Thursday, 5 June 2025
ค้นหา พบ 48576 ที่เกี่ยวข้อง

‘มาร์ก คาร์นีย์’ นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีแคนาดา ต่อจาก ‘จัสติน ทรูโด’ เตรียมพร้อมรับมือความท้าทายในศึกทางการค้า และการเมืองจากสหรัฐฯ

(10 มี.ค. 68) มาร์ก คาร์นีย์ อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษและธนาคารกลางแคนาดาในวัย 59 ปี เตรียมได้รับการแต่งตั้งให้เป็น นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของแคนาดา ต่อจาก จัสติน ทรูโด หลังจากได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรคลิเบอรัลหรือเสรีนิยม ซึ่งมีความสำคัญสำหรับอนาคตทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศ ในขณะที่คาร์นีย์เตรียมรับมือกับความท้าทายทั้งในด้านการค้าระหว่างประเทศ และแรงกดดันจาก สหรัฐอเมริกา คู่ค้าสำคัญของแคนาดา

การขึ้นเป็นผู้นำประเทศของคาร์นีย์ในครั้งนี้ เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่แคนาดากำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการตัดสินใจของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจแคนาดาอย่างมีนัยสำคัญ 

คาร์นีย์ซึ่งมีประสบการณ์จากการเป็นผู้นำในองค์กรการเงินระดับโลก ได้ประกาศว่าเขาจะมุ่งเน้นไปที่การสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจภายในประเทศ ขณะเดียวกันจะต้องรักษาความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐฯ และพันธมิตรอื่น ๆ ให้แข็งแกร่ง

การค้าและการเจรจาทางเศรษฐกิจ จะเป็นหนึ่งในประเด็นหลักที่คาร์นีย์จะต้องรับมือ โดยเขาจะต้องพยายามลดผลกระทบจากการคว่ำบาตรและการตัดสินใจของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจแคนาดา ในขณะที่ต้องรักษาเสถียรภาพการค้าในภูมิภาคและในระดับโลก

นอกจากนี้ยังมีประเด็นด้านนโยบายภายในประเทศที่คาร์นีย์จะต้องจัดการ รวมถึงการปฏิรูปภาษีและการดูแลภาคพลังงานที่ยังคงเป็นประเด็นถกเถียงในสังคมแคนาดา คาร์นีย์จะต้องทำงานร่วมกับรัฐสภาเพื่อให้ผ่านกฎหมายที่ช่วยเสริมสร้างการเติบโตและการลงทุนในประเทศ

การแต่งตั้งของคาร์นีย์เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าแคนาดากำลังมุ่งสู่การเปลี่ยนแปลงในเชิงเศรษฐกิจและการเมือง โดยผู้นำใหม่จะต้องพร้อมรับมือกับการทดสอบทั้งจากภายในและจากความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

‘แพทองธาร’ สั่งเดินหน้าเร่งเครื่องเศรษฐกิจ หวังทุกหน่วยงานทั้งรัฐ-เอกชน ช่วยดันจีดีพีโตเกิน 3%

นายกรัฐมนตรี เปิดประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1 สั่งทุกหน่วยงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ผลักดันจีดีพี ปี 2568 โตเกิน 3%

(10 มี.ค. 68) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2568 ณ ทำเนียบรัฐบาล โดยย้ำว่ารัฐบาลจะเดินหน้าผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตเกินเป้าหมาย 3% ที่กระทรวงการคลังคาดการณ์ไว้

นายกฯ ระบุว่า แม้ในช่วงปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นจากภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว แต่รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนให้ขยายตัวได้มากกว่านี้ โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกกระทรวงและภาคเอกชน

ทั้งนี้ รัฐบาลได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานร่วมกันคิดค้นมาตรการและโครงการที่สามารถเร่งการเติบโตของเศรษฐกิจให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยจะเน้นไปที่การขับเคลื่อนนโยบายเชิงรุก ควบคู่กับการปฏิบัติตามกฎหมาย เพื่อให้การเติบโตของเศรษฐกิจไทยมีความยั่งยืนในระยะยาว

เปิดปมส่ง 40 อุยกูร์ กลับมาตุภูมิ ชี้! เรื่องนี้มีเบื้องลึก เผยคนหนุ่มบางส่วนในกลุ่มนี้ เตรียมถูกฝึกเป็น ‘นักรบพลีชีพ’

ไม่นานมานี้มีข่าวที่ทางการไทยส่งนักโทษอุยกูร์กลับประเทศจีนตามหน้าสื่อที่ว่าทางการไทยส่งตัวชาวอุยกูร์ 40 คนที่ถูกคุมขังในไทยตั้งแต่ปี 2557 กลับสู่ประเทศจีน  ท่ามกลางเสียงก่นด่าจากประเทศตะวันตก จนคนไทยหลายคนด่าว่ารัฐบาลไทยเลว เอาใจจีนจนเอาชีวิตคนไปแลก เอาเป็นว่าวันนี้ลองเปิดใจมารับรู้ข้อมูลอีกด้านกันดูดีกว่าไหม  แล้วค่อยมาสรุปว่ารัฐบาลไทยเราเลวดังที่ใครๆ เขาว่าหรือไม่

ก่อนอื่นเราต้องมารู้จักองค์ก่อนหนึ่งก่อน นั่นคือ ขบวนการอิสลามเตอร์กิชสถานตะวันออก หรือ ETIM ขบวนการนี้มีการจัดตั้งกันมาตั้งแต่ปี 2476 เพื่อต่อสู้ให้เมืองซินเจียงที่เป็นเมืองหลักของชาวอุยกูร์เป็นรัฐอิสลามเพราะประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม

แต่ทว่าแท้จริงแล้วในซินเจียงยังมีชนชาติอื่นร่วมด้วยทั้ง ทั้งชาวฮั่น, ชาวคีร์กีช, ชาวมองโกล, ชาวหุย, ชาวคาซัค และชาติพันธุ์อื่นๆอีกกว่า 50 ชาติพันธุ์เพราะเหตุที่ว่าซินเจียงนี้เคยเป็นเส้นทางสายไหมทางบกในอดีตนั่นเอง นั่นทำให้จีนเลือกที่จะยกซินเจียงให้เป็นเขตปกครองตนเองของจีน เช่นเดียวกับทิเบต และนี่เองที่เป็นชนวนเหตุความขัดแย้งในพื้นที่

จนกระทั่งในปี 2511 มีการจัดตั้ง พรรคปฏิวัติประชาชนแห่งเตอร์กีชสถานตะวันออก ขึ้นโดยมีสาขาในเมืองอุรุมูฉี และเมืองคาชการ์ มีกองกำลังติดอาวุธเพื่อก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดน โดยอ้างตาม ETIM ในปลุกระดมผู้คนให้ก่อการครั้งนี้ว่า นี่คือ 'ญิฮาด' หรือ สงครามศักดิ์สิทธิ์ เพื่อจะสร้างแผ่นดินเสรีของเรา แม้ตามรายงานบอกว่าพรรคนี้สลายตัวไปตั้งแต่ปี 2532 แต่ยังมีผู้นำอยู่และแยกเป็นกลุ่มก่อการร้ายย่อย ๆ ภายใต้เงินทุนของชาติตะวันตก

มาถึงจุดนี้อ่านแล้วคุ้นๆ...ชาติพันธุ์ฝั่ง 45 น. ของไทยไหม

ณ เวลานั้นมีรายงานว่ามีการปลุกระดมเอาคนหนุ่มไปฝึกเป็น “นักรบพลีชีพ” เพื่อมาต่อสู้กับกองทัพจีน ซึ่งจะเห็นว่ามีเหตุการณ์ก่อการร้ายหลายครั้งที่เกิดขึ้น โดยแหล่งข่าวได้เล่าให้เอย่าฟังว่า นักรบเหล่านี้จะต้องเดินทางไปฝึกการรบดังกล่าวที่ประเทศหนึ่งที่อยู่ระหว่าง 2 ทวีป โดยใช้งบของประเทศที่ให้การสนับสนุนโจรใต้บ้านเรานั่นแหละ

แต่เหตุการณ์ดันโป๊ะตรงที่รัฐบาลจีนรู้ถึงการเดินทางของคนกลุ่มนี้และชี้เป้าให้ทางการไทยจับตัวไว้เมื่อปี 2557 โดยขณะนั้นทางการไทยเพียงตั้งข้อหาชาวอุยกูร์กลุ่มนี้ว่า เข้าเมืองผิดกฎหมาย

แม้จะไม่มีรายงานว่าชาวอุยกูร์กลุ่มนี้ถูกจับเดือนไหนแต่ช่วงเวลาดังกล่าวนั้นอยู่ในสายตาของนายกที่ชื่อประยุทธ์ จันทร์โอชา และท่านก็น่าจะทราบดีว่าคนเหล่านี้คือใครเพราะเวลานั้นไทยสนิทกับจีนมาก ในปี 2557 นั่นเอง จีนมีการตัดสินประหารชีวิตชาวอุยกูร์ที่ก่อเหตุระเบิดพลีชีพที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน โดยเหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างรอยร้าวในความสัมพันธ์ระหว่างชาวจีนฮั่นและชาติพันธุ์ในซินเจียงโดยเฉพาะชาวอุยกูร์เป็นอย่างมาก

ถามว่าถ้าลุงตู่ส่งชาวอุยกูร์กลับจีนตอนนั้นจะเกิดอะไรขึ้น....

ใช่แล้ว..ไทยเลือกจะไม่ส่งกลับแต่ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายจีนเข้ามาปรับทัศนคติและแก้ปัญหาในบ้านของเขาให้เรียบร้อย

วันนี้เป็นเวลาเกือบ 11 ปี อุยกูร์เป็นมณฑลที่ติดอันดับที่ 23 จาก 31 มณฑลของจีน และถ้าคิดเฉลี่ยเป็น GDP ต่อประชากร ซินเจียงเปลี่ยนไปอย่างผิดหูผิดตารวมถึงความอยู่ดีกินดีของประชากร  จีนสนับสนุนการศึกษาให้กลุ่มชาติพันธุ์ได้เรียนรู้ทั้งภาษาจีนกลางและภาษาถิ่นรวมถึงทำนุบำรุงศาสนสถานทุกศาสนาในเมือง ส่วนหนึ่งเพื่อให้เหล่าชาติพันธุ์ อีกส่วนหนึ่งคือความเป็นมรดกทางวัฒนธรรมประจำถิ่น ซินเจียงเป็นอีกหมุดหมายหนึ่งของนักท่องเที่ยวที่ต้องการความแปลกใหม่ในการท่องเที่ยวในประเทศจีน

สุดท้ายกลับมาที่นักโทษทั้ง 40 คนในคุกไทย ที่ตลอดเวลาร่วม 10 ปีได้รับการปรับทัศนคติจนเชื่อได้ว่าทั้งหมดอยากกลับไปหาญาติหาคนที่รักของเขาแล้ว และเชื่อได้ว่าตลอด 11 ปีมานี้ทางการจีนได้พัฒนาให้ชาวเมืองซินเจียงกลายเป็นคนที่มีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าเดิมมาก จนต้องมาตั้งคำถามว่า ทำไมต้องไปสร้างแผ่นดินในอุดมคติอีก ในเมื่อกลับไปพบกับครอบครัวที่อยู่ดีกินดีแล้ว...

คำถามก็คือ คำที่ชาติตะวันตกกล่าวหาไทยต่างๆ นานา นั้น ทำไปเพื่ออะไร ถ้าไม่ใช่ต้องการสร้างภาพให้จีนเป็นตัวร้าย แต่อย่างที่หลายคนกล่าว บางทีผู้นำประเทศเหล่านั้นก็ติดภาพฮอลลีวูดมาไปจนลืมว่าคนมีสติปัญญาเขาคิดได้ว่าถ้าทางการไทยอยากให้ชาวอุยกูร์กลุ่มนี้ตายจริงคงไม่ปล่อยให้เปลืองข้าวไทยมาเป็น 10 ปีหรอก

รู้จัก ‘คาลินินกราด’ ไข่แดงท่ามกลางนาโต้ เมืองที่เยอรมันไม่กล้าพูดถึง แต่ก็ลืมไม่ลง

กลางสมรภูมิร้อนระอุของยุโรป มีดินแดนหนึ่งที่เปรียบเสมือนกระดูกชิ้นโตติดคอของเยอรมนี ฝรั่งเศส และอังกฤษ ดินแดนที่พวกเขาอยากทำเป็นไม่สนใจ แต่กลับต้องจับตามองทุกความเคลื่อนไหว เมืองนั้นคือ คาลินินกราด อดีต 'คอนิกส์แบร์ก' เมืองหลวงแห่งปรัสเซียตะวันออก เมืองที่เคยเป็นหัวใจของอารยธรรมเยอรมัน แต่วันนี้กลายเป็น ห้องเก็บขีปนาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซีย ที่พร้อมจะทำให้ยุโรปทั้งทวีปต้องนั่งไม่ติด

จากศูนย์กลางแห่งปรัสเซียสู่หมากรบของเครมลิน
คอนิกส์แบร์กเคยเป็นเมืองสำคัญที่สุดเมืองหนึ่งของเยอรมัน เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยอัลแบร์ทิน่า บ้านเกิดของอิมมานูเอล คานท์ นักปรัชญาผู้เปลี่ยนแปลงโลก เป็นศูนย์กลางของกองทัพรัสเซียที่สร้างนักรบผู้แข็งแกร่ง และเป็นที่ที่กษัตริย์ฟรีดริชที่ 1 ประกาศสวมมงกุฎเป็นกษัตริย์แห่งปรัสเซียครั้งแรกในปี 1701 เมืองนี้เคยเป็นความภาคภูมิใจของจักรวรรดิเยอรมัน

แต่สงครามโลกครั้งที่สองได้เปลี่ยนทุกอย่าง หลังจากที่นาซีเยอรมันพ่ายแพ้ให้กับกองทัพแดงในปี 1945 คอนิกส์แบร์กก็ถูกโซเวียตเข้ายึด สตาลินสั่งขับไล่ชาวเยอรมันทั้งหมดออกจากพื้นที่ เปลี่ยนชื่อเมืองเป็น 'คาลินินกราด' เพื่อเป็นเกียรติแก่มีไคโล คาลินิน ผู้นำโซเวียต และทำให้เมืองนี้กลายเป็นป้อมปราการของคอมมิวนิสต์ นับแต่นั้นเป็นต้นมา เมืองที่เคยเป็นศูนย์กลางแห่งภูมิปัญญาเยอรมัน กลายเป็นศูนย์กลางของอาวุธสงคราม

เมืองที่เยอรมันไม่กล้าพูดถึง แต่ก็ลืมไม่ลง
ชาวเยอรมันบางกลุ่มยังคงมองคาลินินกราดด้วยความรู้สึกเจ็บปวด มันคือดินแดนที่เคยเป็นของพวกเขา เป็นมรดกแห่งจักรวรรดิที่พวกเขาสูญเสียไปตลอดกาล แต่อย่าเข้าใจผิด ไม่มีใครในรัฐบาลเยอรมันกล้าออกมาพูดว่าพวกเขาต้องการดินแดนนี้คืน เพราะการแตะต้องเมืองนี้ก็เท่ากับ ท้าทายเครมลินโดยตรง และไม่มีใครในยุโรปอยากเป็นต้นเหตุของสงครามโลกครั้งที่สาม

แต่ถึงจะไม่พูดออกมา ความจริงก็คือ คาลินินกราดเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ทำให้รัสเซียแข็งแกร่งในยุโรป และมันทำให้เยอรมันกับฝรั่งเศสต้องเกรงใจรัสเซียมากกว่าที่พวกเขาอยากยอมรับ

คลังแสงของรัสเซียที่พร้อมถล่มยุโรปตะวันตก
คาลินินกราดไม่ใช่แค่เมืองชายขอบของรัสเซีย แต่มันคือ ป้อมปราการทางทหารที่พร้อมโจมตียุโรปได้ทุกเมื่อ กองทัพรัสเซียใช้เมืองนี้เป็นฐานติดตั้ง ขีปนาวุธ Iskander-M ที่สามารถยิงหัวรบนิวเคลียร์ไปถึงกรุงเบอร์ลิน ปารีส หรือแม้แต่ลอนดอนได้ในเวลาไม่กี่นาที ไม่เพียงแค่นั้น เมืองนี้ยังเป็นที่ตั้งของ ระบบป้องกันภัยทางอากาศ S-400 ที่สามารถสกัดเครื่องบินของนาโตไม่ให้เข้าใกล้ได้

และถ้านั่นยังไม่พอ คาลินินกราดยังเป็น ที่ตั้งของกองเรือรัสเซียในทะเลบอลติก ซึ่งสามารถปิดเส้นทางเดินเรือที่สำคัญของยุโรปได้ในกรณีที่เกิดความขัดแย้ง ถ้ารัสเซียต้องการเล่นเกมหนักกับนาโต พวกเขาแค่ต้องสั่งให้กองเรือจากคาลินินกราดปิดกั้นทะเลบอลติก และยุโรปเหนือจะถูกตัดขาดจากเส้นทางขนส่งทันที

เยอรมัน อังกฤษ ฝรั่งเศส กับปัญหาที่พวกเขาแก้ไม่ได้
สงครามยูเครนทำให้ยุโรปต้องออกมาสนับสนุนเคียฟอย่างเต็มที่ เยอรมันกำลังส่งรถถัง เลโอโพลด์ ฝรั่งเศสกำลังส่งขีปนาวุธ อังกฤษกำลังช่วยฝึกทหารให้ยูเครน พวกเขาหวังว่า ถ้ารัสเซียแพ้ในยูเครน มันจะทำให้มอสโกอ่อนแอ

แต่ปัญหาก็คือ ถ้ารัสเซียถูกไล่ออกจากยูเครน คาลินินกราดจะกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญยิ่งกว่าเดิม เพราะเครมลินไม่มีวันยอมให้ตัวเองอ่อนแอลงในยุโรปโดยไม่มีการตอบโต้

เยอรมันรู้อยู่เต็มอกว่า ถ้าสงครามลุกลาม คาลินินกราดจะเป็นจุดที่ยุโรปต้องกังวลมากที่สุด พวกเขาไม่อยากให้รัสเซียใช้เมืองนี้เป็นฐานยิงนิวเคลียร์ไปยังยุโรปตะวันตก พวกเขาไม่อยากให้รัสเซียใช้มันเป็นฐานปิดล้อมทะเลบอลติก แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้

รัสเซียรู้ว่าไข่แดงนี้สำคัญแค่ไหน
เครมลินรู้ดีว่า คาลินินกราดคือ ไพ่ตายของรัสเซียในยุโรป พวกเขาไม่จำเป็นต้องทำอะไร แค่มีมันอยู่เฉย ๆ ก็ทำให้ยุโรปต้องนั่งไม่ติดแล้ว

ตอนนี้นาโตกำลังเสริมกำลังในโปแลนด์และลิทัวเนีย อังกฤษกำลังส่งเรือรบเข้าสู่ทะเลบอลติก ฝรั่งเศสกำลังเตรียมระบบป้องกันทางอากาศเพิ่มเติม แต่รัสเซียแค่ เพิ่มขีปนาวุธในคาลินินกราด เท่านั้นเอง และยุโรปก็ตื่นตระหนกกันไปหมด

สรุป: เมืองที่อันตรายที่สุดในยุโรป
คาลินินกราดเป็นมากกว่าเมือง มันคือ ป้อมปราการของรัสเซียในใจกลางยุโรป เป็นดินแดนที่ทำให้เยอรมันต้องเดินบนเปลือกไข่ และทำให้นาโตต้องคิดหนักก่อนจะเผชิญหน้ากับรัสเซีย

ในโลกที่เต็มไปด้วยสงครามการเมืองและการแข่งขันทางทหาร คาลินินกราดไม่ใช่แค่ 'เมืองชายขอบของรัสเซีย' แต่มันคือ หมากสำคัญบนกระดานที่สามารถเปลี่ยนดุลอำนาจของยุโรปได้ทุกเมื่อ

ไม่มีใครในตะวันตกอยากพูดถึงมัน ไม่มีใครอยากแตะมัน แต่ไม่มีใครสามารถทำเป็นลืมมันได้ เพราะพวกเขารู้ดีว่า ถ้าคาลินินกราดยังอยู่ รัสเซียก็จะไม่มีวันแพ้ในเกมอำนาจของยุโรป

ศาลสหรัฐฯ สั่งจีนจ่ายเงินชดเชย 24,000 ล้านดอลลาร์ ชี้เป็นต้นเหตุทำให้โลกเข้าใจผิดเกี่ยวกับโควิด-19 และปกปิดข้อมูล

(10 มี.ค. 68) สำนักข่าว The New York Times รายงานว่า ศาลกลางแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ออกคำสั่งให้ สาธารณรัฐประชาชนจีน จ่ายเงินชดใช้ความเสียหายแก่ รัฐมิสซูรี รัฐที่อยู่ทางตอนกลางของสหรัฐฯ จำนวน 24,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 816,000 ล้านบาท) หลังจากที่ศาลตัดสินว่า จีน ได้ชักนำให้โลกเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของ โควิด-19 โดยอ้างว่าจีนได้มีการปกปิดข้อมูลและปล่อยให้ข้อมูลผิดๆ แพร่กระจายออกไปจนกระทบต่อการรับมือการระบาดในระดับโลก

คำตัดสินดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจาก รัฐมิสซูรี ยื่นฟ้องร้องรัฐบาลจีนในข้อหาที่เกี่ยวข้องกับการจัดการข้อมูลที่ไม่โปร่งใสเกี่ยวกับต้นตอของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งมีการกล่าวหาว่าการกระทำดังกล่าวของจีนทำให้การแพร่ระบาดลุกลามอย่างรวดเร็วและส่งผลกระทบต่อชีวิตและเศรษฐกิจทั่วโลก

ศาลระบุว่า จีนต้องรับผิดชอบในการปกปิดข้อมูลที่สำคัญในช่วงเริ่มต้นของการระบาด ส่งผลให้รัฐบาลและประชาชนในหลายประเทศไม่สามารถเตรียมพร้อมตอบสนองต่อวิกฤตนี้ได้อย่างทันท่วงที ทำให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ รวมถึงความสูญเสียทางชีวิตอย่างมหาศาล

ทั้งนี้ ทางการจีนยังไม่ออกมาชี้แจงหรือแสดงความคิดเห็นต่อคำสั่งของศาลสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าจีนอาจจะยื่นอุทธรณ์คำตัดสินนี้ เนื่องจากยังคงยืนยันว่าไม่มีการปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับการระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งอาจมีต้นกำเนิดจากแหล่งอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับจีน

สำหรับคำตัดสินดังกล่าว ถือเป็นคำตัดสินที่สำคัญในคดีที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบทางกฎหมายในระดับสากลเกี่ยวกับการระบาดของโควิด-19 ซึ่งมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่ยังคงร้อนระอุในหลายประเด็น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top