอาญาจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำและปรับ  
5. เคลื่อนย้ายทำลายของกลางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำและปรับ พร้อมสั่งให้บริษัทฯ รีบดำเนินการเรียกคืนผลิตภัณฑ์เหล็กที่จำหน่ายออกสู่ท้องตลาดกลับมาทั้งหมด และให้แจ้งรายละเอียดการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็กของบริษัทฯ ทั้งหมดภายใน 7 วัน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้แจ้งให้ผู้รับไปจำหน่ายและประชาชนทราบโดยเร็ว

“นอกจากนี้จะเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สอบข้อเท็จจริงเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องด้วยว่า เหตุใดถึงปล่อยให้บริษัทฯ แห่งนี้มีการฝ่าฝืนทำผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้กระทรวงอุตสาหกรรมต้องขอบคุณประชาชนที่เป็นหูเป็นตาให้ความร่วมมือในการร่วมกำจัดปัญหาโรงงานเถื่อนที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายให้สิ้นซากไป” นางสาวฐิติภัสร์ กล่าวทิ้งท้าย

‘โอ๋-ฐิติภัสร์’ เผยไทยกำลังสูญเสียจากนิคมศูนย์เหรียญ ชี้ สินค้าไม่ได้มาตรฐานทำเสียชื่อ Made in Thailand

น.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า นิคมศูนย์เหรียญ ที่ทำเราสูญเสีย‼️

ต้องการเอาตัวรอดจากกำแพงภาษี ถือโอกาสมาเช่าโกดังพร้อมใบอนุญาตโรงงาน 

เครื่องจักรและวัสดุนำเข้ามาจากต่างประเทศ 100 % ใช้แรงงานไทยและต่างด้าวประกอบวัสดุขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์ทั้งปลั๊กพ่วง ปลั๊กราง สายรัดของ แม่แรงยกรถ ส่งออกไปขายอเมริกา ติดโลโก้ Made in Thailand แต่ไม่มีใบอนุญาตโรงงานบ้าง ไม่แจ้งประกอบกิจการบ้าง ใบอนุญาตโรงงานให้ทำสินค้าอย่างหนึ่งแต่ทำอีกอย่าง และที่สำคัญผลิตภัณฑ์บางตัวต้องแจ้งสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ก่อนผลิตแต่ไม่แจ้งลักไก่ผลิตเตรียมส่งออกเลย

หากผลิตของไม่ดี ไม่มีมาตรฐานก็ทำเสียชื่อ Made in Thailand และผู้ประกอบดีรายอื่นก็จะได้รับผลกระทบด้วย 

ถือเป็นนโยบายเร่งด่วนของ รมว. เอกนัฏ ที่สั่งให้เร่งปราบและจัดการดำเนินคดีหากใครฝ่าฝืนกฎหมาย เพราะไม่เพียงสร้างผลกระทบกับอุตสาหกรรมภาพรวมแล้ว ยังทำให้สินค้าไทยต้องสูญเสียความเชื่อมั่นจากต่างประเทศด้วย

ขอบคุณท่าน สส.ท็อป ชุติพงศ์ ผู้แทนของชาวระยอง แจ้งเบาะแสพบกลุ่มโรงงานต้องสงสัยลักลอบประกอบกิจการที่ อ.ปลวกแดง จ.ระยอง ในครั้งนี้ด้วยค่ะ

‘เอกนัฏ’ ลั่น!! ต้องปิดเกม ‘นิคมศูนย์เหรียญ’ ส่ง ‘สุดซอย’ บุกระยอง ชักปลั๊ก!! หยุดกิจการ

(17 พ.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้ นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม หัวหน้าชุดปฏิบัติการตรวจสุดซอยของกระทรวงอุตสาหกรรม หรือ 'ทีมสุดซอย' พร้อมด้วย กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) ลงพื้นที่ ต.ตาสิทธิ์ อ.ปลวกแดง จ.ระยอง หลังได้รับการประสานงานจาก นายชุติพงศ์ พิภพภิญโญ สส.ระยอง พรรคประชาชน ให้เข้าตรวจสอบกลุ่มโรงงานและโกดังต้องสงสัยที่อาจเข้าข่ายตั้งเป็นนิคมจีนศูนย์เหรียญ รวมทั้งยังมีประชาชนบริเวณใกล้เคียงร้องเรียนว่า ได้รับผลกระทบด้านมลภาวะจากกลุ่มโรงงานดังกล่าวด้วย 

“นิคมศูนย์เหรียญ เป็นวาระสำคัญ กระทรวงอุตสาหกรรมต้องเร่งปราบปราม แก้ไขอย่างเร่งด่วน เป็นโมเดลธุรกิจ ที่เอารัดเอาเปรียบ ไม่ก่อให้เกิดมูลค่า ทำลายสิ่งแวดล้อม ทำร้ายชีวิตคน ทำร้ายธุรกิจไทย ไร้ความรับผิดชอบ ไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง เป็นอันตรายต่อระบบเศรษฐกิจไทยอย่างร้ายแรง“ นายเอกนัฏ ระบุ 

นางสาวฐิติภัสร์ กล่าวเสริมถึงผลการลงพื้นที่ตรวจสอบกลุ่มโรงงานที่ ต.ตาสิทธิ์ อ.ปลวกแดง จ.ระยอง ว่า ในพื้นที่มีอาคารลักษณะโกดังจำนวน 4 หลังเป็นของ บริษัท ซีเอสเค เอสเตรท จำกัด ประกอบกิจการให้เช่าพื้นที่โรงงานและโกดัง มี นายหว่าน ชิว เฉิน รับเป็นเจ้าของโครงการบริหารจัดการดูแลพื้นที่ทั้งหมด โดยมีข้อเสนอพิเศษให้ผู้เช่าว่า สามารถขอใบอนุญาตโรงงาน (รง.4) ให้ได้ด้วย โดยพบว่า 4 โกดังในพื้นที่มี 5 บริษัทที่มีกรรมการบริษัทเป็นชาวจีนทั้งหมดตั้งประกอบกิจการโรงงานอยู่ ตรวจสอบใบอนุญาตโรงงานพบข้อพิรุธว่า เกือบทุกบริษัทได้รับโอนใบอนุญาตจาก บริษัท ซีเอสเค เอสเตรท จำกัด และประเภทของใบอนุญาตก็จะมีลักษณะคล้ายหรือใกล้เคียงกัน แต่ในข้อเท็จจริงแต่ละโรงงานผลิตสินค้าที่แตกต่างกัน 

“กรณีของบริษัท ซีเอสเคฯ ในฐานะผู้ให้เช่าโกดังมีใบอนุญาตประเภทเดียวกันจำนวน 3-4 ใบ และยังสามารถโอนไปยังผู้เช่าโกดังในห้วงเวลาเดียวกัน ต้องไปไล่ดูว่า มีช่องโหว่ในกระบวนการขออนุญาตของ กรอ. หรือมีเจ้าหน้าที่ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ เอื้อประโยชน์ หรือสนับสนุนผู้ประกอบการกระทำความผิดหรือไม่ด้วย“ นางสาวฐิติภัสร์ กล่าว 

นางสาวฐิติภัสร์ เปิดเผยถึงผลการตรวจสอบโรงงานทั้งหมด ดังนี้ 

1.บริษัท ซานเซน อิเล็คทริคอล (ประเทศไทย) จำกัด แจ้งประกอบกิจการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ปลั๊กไฟ ปลั๊กราง และสายไฟ โดยไม่แจ้งขออนุญาตเริ่มประกอบกิจการ เจ้าหน้าที่จึงสั่งหยุดประกอบกิจการทั้งหมด พร้อมดำเนินคดีฐานประกอบกิจการโดยไม่แจ้ง และฐานทำผลิตภัณฑ์ โดยไม่มีใบอนุญาต รวมถึงจำหน่ายผลิตภัณฑ์โดยไม่มีมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) กับบริษัทและกรรมการ รวมทั้งยึดอายัดผลิตภัณฑ์ มูลค่ากว่า 2 ล้านบาท 

2.บริษัท ชุนเล่ย (ไทยแลนด์) จำกัด แจ้งประกอบกิจการโรงงานผลิต นำเข้า ส่งออก เชือกรัด สายรัด สลิง เชือกยกของหัวเข็มขัด ตัวล็อกและชิ้นส่วนอุปกรณ์ ซึ่งเป็นกิจการโรงงานจำพวกที่ 3 ที่จะต้องได้รับใบอนุญาตก่อนจึงจะดำเนินกิจการได้ แต่ตรวจพบว่า ประกอบกิจการผลิตสายรัดของ ซึ่งไม่ตรงกับประเภทหรือชนิดของโรงงานที่ได้รับอนุญาต จึงสั่งให้หยุดประกอบกิจการ พร้อมดำเนินคดีกับบริษัทและกรรมการ ฐานประกอบกิจการไม่ตรงกับที่ได้รับอนุญาต 

3.บริษัท จินต๋า พรีซิชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ประกอบกิจการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แต่พบว่ามีการแบ่งพื้นที่ให้ บริษัท แฮนด์ดีแจ็ค อีควิปเมนท์ จำกัด ประกอบกิจการผลิตแม่แรงไฮดรอลิก แต่ตั้งประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาตอยู่ด้วย จึงได้สั่งหยุดประกอบกิจการทั้งหมด พร้อมผูกมัดประทับตรายึดอายัดเครื่องจักร และควบคุมตัว นายยู่ เจียงหัว อายุ 36 ปี สัญชาติจีน ที่รับเป็นผู้จัดการผู้ควบคุมงานของบริษัทไปดำเนินคดีข้อหาตั้งประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต 

"การปราบปรามนิคมจีนศูนย์เหรียญ เป็นวาระเร่งด่วน และนโยบายสำคัญของ กระทรวงอุตสาหกรรม จึงต้องเร่งจัดการให้หมดไปโดยเร็ว และจะดำเนินคดีลงโทษกับผู้กระทำความผิดอย่างถึงที่สุด ซึ่งทีมสุดซอยจะรวบรวมข้อมูลเป็นรายสรุปนำเสนอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ไปถึงผู้บริหารกระทรวงฯ ถึงพฤติกรรม และรูปแบบดำเนินกิจการของกลุ่มบุคคลเหล่านี้ เพื่อนำไปสู่การปรับระเบียบ หลักเกณฑ์การพิจารณาออกใบอนุญาตต่าง ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัยปัจจุบันและสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป“ นางสาวฐิติภัสร์ กล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top