Saturday, 7 June 2025
ค้นหา พบ 48634 ที่เกี่ยวข้อง

เมื่อ VOA ถูกตัดงบ นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นสงครามข่าวสารที่แท้จริง ศึกวัดพลังรัฐบาลสหรัฐฯ กับทุนข้ามชาติที่ต้องการครองสื่อโลก

(17 มี.ค. 68) ถอดรหัส Michael Abramowitz – ใครอยู่เบื้องหลังเสียงโวยวายเรื่อง VOA ถูกตัดงบ? 

"เป็นครั้งแรกในรอบ 83 ปีที่ Voice of America กำลังถูกทำให้เงียบเสียง"

นั่นคือคำแถลงของ Michael Abramowitz ผู้อำนวยการ Voice of America (VOA) หลังจากรัฐบาล โดนัลด์ ทรัมป์ ตัดงบองค์กรสื่อของรัฐอย่างหนัก จนทำให้ นักข่าว โปรดิวเซอร์ และเจ้าหน้าที่กว่า 1,300 คน ถูกพักงานทันที

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังสนั่น โดย Abramowitz อ้างว่าเรื่องนี้เป็นการทำลายเสรีภาพของสื่อ และเปิดช่องให้ศัตรูของสหรัฐฯ อย่างจีน รัสเซีย และอิหร่าน ขยายอิทธิพล

แต่คำถามคือ "นี่คือเรื่องของเสรีภาพจริง ๆ หรือเป็นเกมแห่งอำนาจ?"

Michael Abramowitz – นักข่าว หรือ นักยุทธศาสตร์?
ชื่อของ Michael Abramowitz อาจดูเหมือนเป็นนักข่าวสายประชาธิปไตยที่ออกมาปกป้องเสรีภาพของสื่อ แต่หากเราขุดลึกลงไป เขาไม่ใช่แค่ผู้อำนวยการ VOA เท่านั้น

เขาเป็นอดีตประธานของ Freedom House องค์กรที่ อ้างว่าเป็นองค์กรอิสระด้านประชาธิปไตย แต่แท้จริงแล้ว ได้รับเงินสนับสนุนโดยตรงจากรัฐบาลสหรัฐฯ และเครือข่ายนายทุนข้ามชาติ

Freedom House มีหน้าที่ จัดอันดับความเป็นประชาธิปไตยของประเทศต่าง ๆ ซึ่งบ่อยครั้ง คะแนนของประเทศที่ไม่เป็นมิตรกับสหรัฐฯ มักต่ำอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ พันธมิตรของสหรัฐฯ กลับได้รับการจัดอันดับดีกว่าเสมอ

ดังนั้นจึงไม่แปลกครับที่ freedom house ต้องมาจัดอันดับประเทศไทยให้เรตติ้งร่วงทันทีที่รัฐบาลไทยเลี้ยงดูปูเสื่อผู้หลบหนีเข้าประเทศไทยชาวอุยกูรฺ์กว่า 11 ปีและส่งกลับประเทศต้นทางก็คือประเทศจีนนั่นเอง...

แล้วทำไม Abramowitz ต้องออกมาเดือดเรื่อง VOA?
เพราะ VOA เป็นกระบอกเสียงของสหรัฐฯ ที่ใช้เผยแพร่ประชาธิปไตยไปทั่วโลก และทำงานประสานกับองค์กรอย่าง Freedom House หาก VOA ถูกทำให้ไร้ประสิทธิภาพ นั่นหมายถึงอำนาจของ Freedom House ก็จะลดลงไปด้วย

Freedom House – องค์กรอิสระจริง หรือแขนขาของ CIA?
หลายคนอาจมองว่า Freedom House เป็นองค์กรอิสระที่ส่งเสริมประชาธิปไตย แต่เมื่อขุดลึกลงไป เราพบว่ามันมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัฐบาลสหรัฐฯ และหน่วยงานข่าวกรอง

กว่า 80% ของงบประมาณมาจากรัฐบาลสหรัฐฯ โดยเฉพาะ กระทรวงการต่างประเทศ (U.S. State Department) และ USAID

ได้รับทุนจาก National Endowment for Democracy (NED) ซึ่งมีประวัติว่าเคยเป็น เครื่องมือของ CIA ในการแทรกแซงรัฐบาลต่างชาติ

ในอดีตมีรายงานว่า Freedom House มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติและเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในหลายประเทศ เช่น ยูเครน อาหรับสปริง และเวเนซุเอลา

แต่ที่น่าสนใจคือ นอกจากเงินรัฐบาลสหรัฐฯ แล้ว Freedom House ยังได้รับเงินสนับสนุนจากเครือข่ายนายทุนที่ต้องสงสัย

George Soros และทุนลับที่อยู่เบื้องหลัง
หนึ่งในผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับเงินทุนของ Freedom House คือ George Soros มหาเศรษฐีชาวอเมริกันที่มีอิทธิพลมหาศาลในวงการการเมืองโลก

Soros เป็นผู้ก่อตั้ง Open Society Foundations (OSF) องค์กรที่ให้ทุนสนับสนุนกลุ่มที่เรียกร้องประชาธิปไตยในหลายประเทศ

OSF เคยถูกกล่าวหาว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโค่นล้มรัฐบาลในยุโรปตะวันออกและอเมริกาใต้
Freedom House และ OSF เคยร่วมมือกันในหลายโครงการ รวมถึงการสนับสนุนขบวนการประชาธิปไตยในฮ่องกง

เงินของ Freedom House มาจากรัฐบาลสหรัฐฯ หรือ Soros? หรือทั้งสองฝ่ายต่างทำงานร่วมกัน?
หากคำตอบคือ "ทั้งสองฝ่าย" นั่นหมายความว่า Freedom House ไม่ได้เป็นแค่องค์กรส่งเสริมประชาธิปไตย แต่เป็นเครื่องมือของเครือข่ายทุนข้ามชาติที่ใช้ประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือในการแทรกแซงประเทศอื่น

VOA ถูกตัดงบ – ผลกระทบต่อเครือข่าย Soros และพวก Globalist
เมื่อทรัมป์ตัดงบ VOA ไม่ใช่แค่สื่อของรัฐที่ได้รับผลกระทบ แต่มันคือการโจมตีเครือข่ายทั้งหมดที่ใช้ VOA เป็นเครื่องมือ

Freedom House สูญเสียหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการเผยแพร่ประชาธิปไตย

Open Society Foundations ของ Soros อาจได้รับผลกระทบ หาก VOA ไม่สามารถทำงานร่วมกับขบวนการของเขาได้

รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ทรัมป์อาจกำลังพยายามลดอิทธิพลของกลุ่มทุนข้ามชาติที่ใช้สื่อเป็นเครื่องมือแทรกแซงการเมือง

สรุป – เรื่องนี้เป็นแค่การตัดงบ หรือเป็นการสกัดอำนาจของพวก Globalists?
สิ่งที่เราพบจากการถอดรหัสคือ นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของเสรีภาพสื่อ แต่มันคือ การต่อสู้เชิงอำนาจระหว่างฝ่ายอนุรักษ์นิยมของทรัมป์ กับเครือข่าย Globalists ที่ต้องการควบคุมข้อมูลข่าวสาร

Michael Abramowitz ไม่ใช่แค่ ผู้อำนวยการ VOA แต่เขาคือ อดีตประธานของ Freedom House องค์กรที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ และอาจรวมถึงกลุ่มทุนของ George Soros

การที่เขาออกมาโวยวายเรื่อง VOA จึงไม่ใช่แค่เพราะ "เสรีภาพของสื่อ" แต่เพราะ "อำนาจของเครือข่ายที่เขาอยู่กำลังถูกท้าทาย"

คำถามที่เราต้องคิดต่อคือ "เมื่อทรัมป์กลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง VOA จะถูกเปลี่ยนเป็นเครื่องมือของฝ่ายอนุรักษ์นิยมแทนหรือไม่?"

และ "Freedom House จะยังเป็นองค์กรอิสระได้จริงหรือ ถ้ามันยังพึ่งพาเงินทุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ และเครือข่ายทุนข้ามชาติ?"

นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามข่าวสารที่แท้จริง… ระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯ กับทุนข้ามชาติที่ต้องการครองสื่อโลก

หนึ่งในความเลวทรามสกปรกของนักการเมืองรุ่นใหม่ คือการสร้าง “ข่าวปลอม” (Fake News) ออกสู่สังคม

(18 มี.ค. 68) หากย้อนกลับไป 30 - 40 ปีก่อน สมัยที่ยังไม่มีโซเชียลมีเดีย นักการเมืองถ้าจะสร้าง “ข่าวปลอม” หรือ “Fake News” เพื่อมาดิสเครดิตฝ่ายตรงข้าม ก็จะอาศัยช่องทางสื่อต่าง ๆ ที่พรรคการเมืองของตนเองสนิทสนม หรือแอบมีส่วนในการ “เป็นเจ้าของ” ทั้งสื่อโทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์ จะใช้ช่องทางที่ตนเองควบคุมบังคับได้เหล่านี้นำเสนอข่าวเท็จ ประเด็น และเรื่องราวที่ไม่จริงของฝ่ายตรงข้ามมาตีแผ่ออกสู่สังคม เพื่อให้ผู้คนเข้าใจผิด เกลียดชัง จนลดความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงข้ามลง 

เหยื่อที่เจ็บปวด เสียหาย ถ้าไม่แข็งแรงมากพอก็จะเดินก้มหน้าออกจาก “สนามการเมือง” ไปทันที แต่ที่เป็นขาใหญ่จริง ๆ ก็จะไม่ปล่อยให้ใครมาเหยียบหัวสิงห์ได้ง่าย ๆ ถ้าสิ่งที่ได้ยินเป็นเรื่องถูกใส่ร้ายป้ายความผิด ก็มักจะเล่นกลับแรง ๆ ซึ่งไม่ใช่แค่การฟ้องร้องดำเนินคดีอย่างที่ “คนยุคนี้” นิยมเลือกมาจัดการคู่กรณี 

แต่คือการใช้ “ลูกปืน” ย่นเวลาทุกอย่างให้จบง่ายขึ้น 

นักการเมืองยุคเก่า แม้จะไม่บริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ดี ๆ ชั่ว ๆ ความรักในชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ยังมีในจำนวนที่มากกว่านักการเมืองยุคสมัยนี้ และคำว่า “คนใจนักเลง” ยังใช้ได้กับนักการเมืองรุ่นเก่าจำนวนมาก เรียกว่าขอกันได้ แค่แสดงความนอบน้อม นับถือ รักษาสัจจะ ไม่ข้ามหัว ไม่ตีกิน หรือแอบแทงกันลับ ๆ ด้วยการ “สร้างข่าวปลอม” มาทำให้อีกฝ่ายต้องพังพินาศ ถือเป็นเรื่องที่ “คนรุ่นเก่า” ไม่นิยมทำกัน เพราะเป็นเรื่องของ “สวะ” ทั้งเหม็น และน่ารังเกียจ

“ข่าวปลอม” ยุคสมัยก่อน นาน ๆ จะโผล่มาสักเรื่องหนึ่ง ถ้าสังคมจับได้ไล่ทันก็จะไม่คุ้ม เพราะคนปล่อยข่าว รวมถึงตัวการก็จะไร้ที่ยืน ด้วยเป็นเรื่องที่ไม่ใช่วิถีลูกผู้ชาย ไม่แน่ก็อาจจะไร้ลมหายใจ จึงมักสู้กันแบบลูกผู้ชาย ซึ่งนักการเมืองรุ่นใหม่ที่นิยม “หนีการเกณฑ์ทหาร” ยากที่จะสะกดคำว่า “คนใจนักเลง” เป็น เราจึงมักเห็น “นักการเมืองรุ่นใหม่ขี้หมา” จงใจสร้างข่าวปลอม พอถูกจับได้ก็หายศีรษะไปเงียบ ๆ หนีหน้าไม่มีออกมาขอโทษสังคม หรือสำนึกผิด แล้วก็รอปั้นแต่ง “ข่าวปลอมเรื่องใหม่” มาทำร้ายผู้คนดังเดิม 

ขึ้นชื่อว่าเป็น “นักการเมืองไทย” การที่ไร้ความสามารถ ไร้วิสัยทัศน์ และไร้การเป็นแบบอย่างในทางที่ดีให้สังคมเดินตามก็ดูแย่มากแล้ว แต่การที่วัน ๆ สาละวนอยู่กับการ “คิดข่าวปลอม” เพื่อให้สังคมไทยวนอยู่ในวงจรน้ำเน่า คำว่า “เลวทรามต่ำช้า” ก็ถือว่ายังน้อยเกินไป 

นายกฯ ฮุน มาเนต โต้กลุ่มฝ่ายค้านปลุกปั่นความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ท้าพิสูจน์ความรักชาติ ส่งประจำการแนวหน้า 6 เดือน

(17 มี.ค. 68) นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา ได้แสดงความไม่พอใจต่อกลุ่มฝ่ายค้านที่อ้างตัวว่าเป็นผู้รักชาติ แต่กลับพยายามปลุกปั่นความขัดแย้งระหว่างกัมพูชากับประเทศไทยในประเด็นปราสาทตาเมือนธม ซึ่งเป็นประเด็นที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และการเมืองระหว่างทั้งสองประเทศ

ในแถลงการณ์ที่ออกมา นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ได้ท้าทายกลุ่มฝ่ายค้านที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศให้หยุดการปลุกปั่นความขัดแย้ง โดยกล่าวว่า การกระทำดังกล่าวไม่เพียงแต่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชาและไทยแย่ลงเท่านั้น แต่ยังขัดขวางความสงบและการพัฒนาในภูมิภาค

“ตอนนี้ถ้าคุณต้องการพิสูจน์ความรักชาติของคุณ อย่าเพียงแค่พูดลอยๆ ถ้าคุณต้องการมาจริงๆ ผมรับรองว่าคุณจะไม่ถูกจับกุม ผมจะจัดกลุ่มทหารให้คุณ คุณจะประจำอยู่ที่ฐานทหาร พร้อมอุปกรณ์ที่จำเป็นทั้งหมด และถูกส่งไปประจำการเพื่อเฝ้าแนวหน้าเป็นเวลา 6 เดือน เพื่อสัมผัสประสบการณ์ที่ทหารของเราต้องเผชิญ” นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต กล่าว 

นายกฯ ฮุน มาเนต ระบุว่า ปัญหาการพิพาทเรื่องปราสาทตาเมือนธมควรได้รับการแก้ไขผ่านช่องทางทางการทูตและการเจรจาระหว่างทั้งสองประเทศ ไม่ควรให้กลุ่มบุคคลที่มีวัตถุประสงค์ทางการเมืองมาพยายามทำให้สถานการณ์ซับซ้อนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ทั้งสองประเทศพยายามร่วมมือกันในด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง

การเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดในภูมิภาค โดยกลุ่มฝ่ายค้านในต่างประเทศบางกลุ่มได้ใช้ประเด็นปราสาทตาเมือนธมเพื่อกระตุ้นความรู้สึกชาตินิยมและปลุกระดมความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งสร้างความวิตกกังวลว่าอาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางการทูตระหว่างกัมพูชาและไทย

ทั้งนี้ ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณชายแดนระหว่างกัมพูชาและไทย เคยเป็นประเด็นข้อพิพาททางด้านอาณาเขตระหว่างทั้งสองประเทศ โดยมีการอ้างสิทธิ์และการตัดสินของศาลระหว่างประเทศหลายครั้ง แต่ยังคงมีการเรียกร้องจากทั้งสองฝ่ายในการรักษาความเป็นเจ้าของพื้นที่อย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม นายกฯ ฮุน มาเนต ยืนยันว่า กัมพูชาจะยืนหยัดในความถูกต้องของตนเอง และจะไม่ยอมให้มีการบิดเบือนข้อเท็จจริงในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว พร้อมทั้งเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหันมาร่วมมือกันเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและความสงบสุขในภูมิภาค

“สำหรับคนที่บอกว่าเราอ่อนแอ โดยเฉพาะนักการเมืองบางคนในต่างประเทศที่กล่าวหาว่าทหารเราไม่กล้าเผชิญหน้ากับทหารไทย ผมขอบอกว่า ตอนที่เกิดความขัดแย้งในปี 2551 ไม่มีใครในพวกคุณออกมาให้การสนับสนุน แต่กลับกล่าวหารัฐบาลว่าจัดฉากความขัดแย้งและโง่เขลา” โดยคำกล่าวของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต มีขึ้นหลังจากอดีตผู้นำฝ่ายค้าน สม รังสี และผู้สนับสนุนพยายามปลุกปั่นความขัดแย้งที่ชายแดนกัมพูชา-ไทย โดยหยิบยกประเด็นเกี่ยวกับเกาะกูดและปราสาทตาเมือนธมขึ้นมา 

กองทัพเรือสหรัฐฯ เตรียมส่งเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ 4 ลำ ประจำการออสเตรเลีย เพื่อถ่วงดุลจีนในอินโด-แปซิฟิก

(17 มี.ค. 68) กองทัพเรือสหรัฐอเมริกาได้ประกาศแผนการส่งเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ชั้นเวอร์จิเนีย จำนวน 4 ลำ เข้าประจำการที่ฐานทัพเรือ HMAS Stirling รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย ภายในปี 2570 โดยภายใต้ข้อตกลง AUKUS ซึ่งเป็นความร่วมมือทางทหารระหว่างสหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย

ขณะนี้ กองทัพเรือสหรัฐฯ ได้ส่งเรือดำน้ำ USS Minnesota (SSN-783) เข้าร่วมการฝึกซ้อมนำร่องที่ฐานทัพเรือในออสเตรเลียแล้ว โดยการฝึกซ้อมดังกล่าวจะช่วยเตรียมความพร้อมให้กับกองทัพเรือสหรัฐฯ ในการส่งเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ที่เหลือเข้าประจำการในอนาคต นอกจากนี้ กองทัพเรือสหรัฐฯ ยังเตรียมส่งกำลังพล 50-80 นาย เข้าประจำการที่ฐานทัพเรือ HMAS Stirling ภายในกลางปี 2568 เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของเรือดำน้ำเหล่านี้

สำหรับที่ตั้งของ HMAS Stirling ตั้งอยู่ใกล้เอเชียและมหาสมุทรอินเดียมากกว่าที่ตั้งกองบัญชาการกองเรือแปซิฟิกของสหรัฐฯ ที่ฮาวาย มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ต่อสหรัฐฯ “การปกป้องมหาสมุทรอินเดียจากศักยภาพและอำนาจที่เพิ่มขึ้นของจีนเป็นสิ่งสำคัญ” ปีเตอร์ ดีน ผู้อำนวยการด้านนโยบายต่างประเทศและการป้องกันของศูนย์ศึกษาสหรัฐฯ แห่งมหาวิทยาลัยซิดนีย์ กล่าว

การส่งเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์และกำลังพลดังกล่าว ถือเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของสหรัฐฯ และพันธมิตรในภูมิภาคในการขยายอิทธิพลทางทะเล เพื่อเสริมสร้างการป้องกันและความมั่นคงในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก โดยเฉพาะการถ่วงดุลอิทธิพลของจีนที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วในพื้นที่ดังกล่าว

การประจำการของเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ในออสเตรเลียตามข้อตกลง AUKUS จะช่วยเสริมสร้างความสามารถในการปฏิบัติการทางทะเลของพันธมิตรในภูมิภาค และส่งสัญญาณถึงความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ในการสนับสนุนพันธมิตรในออสเตรเลียและภูมิภาคนี้ในการรับมือกับภัยคุกคามต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ผศ.อนุสรณ์ ศรีแก้ว ชี้แนวทางการใช้ AI วงการข่าวอย่างมีจริยธรรม พร้อมสร้างความเข้าใจงานสื่อในงานสัมมนา ‘FUTURE JOURNALISM 2025’

เมื่อวันที่ (14 มี.ค.68) ณ อาคาร Student Center มหาวิทยาลัยรังสิต ได้มีการจัดสัมมนาวิชาการในหัวข้อ “AI กับสื่อวารศาสตร์ยุคใหม่” ภายใต้งาน THE FUTURE JOURNALISM 2025 โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์อนุสรณ์ ศรีแก้ว คณบดีกิตติคุณวิทยาลัยนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นวิทยากรหลักในการบรรยายเกี่ยวเรื่อง “ทิศทางการนำเสนอข่าวยุค AI”

โดยการสัมมนาครั้งนี้ได้รับความสนใจจากนักศึกษา อาจารย์ ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชน และบุคคลทั่วไปที่สนใจเกี่ยวกับแนวโน้มของวงการข่าวในอนาคต ซึ่ง AI กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของสื่อมวลชนอย่างรวดเร็ว

ผศ.อนุสรณ์ ศรีแก้ว ได้กล่าวถึงบทบาทของ AI ที่เข้ามาช่วยสนับสนุนงานข่าวในหลายมิติ ตั้งแต่ การสรุปข่าว การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก การตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact-checking) ไปจนถึงการสร้างผู้ประกาศข่าวเสมือนจริง (AI Anchors) ซึ่งช่วยให้กระบวนการนำเสนอข่าวเป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น

รวมถึงประเด็นด้านจริยธรรมที่มาพร้อมกับ AI เช่น Deepfake, ข่าวปลอม (Fake News), และอคติของอัลกอริทึม (Algorithmic Bias) ซึ่งอาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของข่าวสารได้ นักข่าวและองค์กรสื่อจำเป็นต้องพัฒนาแนวทางการใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ เพื่อรักษามาตรฐานทางจริยธรรมของวิชาชีพสื่อมวลชน

“ในยุคที่ AI ก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญในวงการสื่อมวลชน นักข่าวและสำนักข่าวต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง เทคโนโลยี AI สามารถช่วยให้การสืบค้น วิเคราะห์ และนำเสนอข่าวมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่หัวใจสำคัญของวารสารศาสตร์ยังคงอยู่ที่ 'ความจริง' และ 'จรรยาบรรณ' ของผู้สื่อข่าว” ผศ.อนุสรณ์ กล่าว

นอกจากนี้ ผศ.อนุสรณ์ได้เสนอแนวทางการประยุกต์ใช้ AI ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในสายงานสื่อ เช่น การใช้ AI เพื่อช่วยรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลปริมาณมาก (Big Data Journalism) การพัฒนา Chatbot เพื่อสื่อสารกับผู้อ่าน การใช้ AI ตรวจสอบแหล่งข่าว รวมถึงการใช้ AI สร้างเนื้อหาที่ปรับให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายแบบเฉพาะบุคคล (Personalized News)

วิทยากรเน้นย้ำว่า AI ไม่ได้เข้ามาแทนที่นักข่าว แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสื่อมวลชน นักข่าวควรพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยี เช่น การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล การตรวจสอบข่าวปลอม การทำงานร่วมกับระบบอัตโนมัติ และการนำเสนอข่าวที่เจาะลึกและสร้างคุณค่าให้กับสังคม

สำหรับงานสัมมนาครั้งนี้ช่วยให้ผู้เข้าร่วมมีความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับ การปรับตัวของวงการข่าวในยุค AI รวมถึงความสำคัญของการใช้เทคโนโลยีอย่างมีจริยธรรมและความรับผิดชอบ โดย ผศ.อนุสรณ์ ศรีแก้ว ได้เน้นให้เห็นว่าการผสมผสาน AI เข้ากับการทำข่าวอย่างเหมาะสม จะช่วยให้วงการสื่อสารมวลชนสามารถก้าวเข้าสู่อนาคตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

“แม้ว่า AI จะช่วยเขียนข่าวได้อย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่ AI ยังไม่สามารถแทนที่ได้ คือ วิจารณญาณของมนุษย์ การตั้งคำถาม และความสามารถในการถ่ายทอดเรื่องราวอย่างมีอารมณ์ความรู้สึก ดังนั้น นักข่าวยุคใหม่ต้องเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับ AI และใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยไม่ละทิ้งจริยธรรมของวิชาชีพ” ผศ.อนุสรณ์ กล่าวปิดท้าย

ทั้งนี้ การสัมมนาเป็นส่วนหนึ่งของงาน THE FUTURE JOURNALISM 2025 ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการแลกเปลี่ยนความรู้และแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาวงการข่าวในยุคดิจิทัล โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากหลายสาขาเข้าร่วมแบ่งปันมุมมองและประสบการณ์ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของแวดวงสื่อสารมวลชนไทยในการก้าวสู่อนาคตของข่าวสารในปี 2025 และต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top