Sunday, 8 June 2025
ค้นหา พบ 48635 ที่เกี่ยวข้อง

จีนปล่อยจรวด CERES-1 บรรทุกดาวเทียม 8 ดวงทะยานอวกาศ หนุนการสำรวจทางวิทยาศาสตร์และการให้บริการด้านการสื่อสาร

(18 มี.ค. 68) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า จีนประสบความสำเร็จในการปล่อยจรวดขนส่งซีอีอาร์อีเอส-1 (CERES-1) ซึ่งบรรทุกดาวเทียม 8 ดวงขึ้นสู่อวกาศ โดยจรวดทะยานขึ้นจากศูนย์ปล่อยดาวเทียมจิ่วเฉวียน ในเขตมองโกเลียใน ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ เมื่อเวลา 16.07 น. ตามเวลาปักกิ่ง

โดยการปล่อยจรวดซีอีอาร์อีเอส-1 เป็นส่วนหนึ่งของภารกิจสนับสนุนเทคโนโลยีอวกาศและการสื่อสารของจีน โดยดาวเทียมที่บรรทุกขึ้นไปจะถูกนำไปใช้สำหรับการสำรวจทางวิทยาศาสตร์ การสังเกตการณ์ระยะไกล และการให้บริการด้านการสื่อสาร

จรวดขนส่ง ซีอีอาร์อีเอส-1 เป็นจรวดเชื้อเพลิงแข็งขนาดเล็กที่พัฒนาโดย บริษัท Galactic Energy ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทเอกชนชั้นนำของจีนด้านการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ โดยภารกิจครั้งนี้ถือเป็นการปล่อยจรวดซีอีอาร์อีเอส-1 รุ่นใหม่ที่มีการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น

การปล่อยจรวดครั้งนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมอวกาศจีน ที่ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มีการลงทุนมหาศาลในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านอวกาศ ไม่ว่าจะเป็น โครงการสถานีอวกาศเทียนกง การส่งยานสำรวจไปยังดวงจันทร์และดาวอังคาร รวมถึงการพัฒนาจรวดขนส่งเชิงพาณิชย์ที่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้

นอกจากนี้ จีนยังสนับสนุนบริษัทเอกชนในการพัฒนายานอวกาศและระบบขนส่งดาวเทียมให้มีต้นทุนต่ำลง แต่ยังคงมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งจะช่วยให้สามารถปล่อยดาวเทียมได้บ่อยขึ้น และรองรับการใช้งานที่หลากหลายมากขึ้น

สำหรับศูนย์ปล่อยดาวเทียมจิ่วเฉวียน (Jiuquan Satellite Launch Center) ถือเป็นหนึ่งในศูนย์ปล่อยจรวดที่สำคัญของจีน ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ และเป็นฐานปล่อยหลักของโครงการอวกาศจีนหลายโครงการ ทั้งด้านการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ การทหาร และการพาณิชย์

ทั้งนี้ การปล่อยจรวดซีอีอาร์อีเอส-1 สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของศูนย์ปล่อยจิ่วเฉวียนในการสนับสนุนภารกิจอวกาศที่หลากหลาย โดยเฉพาะการปล่อยดาวเทียมขนาดเล็กที่มีความต้องการสูงขึ้นในปัจจุบัน

บีโอไอ เคาะส่งเสริม รถไฟฟ้าสีส้ม – ดาต้า เซ็นเตอร์ ลงทุนกว่า 2 แสนล้าน ยกระดับนิเวศดิจิทัลรองรับยุค AI

(18 มี.ค. 68) บอร์ดบีโอไอ อนุมัติส่งเสริมลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 4 โครงการใหญ่ มูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท 
ทั้งรถไฟฟ้าสายสีส้ม และ Data Center 3 แห่งจากบริษัทไทย จีน และสิงคโปร์ เสริมแกร่งระบบนิเวศดิจิทัล รองรับยุค AI พร้อมสนับสนุนให้เอกชนร่วมลงทุนกิจการโรงพยาบาลของรัฐ ยกระดับบริการทางการแพทย์อย่างทั่วถึง

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 
17 มีนาคม 2568 การประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ที่มีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายก รัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญขนาดใหญ่ 4 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุนกว่า 200,000 ล้านบาท ได้แก่ 

โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ของบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เงินลงทุน 109,210 ล้านบาท และโครงการ Data Center 3 โครงการจากประเทศไทย จีน และสิงคโปร์ ได้แก่ (1) บริษัท จีเอสเอ ดาต้า เซนเตอร์ 02 จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่ม Gulf, Singapore Telecommunications และ AIS เงินลงทุน 13,480 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี  (2) บริษัท Beijing Haoyang Cloud Data Technology จากประเทศจีน เงินลงทุน 72,670 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง (3) บริษัทในเครือ Empyrion Digital ประเทศสิงคโปร์ เงินลงทุน 4,720 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร 

“Data Center ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น สำหรับรองรับความต้องการในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลและการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยี AI การที่มีบริษัทระดับโลกเข้ามาลงทุนจัดตั้ง Data Center ในไทยก่อให้เกิดประโยชน์หลายด้าน นอกจากจะส่งเสริมให้ไทยเป็นดิจิทัลฮับของภูมิภาคแล้ว ยังช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการและประชาชนได้เข้าถึงบริการของศูนย์ข้อมูลและบริการคลาวด์ที่มีมาตรฐาน มีความปลอดภัยสูง และมีความเสถียรในการให้บริการดิจิทัล ลดต้นทุนบริษัทในการทำศูนย์ข้อมูลของตนเอง ช่วยรักษาข้อมูลสำคัญให้ถูกเก็บและประมวลผลในประเทศซึ่งจะเป็นประโยชน์ด้านความมั่นคง ช่วยสนับสนุนการใช้แอปพลิเคชันและเทคโนโลยีดิจิทัลในการยกระดับภาคส่วนต่าง ๆ อีกทั้งจะส่งผลดีต่อธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโทรคมนาคม สาธารณูปโภค พลังงาน อุปกรณ์ไอที บริษัทก่อสร้างและวางระบบขั้นสูง System Integrator ด้านต่าง ๆ รวมถึงช่วยสร้างงานที่มีคุณค่าสูงให้กับคนไทย เช่น ผู้ดูแลระบบโครงข่าย งานด้านวิเคราะห์ข้อมูล การพัฒนาโปรแกรม ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และงานสนับสนุนด้านไอที” นายนฤตม์ กล่าว

ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2565-2567) มีโครงการที่ขอรับส่งเสริมการลงทุนในกิจการ Data Center และ Cloud Service จำนวน 27 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 2.9 แสนล้านบาท

ส่งเสริมการร่วมลงทุนรัฐ-เอกชนในกิจการโรงพยาบาล
ตามที่รัฐบาลมีแนวทางส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในบริการด้านสาธารณสุขมากขึ้นในรูปแบบ PPP (Public-Private Partnership) เพื่อยกระดับมาตรฐานและเพิ่มขีดความสามารถทางการรักษาพยาบาล โดยลดภาระงบประมาณภาครัฐ แต่สามารถบรรลุเป้าหมายการเป็นโรงพยาบาลที่รับผู้ป่วยที่เป็นผู้ประกันตนได้จำนวนมาก โดยการผสานจุดแข็งของภาครัฐที่มีความเชี่ยวชาญของบุคลากรทางการแพทย์ ขณะที่ภาคเอกชนมีความคล่องตัว ในการบริหารจัดการและความพร้อมด้านการลงทุนเทคโนโลยี บอร์ดบีโอไอจึงได้เห็นชอบให้กำหนดสิทธิประโยชน์พิเศษสำหรับกิจการโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีจำนวนเตียงรับผู้ป่วยไว้ค้างคืนตั้งแต่ 91 เตียงขึ้นไป ในกรณีที่มีการร่วมทุนในรูปแบบ PPP กับหน่วยงานรัฐ จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นอากรเครื่องจักรและอุปกรณ์ และยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 5 ปี (โรงพยาบาลทั่วไป จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี) 

นอกจากนี้ บอร์ดบีโอไอ ได้อนุมัติหลักการในการส่งเสริม “โครงการโรงพยาบาลปลวกแดง 2 จังหวัดระยอง” ซึ่งจะเป็นการร่วมทุนรัฐ-เอกชนในรูปแบบ PPP ครั้งแรกของกระทรวงสาธารณสุข ให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการนี้เป็นโครงการแรกด้วย  

สนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจก
เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนในภาคอุตสาหกรรม ที่ประชุมได้เห็นชอบให้กิจการที่มีการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน เช่น ลมหรือแสงอาทิตย์ไปแล้ว แต่ต้องการติดตั้งระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้า (Battery Energy Storage System: BESS) และเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า (Inverter) ของระบบ BESS เพิ่มเติม สามารถขอรับการส่งเสริมภายใต้มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงานทดแทนได้ 

นอกจากนี้ เพื่อเป็นการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมวัสดุ ลงทุนปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามแดน (CBAM) ที่ประชุมจึงได้เห็นชอบให้กิจการผลิตวัสดุก่อสร้าง ผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรง ผลิตภัณฑ์เซรามิกส์ในกลุ่ม Earthenware และกระเบื้องเซรามิกส์ ซึ่งเป็นกิจการที่มีปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง สามารถยื่นขอรับสิทธิประโยชน์ภายใต้มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 

“ทศวรรษที่สูญหาย” วาทกรรมที่กำลังถูกรื้อฟื้น ‘ชาวเน็ต’ ตั้งข้อสังเกตขบวนการดิสเครดิต ‘ลุงตู่’ กำลังเร่งทำงาน

ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘LVanicha Liz’ ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีที่มีสื่อมวลชนหลายคนออกมาวิจารณ์การทำงานของรัฐบาล ภายใต้การบริหารของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าเป็นช่วงที่ประเทศไทยขาดการพัฒนา โดยใช้วาทกรรมว่า ทศวรรษที่สูญหาย โดยระบุว่า #ปรากฏการณ์รื้อฟื้นทศวรรษที่สูญหาย !?

คำว่า “ทศวรรษที่สูญหาย” ได้ยินบ่อยทั้งช่วงก่อนและหลังเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา โดยกลุ่มการเมืองฝั่งตรงข้ามรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้อ้างถึง บ้างก็ใช้คำว่า 8 ปี 9 ปี 10 ปี เพื่อจะสื่อว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ไร้ผลงาน สร้างความเสียหาย ฯลฯ

บุคคลที่ศึกษามาดี รวมทั้งผู้ไม่ดำรงอยู่ในความอคติ ก็น่าจะทราบดีว่าความจริงเป็นตรงกันข้าม รวมทั้งทางด้านการใช้ตัวชี้วัดสากล ผู้เขียนก็ได้นำเสนอข้อพิสูจน์จำนวนไม่น้อยที่แสดงถึงผลงานรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งที่ชนะรัฐบาลก่อนหน้าและที่เหนือกว่ารัฐบาลปัจจุบัน 

แต่ขณะนี้ดูเหมือนจะเกิด #ปรากฏการณ์รื้อฟื้นทศวรรษที่สูญหาย ขึ้นมาอีก ในท่วงทำนองคล้ายจะลาก รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ (คสช.) + รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ (เลือกตั้ง) มารับผิดชอบปัญหาของรัฐบาลปัจจุบัน

โดยเมื่อช่วงต้นเดือน มี.ค. ๒๕๖๘ มีการเผยแพร่คลิปรายการ นายดนัย เอกมหาสวัสดิ์ หรือ 'หมาแก่' แสดงความเห็นว่า จะให้ผมยอมรับรัฐบาลลุงตู่ ผมรับไม่ได้ “ประเทศไทยเสียเวลาไปเกือบ 10 ปีกับลุงตู่โดยที่ไม่ได้อะไรกลับมาเลย ได้แค่การปะผุชั่วครั้งชั่วคราว …”
https://www.tiktok.com/@miss.../video/7477480842311372050

วันที่ 12 มี.ค. 2568 คลิปรายการฟังหูไว้หู นาทีที่ 13.48 นายวีระ ธีรภัทร กล่าวว่ามีปัญหามากมายในขณะนี้ หนี้สาธารณะ หนี้ครัวเรือน การขยายตัวทางเศรษฐกิจต่ำ การแข่งขันสู้ประเทศอื่นไม่ได้ ภาคการผลิตเทคโนโลยีไม่ทันเขา “ส่วนหนึ่งอาจต้องโทษ รบ.ประยุทธ์” ว่าปิดประตูไป 9 ปี ไม่มีทางไปเจรจาการค้า เรื่องการส่งออกเป็นตัวที่จะผลักดันเศรษฐกิจ เราเหลืออันเดียว-ท่องเที่ยว ที่เหลือไม่เห็นเลย
https://youtu.be/OI77d-T5XVE?si=Fa0xw3Ylj7gSoGJU

วันที่ 15 มี.ค. 2568 FB Thanong Fanclub โพสต์ว่า จีดีพีไทยตกต่ำ เศรษฐกิจฮ่วยสะท้อนอะไร “มันสะท้อนว่า 8 ปีของลุงตู่ไม่ได้วางรากฐานอะไรให้เศรษฐกิจไทยมีความก้าวหน้า หรือมีการเจริญเติบโต มีแต่สร้างหนี้ ...”https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1205569974270985&id=100044539804977&mibextid=Nif5oz

ปรากฏการณ์ข้างต้นคล้ายจะสะท้อนความคาดหมายไปยังการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ว่าน่าจะเกิดขี้นในเวลาอีกไม่นาน และด้วยเหตุผลดังกล่าว ดูประหนึ่งว่าฝ่ายที่ไม่อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ กลับมาบริหารก็พากันเร่งสร้างความรู้สึกไม่ยอมรับขึ้นในหมู่ประชาชน หรือไม่

แต่หากการสร้างความรู้สึกไม่ยอมรับ พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งอยู่บนข้ออ้างที่ไม่เป็นความจริง มันมิเป็นการกล่าวเท็จบิดเบือนต่อประชาชน อันจะทำให้เกิดผลเสียหายต่อประเทศชาติหรือ

ลองนำข้ออ้างบางช่วงมาวิเคราะห์ดู: จากที่นายวีระ กล่าวว่า “ส่วนหนึ่งอาจต้องโทษ รบ.ประยุทธ์” ว่าปิดประตูไป 9 ปี ไม่มีทางไปเจรจาการค้า

ถ้าเราย้อนระลึกถึงความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับซาอุดิอาระเบีย ที่พ่วงมาด้วยโอกาสทางการค้าอย่างมหาศาล รวมทั้งการจัดประชุมเอเปคที่ประเทศไทย ที่มีมิตรประเทศมากันมากมาย เปิดทางให้หน่วยงานไทยเจรจาด้วยมากเท่าที่อยากจะทำ

แม้ในสมัย คสช. ก็ปรากฏภาพ พล.อ.ประยุทธ์ จับมือกับท่านสี ท่านปูติน ท่านโมดิ ด้วยความผึ่งผายในบรรยากาศอบอุ่นด้วยสัมพันธไมตรีอันดี 

แล้วยังจะพูดได้หรือว่าปิดประตูไป 9 ปี
นายวีระกล่าวต่อไปถึงเรื่องการส่งออกว่าเป็นตัวที่จะผลักดันเศรษฐกิจ คล้ายจะหมายความว่าปิดประตูไป 9 ปี การส่งออกก็ไม่เกิดด้วย

ผู้เขียนได้ตรวจสอบข้อมูล World Bank พบว่าในยุค คสช. ยอดส่งออกพุ่งขึ้นสูงมากเมื่อเปรียบกับยุค รบ.ยิ่งลักษณ์ (ซึ่งยอดส่งออกของรัฐบาลเธอดูเตาะแตะมากแทบไม่เพิ่มเลย) และหลังวิกฤติโควิด ยอดส่งออกของ รบ.พล.อ.ประยุทธ์ (เลือกตั้ง) ก็พุ่งขึ้นสูงอีกเช่นกัน ในครั้งนี้สูงชันกว่ายุครัฐบาลทักษิณเสียอีก (อ้างอิงภาพเปรียบเทียบผลงานการส่งออก) และยังนำมาซึ่งการได้ดุลการค้าสูงกว่าบรรดารัฐบาลก่อนหน้าในช่วงเท่าที่มีข้อมูลแสดง

น่าจะสรุปได้ว่าทางด้านการส่งออก รบ.พล.อ.ประยุทธ์ ได้วางรากฐานที่ดีไว้ให้กับประเทศแล้ว

นายวีระกล่าวถึงแหล่งรายได้ของประเทศว่า เราเหลืออันเดียว-ท่องเที่ยว ที่เหลือไม่เห็นเลย ผู้เขียนเพิ่งพิสูจน์ไปในโพสต์ก่อนหน้า ว่า 1. อันดับความสามารถในการแข่งขัน Travel & Tourism รบ.คสช. ดีกว่า รบ.ยิ่งลักษณ์ 2. อันดับการขับเคลื่อนการพัฒนา Travel & Tourism รบ.พล.อ.ประยุทธ์ (เลือกตั้ง) ดีกว่า รบ.เศรษฐา-แพทองธาร 3. SET Tourism Index หลังโควิด สูงสุดใน รบ.พล.อ.ประยุทธ์

ทั้งสามข้อน่าจะพิสูจน์แล้วว่าทางด้านการท่องเที่ยว รบ.พล.อ.ประยุทธ์ ก็ได้เปิดโอกาสที่ดีมากไว้ให้ประเทศอีกเช่นกัน ส่วนรัฐบาลปัจจุบันจะมีหรือไม่มีฝีมือรับช่วงต่อ จะต้องฉุดกระชากลากถูให้ รบ.พล.อ.ประยุทธ์ ตามมารับผิดชอบด้วยทำไม ???

โพสต์นี้แม้จะพิสูจน์แย้งเนื้อหาของนายวีระคนเดียว แต่ข้อมูลก็น่าจะเพียงพอสำหรับแย้งเนื้อหาของนาย ‘หมาแก่’ และโพสต์ FB Thanong Fanclub ด้วยเช่นกัน 

“ทศวรรษที่สูญหาย” ถ้าจะมี ก็น่าจะกำลังเริ่มขึ้นมากกว่า

BYD เปิดตัว ‘Super E-Platform’ 1,000V ปลดล็อกเทคโนโลยีชาร์จเร็วใน 5 นาที วิ่งไกล 400 กม.

BYD ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของโลก สร้างความฮือฮาในอุตสาหกรรมยานยนต์ด้วยการเปิดตัว ระบบแบตเตอรี่ใหม่ล่าสุด ‘Super E-Platform’ 1,000V ที่สามารถรองรับการชาร์จเร็วสูงสุด 400 กิโลเมตรในเวลาเพียง 5 นาที ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ และช่วยลดข้อจำกัดเรื่องระยะเวลาการชาร์จที่เป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้า

เทคโนโลยีใหม่นี้ได้รับการพัฒนาโดย BYD Battery Division โดยใช้เซลล์แบตเตอรี่ที่ออกแบบให้รองรับ การชาร์จความเร็วสูงพิเศษ (Ultra-Fast Charging) ซึ่งสามารถเก็บพลังงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น นวัตกรรมนี้ช่วยให้การชาร์จ EV มีความสะดวกและรวดเร็ว เทียบเท่ากับการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงในรถยนต์

BYD ระบุว่า แบตเตอรี่รุ่นใหม่นี้จะช่วย ลดระยะเวลาการชาร์จลงจากระดับชั่วโมงเหลือเพียงไม่กี่นาที ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มความนิยมของรถยนต์ไฟฟ้าให้แพร่หลายมากขึ้น

สำหรับ BYD เป็นผู้นำด้านการพัฒนาแบตเตอรี่ LFP (Lithium Iron Phosphate) และมีชื่อเสียงจากการพัฒนา แบตเตอรี่ Blade Battery ที่ได้รับการยอมรับในด้าน ความปลอดภัยสูงและอายุการใช้งานที่ยาวนาน ซึ่งเทคโนโลยีใหม่ที่เปิดตัวนี้ยังคงเน้นย้ำเรื่อง ความปลอดภัย เป็นอันดับแรก ด้วยการออกแบบที่ช่วยป้องกันความร้อนสูงเกินไป ลดความเสี่ยงต่อการเกิดไฟลุกไหม้ และช่วยให้แบตเตอรี่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้ในอุณหภูมิที่หลากหลาย

นอกจากการพัฒนาแบตเตอรี่แล้วยังมีแผนขยาย เครือข่ายสถานีชาร์จความเร็วสูง เพื่อรองรับการใช้งานของผู้ขับขี่ EV ได้อย่างครอบคลุม โดยเฉพาะในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก และคาดว่าเทคโนโลยีใหม่นี้จะถูกนำไปใช้ใน ตลาดยุโรป สหรัฐอเมริกา และประเทศอื่นๆ ที่มีแนวโน้มการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

การเปิดตัวเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่สามารถชาร์จ EV ได้ภายใน 5 นาทีของ BYD ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยแก้ไขปัญหาหลักของผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า และอาจเป็น Game Changer ที่เร่งให้โลกเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคพลังงานสะอาดได้รวดเร็วขึ้น ซึ่งคาดว่าแบตเตอรี่รุ่นใหม่นี้จะถูกนำไปใช้ในรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ของบริษัทภายในปีถัดไป

‘ดร.อานนท์’ เสนอ ‘นิด้า’ วิทยาเขตสีคิ้ว ควรเปิด ป.ตรี ‘พยาบาลศาสตร์’ ควบ ป.โท สาขาอื่น ชี้! มีทรัพยากรบุคคลพร้อมสอนไม่ต้องหาใหม่

(18 มี.ค. 68) ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Arnond Sakworawich ว่า 

ผมมาลองคิดดูแล้ว นิด้าที่วิทยาเขตสีคิ้ว ควรเปิดหลักสูตรปริญญาตรีควบโทห้าปีป ตรี ให้เป็นสาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ ป โท ให้เลือกเรียนโทสาขาอื่น ในนิด้า เอง 

หนึ่ง นิด้ามีความจำเป็นต้องเปิดสอนระดับปริญญาตรี เพราะนิด้าไม่มี feeder ก็เลยฝืด มีปัญหานักศึกษาลดลง เนื่องจากมหาวิทยาลัยอื่น ต่างก็เปิดปริญญาโท-เอก กันเองหมดแล้ว ไม่เหมือนเมื่อก่อตั้งนิด้า เปิดสอนโท-เอก แทบจะเป็นที่เดียวในประเทศไทย

สอง ประเทศไทย ขาดแคลนพยาบาลรุนแรงมากที่สุดในเวลานี้ มีการตกเขียว โดยให้ทุนระดับปริญญาตรี ตั้งแต่ปีหนึ่ง กับนักเรียนพยาบาล โดยโรงพยาบาลเอกชนกันมากมาย ยิ่งประเทศไทยก้าวเข้าสู่ super-aged society สูงอายุเต็มขั้นแล้ว พยาบาลยิ่งจะขาดแคลนหนักมาก

ดังนั้นถ้านิด้า จะเปิดสอน ป. ตรี ก็ควรเปิดสอนในสาขาที่ประเทศไทยขาดแคลนจริง ๆ และควรเป็นหลักสูตรตรีควบโทไปเลย 

ป ตรี พยาบาล จะเรียน ป โท ทางรัฐประศาสนศาสตร์ สถิติประยุกต์ บริหารธุรกิจ พัฒนาสังคม พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ นิติศาสตร์ ก็เป็นประโยชน์ทั้งนั้นต่อวิชาชีพพยาบาล นิด้าน่าจะสร้างพยาบาลที่รู้รอบได้ และตอบโจทย์ของประเทศ เพราะงานพยาบาลไทย ไม่ได้ทำงานหน้าเดียว ทำแม้แต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ

ไม่ต้องอื่นไกล บริษัทประกันภัยและประกันชีวิต ชอบแย่งพยาบาลออกมาจากระบบสาธารณสุข เพราะประกันชีวิตกับประกันสุขภาพ ต้องใช้คนมีความรู้ทางการแพทย์การพยาบาล พยาบาลไทย ปรับตัวเก่ง เรียนรู้เองได้ ออกมาอยู่บริษัทประกันภัยกันเยอะมาก แทบจะเดินชนกันตายแถวถนนรัชดาภิเษก 

ทำไม ไม่มาเรียนปริญญาโททางวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยงกันไปเลย จะได้เอาไปทำงานต่อยอดได้เลยทันที

สาม นิด้ามีอาจารย์ที่จบปริญญาตรี เป็นพยาบาลวิชาชีพมาก่อนเป็นจำนวนมากพอสมควร ไม่เอ่ยชื่อดีกว่า เดี๋ยวเจ้าตัวเขาจะรู้ตัว จึงเริ่มต้นได้ไม่ยากนัก Ratipon Tungfung Nanta Soo 

สี่ สีคิ้ว เป็นวิทยาเขต มีสถานที่กว้างขวาง สำหรับห้องเรียนและหอพักพยาบาลได้อย่างสะดวกสบาย มาก แต่ต้องหาโรงพยาบาลให้นักศึกษาพยาบาลระดับปริญญาตรีได้ฝึกงาน ซึ่งโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในภาคอีสานนั้นมีเป็นจำนวนมาก เช่น โรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น โรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ฯลฯ น่าจะสอนพอแสวงหาความร่วมมือได้ครับ

ปัญหาใหญ่มีอยู่ประการเดียว คือ พรบ. นิด้า ที่เขียนล็อคตัวเองไว้ ว่าเปิดสอนเฉพาะบัณฑิตศึกษา 

เมื่อตอนนิด้า ออกนอกระบบ อานนท์ ได้ทักท้วงประเด็นนี้ไว้ว่า สถาบันวิชาการชั้นสูงตามพระราชดำริ ไม่ได้แปลว่าสอนปริญญาตรีไม่ได้ และปริญญาตรีก็สอนวิชาชั้นสูงได้ ถ้าจะสอนให้ดี

วิชาชีพพยาบาลก็เป็นวิชาชีพชั้นสูงครับ จำเป็นสำหรับบ้านเมืองอย่างยิ่ง 
สร้างบ้าน ต้องมีทางหนีไฟ ไม่ใช่เขียนล็อคตัวเองไว้
ผ่านมาห้าหกปี สถานการณ์จะบังคับเองครับ 
คงมีความจำเป็นต้องแก้ไข พรบ.


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top