Tuesday, 17 June 2025
ค้นหา พบ 48853 ที่เกี่ยวข้อง

WHA ประกาศแผน Spin-off WHAID บริษัท Flagship ในธุรกิจกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เตรียมเดินหน้า!! เข้าจดทะเบียนใน ‘ตลาดหลักทรัพย์ฯ’ พร้อมมุ่งขยายธุรกิจทั้ง 5 กลุ่ม

(24 ก.พ. 68) บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (“WHA” หรือ “บริษัทฯ”) แจ้งมติคณะกรรมการบริษัทฯ เดินหน้าแผนเตรียมการออกและเสนอขายหุ้นสามัญของบริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (“WHAID”) ต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (“IPO”) เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (“SET”) โดยจำนวนหุ้นสามัญที่จะเสนอขายในครั้งนี้คิดเป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 22.73 (ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของ WHAID ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO) ซึ่ง บริษัทฯ จะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ WHAID โดยจะถือหุ้นทั้งทางตรงและทางอ้อมในสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 75.95 (ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของ WHAID ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO)

กลุ่มบริษัทฯ เล็งเห็นถึงโอกาสในการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ผ่านแผนการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นในระยะยาวสำหรับทั้ง 5 กลุ่มธุรกิจหลัก ซึ่งได้แก่ 

1) ธุรกิจโลจิสติกส์ 

2) ธุรกิจโมบิลิตี้ (ภายใต้แบรนด์ Mobilix) 

3) ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม 

4) ธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน 

5) ธุรกิจดิจิทัล โดยแผนการเสนอขายหุ้น IPO ของ WHAID จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินและเพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงโอกาสในการสร้างการเติบโตของทุกธุรกิจอย่างยั่งยืนในอนาคต

นอกจากนี้ คณะกรรมการของบริษัทฯ และของ WHAID ยังมีมติอนุมัติการปรับโครงสร้างการถือหุ้นในบริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) (“WHAUP”) ผ่านการขายหุ้น WHAUP ในสัดส่วนร้อยละ 10.00 โดย WHAID และบริษัทย่อยของ WHAID ให้แก่ WHA เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการเพิ่มความยืดหยุ่นและเสริมสร้างความสามารถเชิงกลยุทธ์ในการประกอบธุรกิจของ WHAUP และเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหุ้นของทั้ง WHA, WHAID และ WHAUP โดยภายหลังการปรับโครงสร้างในครั้งนี้ WHA และ WHAID จะมีสัดส่วนการถือหุ้นใน WHAUP ที่ร้อยละ 10.00 และร้อยละ 61.59 ตามลำดับ ทั้งนี้ คาดว่าธุรกรรมการปรับโครงสร้างดังกล่าวจะแล้วเสร็จก่อนการเสนอขายหุ้น IPO ของ WHAID

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า WHAID ถือเป็นหนึ่งในธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัทฯ ซึ่งประกอบธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรม โดยปัจจุบัน WHAID มีนิคมอุตสาหกรรมกว่า 15 แห่ง และมีพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมกว่า 78,500 ไร่ ทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม ประกอบด้วยนิคมอุตสาหกรรมที่เปิดดำเนินการแล้ว 13 แห่ง และนิคมอุตสาหกรรมที่อยู่ระหว่างการพัฒนา 2 แห่ง (และส่วนขยายของนิคมอุตสาหกรรมเดิมที่อยู่ระหว่างการพัฒนาอีก 2 แห่ง) นอกจากนี้ ยังมีโครงการนิคมอุตสาหกรรมใหม่และส่วนขยายของนิคมอุตสาหกรรมเดิมที่รอการพัฒนาอีกจำนวน 7 โครงการ โดย WHAID ได้มุ่งมั่นพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศอัจฉริยะ (Smart ECO Industrial Estate) อย่างต่อเนื่อง พร้อมเป็นพันธมิตรที่ให้บริการโซลูชั่นแบบครบวงจรแก่ลูกค้า

กลุ่มบริษัทฯ ได้เล็งเห็นถึงโอกาสในการเติบโตของธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรมจากแนวโน้มการย้ายฐานการผลิตจากผู้ลงทุนต่างชาติ โดยทั้งประเทศไทยและประเทศเวียดนาม ถือเป็นพื้นที่ตั้งยุทธศาสตร์ที่เป็นศูนย์รวมของห่วงโซ่อุปทานที่ครบวงจร อีกทั้งมีความพร้อมด้านระบบสาธารณูปโภค และมีความมั่นคงด้านพลังงาน ด้วยเหตุนี้ กลุ่มบริษัทฯ จึงได้พิจารณาให้ WHAID ซึ่งประกอบธุรกิจหลักในการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม เตรียมความพร้อมในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ รองรับการเติบโตของธุรกิจด้วยโครงสร้างเงินทุนที่เหมาะสม รวมถึงจะช่วยเพิ่มช่องทางการระดมทุนให้ WHAID สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ด้วยตนเองมากขึ้นในอนาคต การระดมทุนของ WHAID ครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงของธุรกิจพัฒนานิคมและที่ดินอุตสาหกรรมของกลุ่มบริษัทฯ ในระยะยาว ทั้งจากการเติบโตจากภายใน (Organic Growth) และการสร้างความพร้อมเพื่อคว้าโอกาสจากการเติบโตจากภายนอกผ่านการเข้าซื้อกิจการ รวมถึงทรัพย์สินอื่นๆ (Inorganic Growth) ในอนาคต

ในการ IPO ของ WHAID ในครั้งนี้ WHAID และผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่ร่วมเสนอขายหุ้น จะเสนอขายหุ้นสามัญรวมเป็นจำนวนไม่เกิน 970,518,600 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 22.73 (ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของ WHAID ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO) ซึ่งจะประกอบไปด้วย 2 ส่วน ได้แก่ 1) หุ้นสามัญเพิ่มทุนของ WHAID คิดเป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 9.09 (ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของ WHAID ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO) และ 2) หุ้นสามัญเดิมของ WHAID คิดเป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 13.64 (ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของ WHAID ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO) ทั้งนี้ ภายหลังการ IPO WHAID ยังคงมีสถานะเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ โดยบริษัทฯ จะถือหุ้นใน WHAID ทั้งทางตรงและทางอ้อมในสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 75.95 ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของ WHAID ภายหลังการ IPO ทั้งนี้ WHAID ร่วมกับคณะที่ปรึกษาอยู่ระหว่างการจัดเตรียมแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนเพื่อยื่นให้แก่สำนักงาน ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ พิจารณาต่อไป

นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทฯ มีแผนที่จะปรับโครงสร้างการถือหุ้นใน WHAUP โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความสามารถเชิงกลยุทธ์ของ WHAUP ในการขยายธุรกิจ เนื่องจากธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงานเป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินทุนสูง โดยการปรับโครงสร้างดังกล่าวจะส่งผลให้ ทั้งบริษัทฯ และ WHAID เป็นผู้ถือหุ้นโดยตรงของ WHAUP  จะเพิ่มความยืดหยุ่นสำหรับ WHAUP ในกรณีที่จำเป็นต้องจัดหาแหล่งเงินทุนเพิ่มเติมเพื่อขยายธุรกิจในอนาคต 

การเดินหน้าแผน Spin-off WHAID และปรับโครงสร้างการถือหุ้นใน WHAUP ครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ขับเคลื่อนทุกธุรกิจหลักของบริษัทฯ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยแต่ละธุรกิจจะมีโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่ง และสามารถนำเงินจากการเสนอขายหุ้นสามัญเดิมของ WHAID ไปสนับสนุนแผนการเติบโตเพื่อสร้างมูลค่าระยะยาวแก่ผู้ถือหุ้น ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทฯ มีเป้าหมายและงบประมาณการลงทุนในระยะ 5 ปี (2568-2572) สำหรับแต่ละธุรกิจ ดังนี้

1) ธุรกิจโลจิสติกส์ บริษัทฯ มีเป้าหมายภายในปี 2568 ที่จะเพิ่มสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการเป็นประมาณ 3,309,000 ตารางเมตร มีโครงการให้เช่าพื้นที่ใหม่ประมาณ 200,000 ตารางเมตร โดยคาดการณ์งบลงทุนภายใน 5 ปีที่ 19,000 ล้านบาท เพื่อเตรียมขยายธุรกิจโลจิสติกส์ทั้งในไทยและเวียดนาม 

2) ธุรกิจโมบิลิตี้ (ภายใต้แบรนด์ Mobilix) ตั้งเป้าหมายให้มีผู้ใช้บริการเช่าแล้ว 1,700 คันภายในปี 2568 และ 20,000 คัน ภายในปี 2572 โดยบริษัทฯ ได้กำหนดงบลงทุนภายใน 5 ปี ที่ 30,000 ล้านบาท ธุรกิจโมบิลิตี้เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ซึ่งในปัจจุบันประกอบไปด้วย 3 บริการหลัก ได้แก่ บริการให้เช่ารถยนต์ไฟฟ้า (EV Rental Service) บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (On Premise & Public EV Charging Solution) และโมบิลิกส์ซอฟต์แวร์โซลูชัน (Mobilix Software Solution) ซึ่งตั้งเป้าให้บริการทั้งในกลุ่ม B2B และ B2C  

3) ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ตั้งเป้าหมายยอดขายที่ดินเป็นจำนวน 2,350 ไร่ ในปี 2568 และคาดการณ์งบลงทุนภายใน 5 ปี ที่ 37,000 ล้านบาท โดยธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมจะมุ่งรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรมของประเทศไทย และการเร่งขยายการเติบโตในประเทศเวียดนาม เพื่อเน้นดึงดูดนักลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สินค้าอุปโภคบริโภค อิเล็กทรอนิกส์ ดาต้าเซนเตอร์ สมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ คลาวด์เซอร์วิส  

4) ธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน สำหรับธุรกิจสาธารณูปโภค ตั้งเป้าการจำหน่ายน้ำในปี 2568 ที่ 173 ล้านลูกบาศก์เมตร ผ่านการขยายธุรกิจน้ำอุตสาหกรรมและบำบัดน้ำเสียทั้งในไทยและเวียดนาม สำหรับธุรกิจพลังงานจะขยายการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนทั้งในไทยและเวียดนาม โดยตั้งเป้าหมายสำหรับปี 2568 ในการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดเป็น 1,185 เมกะวัตต์ โดยคาดการณ์งบลงทุนภายใน 5 ปีที่ 29,000 ล้านบาท 

5) ธุรกิจดิจิทัล ตั้งเป้าหมายพัฒนา 5 แอปพลิเคชันใหม่ ภายในปี 2568 และคาดการณ์งบลงทุนภายใน 5 ปี ที่ 4,000 ล้านบาท สำหรับการวิจัยและพัฒนาแพลตฟอร์มใหม่ๆ โดยธุรกิจดิจิทัลนั้นเป็นแกนกลางในการช่วยเสริมความแข็งแกร่งในการนำเทคโนโลยีต่างๆ เช่น AI และ IoT มาประยุกต์ใช้ในแต่ละธุรกิจภายในกลุ่มบริษัทฯ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดำเนินงาน 

สุดท้ายนี้ กลุ่มบริษัทฯ ขอตอกย้ำความมั่นใจ ว่าการปรับโครงสร้างเพื่อรองรับการขยายการลงทุนในครั้งนี้ จะเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแกร่ง และการเติบโตอย่างยั่งยืนในทุกกลุ่มธุรกิจของบริษัทฯ ตลอดจนสร้างประโยชน์สูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้น ลูกค้า คู่ค้า และผู้มีส่วนได้เสียในทุกส่วน ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจ “WHA: WE SHAPE THE FUTURE” ในการเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างอนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนให้กับผู้คน สังคม และประเทศไทยต่อไป

กองทัพอากาศสวิตเซอร์แลนด์ ครั้งหนึ่ง เคยทำการบินสกัดกั้น เฉพาะในวัน-เวลาทำการเท่านั้น เหตุ!! ถูกลด ‘งบการทหาร’

(24 ก.พ. 68) เรื่องราวสุดเหลือเชื่อนี้เกิดขึ้นจริงในปี 2014 วันที่ 17 กุมภาพันธ์ เมื่อเที่ยวบินที่ 702 ของสายการบิน Ethiopian ซึ่งเดินทางจากกรุงแอดดิสอาบาบาไปยังนครมิลานโดยผ่านกรุงโรม โดยเครื่องบินลำดังกล่าว เป็นเครื่องบินโดยสารแบบ Boeing 767-3BGER หมายเลข MSN 30563 หมายเลขทะเบียน ET-AMF ถูกจี้ระหว่างบินจากกรุงแอดดิสอาบาบาไปยังกรุงโรมโดย Hailemedhin Abera Tegegn นักบินผู้ช่วยซึ่งไม่มีอาวุธเลย 

เครื่องส่งสัญญาณฉุกเฉินของเที่ยวบินที่ 702 เริ่มส่งสัญญาณ 7500 ซึ่งเป็นรหัสสากลสำหรับแสดงสถานะเครื่องบินถูกจี้ ขณะบินไปทางเหนือของซูดาน เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อนักบินออกจากห้องนักบินเพื่อเข้าห้องน้ำ นักบินผู้ช่วยได้จัดการล็อกประตูห้องนักบินและทำการบินต่อเพียงลำพัง เที่ยวบินดังกล่าวมีกำหนดเดินทางมาถึงท่าอากาศยานเลโอนาร์โด ดา วินชี–ฟิอูมิชิโนในกรุงโรม อิตาลี เวลา 04:40 น. แล้วจะเดินทางต่อไปยังท่าอากาศยานมัลเปนซาในนครมิลาน แต่เครื่องบินเที่ยวบินที่ 702 นี้กลับบินไปยังนครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ โดยนักบินผู้ช่วยได้บินวนอยู่หลายรอบในขณะที่ติดต่อกับหอบังคับการบินของท่าอากาศยานนานาชาติเจนีวา ซึ่งนักบินผู้จี้เครื่องบินรายนี้ได้เจรจาถึงเรื่องการขอสถานะผู้ลี้ภัยทางการเมืองให้กับตนเอง อีกทั้งขอคำมั่นสัญญาจากรัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ว่า จะไม่ส่งตัวเขากลับไปดำเนินคดียังเอธิโอเปีย

เวลา 06:02 น. ของเช้าวันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2014 เที่ยวบินที่ 702 ของสายการบิน Ethiopian ได้ลงจอดที่สนามบินนานาชาติเจนีวา โดยมีเชื้อเพลิงเหลืออยู่พอบินได้อีกประมาณ 10 นาที และเครื่องยนต์เครื่องหนึ่งดับ Hailemedhin นักบินผู้ช่วยออกจากเครื่องบินโดยปีนเชือกที่เขาโยนออกไปนอกหน้าต่างห้องนักบิน ก่อนจะเดินไปหาตำรวจเพื่อมอบตัว หลังจากระบุว่า ตนเองเป็นผู้ก่อเหตุ และถูกควบคุมตัว สนามบินนานาชาติเจนีวาถูกสั่งปิดเป็นการชั่วคราวในระหว่างเหตุการณ์ดังกล่าวซึ่งไม่มีผู้โดยสารหรือลูกเรือคนใดได้รับบาดเจ็บ

เครื่องบินที่ถูกจี้ลำดังกล่าวบินเข้าน่านฟ้าของสวิตเซอร์แลนด์โดยไม่มีการสกัดกั้นจากเครื่องบินขับไล่ของกองทัพอากาศสวิสเซอร์แลนด์เลย มีเพียงการบินประกบคุ้มกันโดยเครื่องบินขับไล่ของกองทัพอากาศฝรั่งเศสและอิตาลีจนกระทั่งลงจอดที่สนามบินนานาชาติเจนีวา ด้วยเพราะในช่วงเวลานั้นกองทัพอากาศสวิสก่อตั้งขึ้นในปี 1914 ถูกลดค่าใช้จ่ายด้านการทหารลดลง จนแทบไม่มีการซื้อเครื่องบินขับไล่แทนเครื่องบินขับไล่แบบเก่าซึ่งกำลังจะหมดสภาพใช้งาน และทำให้นักบินรบหลายคนต้องกลายเป็นกำลังสำรองไป โดยเวลาในการปฏิบัติการของเครื่องบินขับไล่สังกัดกองทัพอากาศสวิสเซอร์แลนด์ในตอนนั้นคือ วันจันทร์ถึงวันศุกร์ เวลา 08.00-17.00 น. (โดยมีเวลาพักเที่ยงอีกหนึ่งชั่วโมงครึ่ง) เท่านั้น 

ดังนั้นเครื่องบินขับไล่ฝรั่งเศสและอิตาลีจึงต้องทำหน้าที่บินคุ้มกันเครื่องบินเที่ยวบินที่ 702 ของสายการบิน Ethiopian ที่ถูกจี้ไปลงจอดยังสนามบินเจนีวาอย่างปลอดภัยในเช้าวันจันทร์ เนื่องจากเมื่อเวลา 06.02 น. ยังต้องรออีกเกือบ 2 ชั่วโมงก่อนที่กองทัพอากาศสวิสเซอร์แลนด์จะเริ่มปฏิบัติงาน ซึ่งแหล่งข่าวของทางการสวิสเซอร์แลนด์ระบุว่า “สวิตเซอร์แลนด์ไม่สามารถเข้าแทรกแซงได้ เนื่องจากฐานทัพอากาศของประเทศปิดทำการในตอนกลางคืนและวันหยุดสุดสัปดาห์ อันเนื่องมาจากเรื่องของงบประมาณและเจ้าหน้าที่” ทำให้ช่วงเวลานั้น สวิสเซอร์แลนด์ต้องพึ่งพาศักยภาพด้านการทหารของเพื่อนบ้าน เพื่อให้ความสามารถในการตอบสนองการป้องภัยทางอากาศตลอด 24 ชั่วโมงด้วยเครื่องบินขับไล่สกัดกั้น รัฐบาลสวิสเซอร์แลนด์จึงมีข้อตกลงกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอิตาลีและฝรั่งเศส อนุญาตให้เครื่องบินขับไล่ของกองทัพอากาศทั้งสองสามารถบินเข้าสู่พื้นที่น่านฟ้าของสวิตเซอร์แลนด์ได้ทุกเมื่อที่จำเป็นเพื่อจัดการกับภัยคุกคามทางอากาศ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความเสี่ยงที่อีกมาก เพราะหากเครื่องบินถูกจี้บินเหนือสวิตเซอร์แลนด์ และถูกสั่งให้โจมตีเป้าหมายที่มีความอ่อนไหวภายในประเทศ เครื่องบินขับไล่จากฝรั่งเศสหรืออิตาลีจะมีโอกาสน้อยมากที่จะบินเข้ามาสกัดกั้นได้ทันเวลา” ในระหว่างการประชุมเวิลด์อีโคโนมิกฟอรัมที่เมืองดาวอส สวิสเซอร์แลนด์เมื่อเดือนมกราคม 2014 รัฐบาลสวิสเซอร์แลนด์ถึงกับต้องร้องขอให้กองทัพอากาศออสเตรียช่วยดูแลน่านฟ้าของตน

สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศเล็ก ๆ ที่รักษาความเป็นกลางมาโดยตลอด ดังนั้น กำลังทางอากาศจึงมีขนาดจำกัด และไม่สามารถรับมือกับความขัดแย้งทางอากาศในระยะยาวได้ ภารกิจหลักของกองทัพอากาศสวิสฯ คือการรับประกันอธิปไตยทางอากาศและการป้องกันทางอากาศทั่วประเทศ ซึ่งทำได้โดย (1) รักษาการเพื่อควบคุมน่านฟ้าทั่วไปป้องกันการบุกรุกน่านฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาตผ่านเรดาร์ตลอด 24 ชั่วโมง (โดยมีการขยายขอบเขตโดยการเปิดใช้งานหน่วยป้องกันภัยทางอากาศภาคพื้นดิน (GBAD)) และ (2) ควบคุมดูแลทางอากาศตลอด 24 ชั่วโมงทุกวันเพื่อปกป้องน่านฟ้า โดยมีภารกิจรองคือ การดำเนินการขนส่งทางอากาศ การลาดตระเวน และการรวบรวมและวิเคราะห์ข่าวกรองสำหรับผู้นำรัฐบาลและผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพ 

หลังจากเหตุการณ์จี้เครื่องบินเที่ยวบินที่ 702 ของสายการบิน Ethiopian มาลงจอดยังสนามบินนานาชาติเจนีวาแล้ว มีการปรับปรุงขีดความสามารถในการป้องกันภัยทางอากาศของกองทัพอากาศสวิสเซอร์แลนด์อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2017 เครื่องบินขับไล่ของกองทัพอากาศสวิสเซอร์แลนด์สามารถปฏิบัติการบินสกัดกั้น ในเวลา 8.00-18.00 น. ได้ทุกวันตลอดทั้งปี ต่อมาในปี 2019 เพิ่มเวลาปฏิบัติการเป็น 06.00-22.00 น. และตั้งแต่สิ้นปี 2020 เครื่องบินขับไล่ของกองทัพอากาศสวิสเซอร์แลนด์มีขีดความสามารถในปฏิบัติการบินสกัดกั้นได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวันตลอดทั้งปี และเมื่อเปรียบเทียบกับกองทัพอากาศไทยของเราแล้ว เครื่องบินขับไล่ของกองทัพอากาศไทยจากทุกฐานบิน มีขีดความสามารถในปฏิบัติการบินสกัดกั้นตลอด 24 ชั่วโมงทุกวันตลอดทั้งปีมาอย่างต่อเนื่องยาวนานหลายสิบปีแล้ว ซึ่งเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุดของคำถามที่ว่า “ทหาร มีไว้ทำไม?”

‘บอริส จอห์นสัน’ เผย!! ยุโรปใช้ยูเครน เป็นตัวแทน ทำสงครามกับรัสเซีย ชี้!! สนับสนุนน้อยไปหน่อย จึงรบได้ไม่เต็มที่ คล้าย!! คนถูกมัดมือข้างหนึ่ง

(24 ก.พ. 68) เพจ ‘Ethan Hunts’ ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า ...

โบโจ้ เอเคเอ บอริส จอห์นสัน อดีตนายกอังกฤษ ให้สัมภาษณ์และสารภาพออกสื่อ สงครามรัสเซีย-ยูเครน ยุโรปใช้ยูเครน เป็นตัวแทนทำสงครามกับรัสเซีย โดยมียุโรป ในนามเนโต้หนุนหลัง

เขาเผยว่า สงครามตัวแทนนี้ ยุโรปในฐานะผู้ยุยงส่งเสริม ให้การสนับสนุนยูเครนน้อยจนเกินไป ยูเครนจึงอยู่ในสภาพคล้าย คนถูกมัดมือข้างหนึ่ง จึงรบได้ไม่เต็มที่

‘SPCG’ ประกาศ!! กำไรสุทธิปี 67 ที่ 746.8 ล้านบาท เตรียมจ่าย!! ปันผลครึ่งปีหลัง 0.70 บาทต่อหุ้น

(24 ก.พ. 68) บมจ.เอสพีซีจี หรือ SPCG ประกาศผลการดำเนินงานปี 2567 ทำรายได้จากการขายและการให้บริการ 2,049.2 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 746.8 ล้านบาท เตรียมจ่ายเงินปันผลครึ่งปีหลัง 0.70 บาทต่อหุ้น รวมทั้งปีจ่ายปันผลอัตรา 1.20 บาทต่อหุ้น สะท้อนฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง รวมถึงมีอัตราหนี้สินต่อทุนอยู่ในระดับต่ำ มั่นใจศักยภาพการสร้างรายได้และกำไรในอนาคตของโครงการโซลาร์ฟาร์ม แม้สิ้นสุดระยะเวลาได้รับ Adder บริษัทฯ ยังคงได้รับเงินจากการขายไฟตามปกติ

ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG เปิดเผยผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 4 ปี 2567 บริษัทฯ สามารถสร้างรายได้และผลกำไรอย่างต่อเนื่องจากการดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ หรือ โซลาร์ฟาร์ม โดยมีรายได้จากการขายและการให้บริการ 455.2 ล้านบาทและมีกำไรสุทธิ 127.8 ล้านบาท

ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2567 สามารถผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าทั้งสิ้นจำนวน 372.5 ล้านหน่วย ส่งผลให้มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 2,049.2 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 746.8 ล้านบาท ชะลอตัวจากปีก่อนที่มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 4,125.6 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,973.9 ล้านบาท เนื่องจากโครงการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 36 แห่ง ได้สิ้นสุดระยะเวลาได้รับรายได้เงินอุดหนุนส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) ที่อัตรา 8 บาทต่อหน่วย และรายได้จากธุรกิจติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา หรือ โซลาร์รูฟ ชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม แม้ไม่ได้รับ Adder แต่โครงการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ยังคงมีศักยภาพสร้างรายได้และผลกำไรที่ดีอย่างต่อเนื่อง  

จากผลการดำเนินงานปี 2567 ที่สามารถสร้างกำไรอย่างต่อเนื่อง ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 จึงพิจารณาจ่ายเงินปันผลอัตรา 1.20 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,266,948,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 14.90% เมื่อเทียบกับราคาหุ้น SPCG ที่ 8.05 บาท ณ สิ้นวันทำการของวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 โดยบริษัทฯ ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2567 ไปแล้วในอัตรา 0.50 บาทต่อหุ้น คงเหลือที่จะจ่ายเงินปันผลในงวดนี้ 0.70 บาทต่อหุ้น กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 11 มีนาคม 2568 และจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 อย่างไรก็ตามการจ่ายเงินปันผลดังกล่าวจะต้องได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568

ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SPCG กล่าวว่า บริษัทฯ มีความมั่นใจศักยภาพธุรกิจจะสามารถสร้างรายได้และกำไรอย่างสม่ำเสมอ โดยปัจจุบันมีโครงการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เปิดดำเนินการรวม 36 แห่ง ในพื้นที่ 10 จังหวัดของประเทศไทย อาทิ นครราชสีมา, ขอนแก่น, สกลนคร, นครพนม, บุรีรัมย์ ฯลฯ มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม260 เมกะวัตต์ (MW) รวมถึงยังมีรายได้ธุรกิจติดตั้งโซลาร์รูฟสำหรับบ้านพักอาศัย สำนักงาน อาคารธุรกิจขนาดเล็ก-ใหญ่ โรงงานอุตสาหกรรมและอื่น ๆ

“แม้ผลการดำเนินงานปีที่ผ่านมาชะลอตัวลง แต่บริษัทฯ ยังคงมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีอัตราหนี้สินต่อทุน ณ สิ้นปี 2567 อยู่ในระดับต่ำที่ 0.01 เท่า รวมถึงมีกระแสเงินสดอยู่ในระดับที่ดี สามารถจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอและเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง” ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SPCG กล่าว

‘การไฟฟ้า-ตำรวจ สภ.ลาดหลุมแก้ว’ บุกทลาย!! เหมืองบิตคอยน์รายใหญ่ ย่านปทุมธานี ขโมยไฟฟ้าหลวงใช้!! สูญปีละกว่า 40 ล้านบาท ผงะ!! พบกำลังขุดอยู่ มากถึง 440 เครื่อง

เมื่อวันที่ (21 ก.พ. 68) นายธนิต เหมือนทอง ผู้จัดการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอ ลาดหลุมแก้ว พ.ต.ต.ณัฎพล อุดน้อย สว.(สอบสวน)สภ.ลาดหลุมแก้ว พร้อมด้วยกำลังฝ่ายปกครองอำเภอลาดหลุมแก้ว และเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน นำหมายค้นของศาลจังหวัดปทุมธานี เข้าทำการตรวจค้นโกดังให้เช่าเลขที่ 34/7 ซอยโรงเชือดไก่ ม.2 ต.หน้าไม้ อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี หลังสืบทราบว่ามีการขโมยไฟฟ้าใช้อย่างผิดกฎหมาย

จากการเข้าตรวจค้นโกดังลักษณะโครงสร้างเหล็กยกสูง เนื้อที่ประมาณ 100 ตร.ว. ภายในพบเครื่องขุดบิตคอยน์ใช้งานอยู่จำนวน 440 เครื่อง พัดลมระบายความร้อน หม้อแปลงไฟฟ้าขนาด 1500KVA3 เฟส ซุกซ่อนอยู่ด้านหลัง 1 ตัว พัดลมระบายอากาศทำงานอยู่จำนวนหลายเครื่อง โน๊ตบุ๊ก เครื่องระบายความร้อน อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องขุดบิทคอยน์ใช้แล้วจำนวนมาก

จากการตรวจสอบเบื้องต้นไม่มีผู้ใดทำงานอยู่ภายใน แต่มีการเดินเครื่องบิตคอยน์อยู่ตลอดเวลา มีการระบายความร้อนของห้องขุดบิตคอยน์คล้ายระบบชิลเลอร์เครื่องปรับอากาศ

นายธนิต เปิดเผยว่า ตั้งแต่ช่วงเย็นวานนี้เจ้าหน้าที่การไฟฟ้าพบมีความผิดปกติของการเดินสายไฟฟ้าแรงสูง เลยสุ่มวัดค่ากระแสไฟฟ้าแรงสูง พบมีค่าผิดปกติกับหม้อแปลงที่ขนาดใช้อยู่จะใช้ไม่เกิน 6 แอมป์ต่อเฟส แต่วัดได้ 30 แอมป์ต่อเฟส จึงสันนิษฐานว่ามีทำเหมืองบิตคอยน์แน่นอน เพราะกระแสไฟฟ้าสูงขนาดนี้

ในช่วงเช้าวันนี้ตนเองจึงเข้าไปแจ้งความกับพนักงานสอบสวนสภ.ลาดหลุมแก้ว เพื่อขอให้พนักงานสอบสวนขออำนาจศาลออกหมายค้น จึงพบเหมืองขุดบิตคอยน์ขนาดใหญ่มีการลักลอบใช้ไฟฟ้า คือจุดนี้มีการขอใช้ไฟฟ้าขนาด 50KVA แต่จริงแล้วด้านหลังมีการซุกซ่อนติดตั้งหม้อแปลงอีกตัวหนึ่งขนาด 1500KVA โดยการขโมยไฟฟ้าแรงสูงไปเข้าหม้อแปลงและจ่ายแรงต่ำใช้ในการขุดบิตคอยน์ โดยจุดนี้มีการขออนุญาติใช้ไฟฟ้ามาประมาณ 12 เดือน

ขณะเข้าทำการตรวจค้นไม่พบเจ้าของ โดยเครื่องที่ใช้งานอยู่จำนวน 440 เครื่อง และวางกองอยู่อีกจำนวน 100 เครื่อง ความเสียหายของการไฟฟ้าประมาณเดือนละ 3 ล้านบาทเศษ ตกปีละประมาณ 40 ล้านบาท หลังจากนี้จะได้ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจในการติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดี ทั้งนี้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานได้เข้าเก็บหลักฐานอย่างละเอียดเพื่อใช้ประกอบคดีทั้งหมดแล้ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top