Wednesday, 18 June 2025
ค้นหา พบ 48881 ที่เกี่ยวข้อง

ไต่สวนแก๊งสแกมเมอร์เมียนมา เสียหายหมื่นล้าน พบเหยื่อดับ 14 ราย เร่งล่าผู้ก่อเหตุอีกนับพัน

(20 ก.พ. 68) ศาลท้องถิ่นเมืองเวินโจว มณฑลเจ้อเจียงทางตะวันออกของจีน ได้ดำเนินการพิจารณาคดีความกับจำเลยทั้งหมด 23 ราย ซึ่งเป็นสมาชิกหลักของกลุ่มฉ้อโกงทางโทรคมนาคมขนาดใหญ่หลายกลุ่มในภาคเหนือของเมียนมา ระหว่างวันที่ 14-19 ก.พ. โดยมีการพิจารณาหลายข้อหา รวมถึงอาชญากรรมที่ทำให้พลเมืองจีนเสียชีวิต 14 ราย และบาดเจ็บ 6 ราย

จำเลยส่วนหนึ่ง ได้แก่ เมียง มยิ่น ชอน พยิ่น และมะ ทิริ เมียง หัวหน้าแก๊งอาชญากรรมที่นำโดยครอบครัวของพวกเขา รวมถึงสมาชิกหลักของแก๊งและสมาชิกแก๊งอื่นๆ ที่เป็น “ผู้สนับสนุน” การก่ออาชญากรรม โดยพวกเขาถูกตั้งข้อหาทางอาญา 11 กระทง เช่น ฉ้อโกง เจตนาฆ่า เจตนาทำร้ายร่างกาย กักขังหน่วงเหนี่ยวอย่างผิดกฎหมาย เปิดกาสิโน ค้ายาเสพติดและประเวณี

คณะอัยการกล่าวว่าจำเลยเหล่านี้ใช้ประโยชน์จากอิทธิพลของครอบครัวในพื้นที่ตอนเหนือของเมียนมา จัดตั้งแหล่งซ่องสุมแก๊งอาชญากรรมหลายแก๊ง ให้การคุ้มกันด้วยอาวุธแก่ปฏิบัติการของ “ผู้สนับสนุน” และสมรู้ร่วมคิดในการก่ออาชญากรรมต่างๆ เช่น แผนการฉ้อโกงทางโทรคมนาคมที่มีเป้าหมายเป็นประชาชนในจีน

คำฟ้องร้องระบุว่าอาชญากรรมการพนันและการฉ้อโกงเกี่ยวพันกับเงินทุนมากกว่า 1 หมื่นล้านหยวน (ราว 5 หมื่นล้านบาท) และส่งผลให้พลเมืองจีนเสียชีวิต 14 ราย และบาดเจ็บ 6 ราย

เหตุการณ์ที่เป็นกรณีสำคัญเกิดขึ้นวันที่ 20 ต.ค. 2023 แก๊งอาชญากรรมร่วมมือกับ “ผู้สนับสนุน” จัดการคุ้มกันด้วยอาวุธระหว่างโยกย้ายคนที่ทำงานให้แก๊งของพวกเขาเพื่อหลีกหนีการปราบปราม โดยบางคนพยายามหลบหนีแต่ถูกทีมคุ้มกันยิงจนทำให้มีผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บหลายราย

คณะอัยการได้แสดงหลักฐานให้จำเลยแต่ละรายและทนายความของพวกเขาตรวจสอบระหว่างการพิจารณาคดีความ ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้อธิบายโต้แย้งตามลำดับและจำเลยให้การครั้งสุดท้าย ท่ามกลางการสังเกตการณ์ของสมาชิกสภานิติบัญญัติ ที่ปรึกษาทางการเมือง นักข่าว สมาชิกครอบครัวของผู้ที่เกี่ยวข้อง และสาธารณชนรวมมากกว่า 100 คน

อนึ่ง ศาลจะประกาศผลการพิจารณาคดีความครั้งนี้ใน

นอกจากการพิจารณาคดีความครั้งนี้ มีการสอบสวนผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวพันกับกลุ่มอาชญากรรมอีกหลายพันราย เนื่องจากพวกเขามีความเชื่อมโยงกับคดีฉ้อโกงทางโทรคมนาคมมากกว่า 10,000 คดี โดยการจัดการคดีความเหล่านี้สะท้อนความมุ่งมั่นของจีนในการคุ้มครองสิทธิและผลประโยชน์ตามกฎหมายของชาติและพลเมือง

แหล่งข่าวอัยการระบุว่าอาชญากรรมบางส่วนเกิดขึ้นภายในพรมแดนจีน มุ่งเป้าที่พลเมืองจีนเป็นพิเศษ และสร้างความเสียหายต่อผลประโยชน์ร่วมของประชาคมระหว่างประเทศ ทำให้จีนมีอำนาจการพิจารณาคดีความภายใต้กฎหมายอาญาและสนธิสัญญาระหว่างประเทศ

‘สุริยะ’ เผยเตรียมเปิดสายสีชมพูเข้า 'เมืองทองธานี' ปักหมุดนั่งฟรี 1 เดือน เริ่มให้บริการมิถุนายนนี้

‘สุริยะ’ เผยรถไฟสายสีชมพูส่วนต่อขยาย ช่วงสถานีศรีรัช – เมืองทองธานี เตรียมเปิดให้ประชาชนนั่งฟรี 1 เดือน เริ่มปลายเดือน มิ.ย. 68 ก่อนเปิดเต็มรูปแบบ 19 ก.ค.นี้ ยันเข้าร่วมมาตรการ 20 บาทตลอดสาย เดินทางสะดวกไปอิมแพ็คฯ – ทะเลสาบเมืองทอง

(20 ก.พ. 68) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยาย ช่วงสถานีศรีรัช – เมืองทองธานี จำนวน 2 สถานี รวมระยะทาง 3 กิโลเมตร (กม.) วงเงินลงทุน 4,072 ล้านบาทว่า จากข้อมูล ณ สิ้นเดือนมกราคม 2568 ภาพรวมโครงการมีความก้าวหน้า 85.97% แบ่งเป็น งานโยธา 87.88% และงานระบบฯ 82.22% เร็วกว่าแผน 2.17%

ทั้งนี้ คาดการณ์ว่า จะเข้าสู่กระบวนการทดสอบเดินรถเสมือนจริงในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2568 จากนั้นในช่วงปลายเดือนมิถุนายนจะเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการฟรี 1 เดือน ก่อนที่จะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในวันที่ 19 กรกฎาคม 2568 ในอัตราค่าโดยสาร 15-22 บาท และจะเข้าร่วมมาตรการค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายภายในเดือนกันยายน 2568 ต่อไป

นอกจากนี้ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้รายงานยอดใช้บริการของผู้โดยสารรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนหลัก ช่วงแคราย – มีนบุรี ระบุว่า ในช่วงเดือนมกราคม 2568 มีผู้ใช้บริการรวม 2,108,209 คน – เที่ยว เฉลี่ยวันละ 68,007 คน- เที่ยว (วันที่ 25 – 31 มกราคม 2568 ให้บริการโดยไม่คิดค่าโดยสาร) ขณะที่ในช่วงวันที่ 1-17 กุมภาพันธ์ 2568 มียอดใช้บริการรวม 1,022,667 คน – เที่ยว เฉลี่ยวันละ 36,524 คน – เที่ยว (วันที่ 14 – 17 กุมภาพันธ์ 2568 ยังไม่รวม EMV) อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า ปริมาณผู้โดยสารมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแน่นอน

สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยาย ช่วงสถานีศรีรัช – เมืองทองธานี เป็นระบบรถไฟฟ้า Monorail เหมือนกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย – มีนบุรี (ส่วนหลัก) ที่เปิดให้บริการไปแล้ว นับเป็นอีกหนึ่งโครงข่ายของระบบขนส่งด้วยรถไฟฟ้าที่ครอบคลุมการเดินทางในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งจะสนับสนุนให้ประชาชนใช้บริการรถขนส่งสาธารณะมากขึ้น รวมถึงช่วยลดปริมาณจราจรบนถนนแจ้งวัฒนะ และลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในเขตเมือง

นอกจากนี้ มีการก่อสร้างทางเดิน Skywalk เชื่อมต่อระหว่างสถานีและอาคารชาเลนเจอร์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าที่จะเดินทางไปร่วมงาน Expo คอนเสิร์ต หรือ Event ต่าง ๆ ที่อิมแพคเมืองทองธานี โดยผู้ใช้บริการจะต้องลงที่สถานีอิมแพ็คเมืองทองธานี (MT01) และใช้ทางออกที่ 3 เพื่อเดินทางต่อไปยังอาคารชาเลนเจอร์ อิมแพคอารีน่า เมืองทองธานี

‘พระสังฆราช (ศรี)’ สมเด็จพระสังฆราช 2 กรุง ผู้ยึดมั่นในความสัตย์แห่งบรรพชิต เพื่อมุ่งสู่อเสขภูมิอันแท้จริง

ครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ ในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ มีพระภิกษุนามว่า “พระอาจารย์ศรี” แห่งวัดพนัญเชิง ได้หนีภัยสงครามไปพำนักอยู่ ณ จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อถึงปี พ.ศ. ๒๓๑๒ “สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี” เสด็จฯ ไปตีเอาเมืองนครศรีธรรมราช ได้พบพระอาจารย์ท่านนี้ นัยว่าเนื่องจากพระอาจารย์ศรีเป็นผู้แตกฉานในบาลี รู้แจ้งแทงตลอดในพระธรรมคำสอนทั้งหลายเป็นที่ยอมรับ จึงได้นิมนต์ท่านให้มาจำพรรษาอยู่ ณ วัดบางหว้าใหญ่ (วัดระฆังโฆษิตาราม) ซึ่ง ณ ขณะนั้นเป็นวัดสำคัญคู่กรุงธนบุรี ก่อนจะทรงสถาปนาเป็นพระอาจารย์ท่านขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช นับเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๒ แห่งกรุงธนบุรี

แต่ทว่าสมเด็จพระสังฆราช (ศรี) นั้น ทรงได้พบเคราะห์กรรมใหญ่หลวงใน พ.ศ. ๒๓๒๔ ช่วงปลายกรุงธนบุรี ตามบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์เหตุครั้งนั้นเกิดขึ้นจากพระราชปุจฉาของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีนั่นเอง 

เรื่องนี้นับมาจากครั้งเสร็จศึกอะแซหวุ่นกี้ราวปี พ.ศ. ๒๓๑๙ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงเริ่มต้นเจริญพระกรรมฐาน ณ พระอุโบสถวัดบางยี่เรือใต้ โดยทรงทำบุญแล้วตั้งพระสัตยาธิษฐาน มีบันทึกไว้พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาดังนี้

“เดชะผลทานบูชานี้ ขอจงยังพระลักขณะพระปีติทั้งห้าจงบังเกิดแก่ข้าพเจ้าแล้วอย่าได้อันตรธาน และพระธรรมซึ่งยังมิได้บังเกิดนั้น ขอจงบังเกิดภิญโญภาพยิ่งๆ ขึ้นไป อนึ่ง ขอจงเป็นปัจจัยแก่พระปรมาภิเษกสมโพธิญาณในอนาคตกาลภายภาคหน้า” ซึ่งหลังจากนั้นก็ได้มีเหตุแห่งปาฏิหาริย์อย่างต่อเนื่องจนพระองค์เชื่อว่าพระองค์ทรงบรรลุโสดาบัน !!! และนั่นคือปัจจัยหนึ่งแห่งเหตุวุ่นวายในปลายรัชกาล

จากพงศาวดารกรุงธนบุรี บันทึกว่า สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงคร่ำเคร่งทำกรรมฐาน จนเข้าใจว่าทรงบรรลุเป็นพระอริยบุคคล จึงทรงมีปุจฉาถามพระผู้ใหญ่หลายๆ รูปว่า พระสงฆ์จะไหว้คฤหัสถ์ที่เป็นพระโสดาบันได้หรือไม่ ? 

มีพระผู้ใหญ่สองรูปคือ พระรัตนมุนี (แก้ว) กับพระวันรัตน์ (ทองอยู่) ถวายพระพรว่า พระสงฆ์ไหว้คฤหัสถ์ที่เป็นพระโสดาบัน “ได้” จึงทำให้ทรงโปรดพระสงฆ์สองรูปนี้มาก ส่วนพระผู้ใหญ่ ๓ รูปที่ถวายพระพรว่า “ไม่ได้” ประกอบด้วย สมเด็จพระสังฆราช (ศรี)  พระพุฒาจารย์ วัดบางหว้าน้อย (วัดอมรินทราราม) และพระพิมลธรรม วัดโพธาราม (พระเชตุพนฯ) ประกอบเหตุตามหลักในพระพุทธศาสนาความว่า

“ถึงมาตรว่าคฤหัสถ์เป็นพระโสดาก็ดี แต่เป็นหินเพศต่ำ อันพระสงฆ์ถึงเป็นปุถุชน ก็ตั้งอยู่ในอุดมเพศอันสูง เหตุทรงผ้ากาสาวพัสตร์ และพระจตุปาริสุทธิศีลอันประเสริฐ ซึ่งจะไหว้นบคฤหัสถ์ อันเป็นพระโสดานั้นก็บ่มิควร”

จากข้อวิสัชชนาดังกล่าวทำให้ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) พร้อมๆ กับพระพุฒาจารย์ และพระพิมลธรรม ถูกถอดมาเป็นพระอนุจร แล้วนำไปเฆี่ยน และให้ไปใช้แรงงาน ณ วัดหงส์รัตนาราม โดยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงตั้งพระโพธิวงษ์ (ชื่น) วัดหงส์รัตนารามขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชแทน

ขออธิบายเรื่อง พระโสดาบันเพศคฤหัสถ์ ทำไม ? จึงยังต้องไหว้พระภิกษุสามเณรปุถุชนซึ่งเป็นเพศบรรพชิต โดยผมขอยกเหตุผลมาจากมิลินทปัญหา พระเจ้ามิลินท์ได้ทรงมีปุจฉาถามพระนาคเสนเมื่อปุถุชนบรรลุโสดาบัน เหตุใดบรรพชิตจึงไม่ไหว้ปุถุชนผู้นั้นทั้ง ๆ ที่ได้บรรลุแล้วซึ่งโลกุตรธรรม ?  โดยพระนาคเสนได้วิสัชชนาเรื่องนี้ไว้ว่า 

“เพศบรรพชิตอันเป็นสมณะนั้นประกอบด้วยคุณสมบัติภายใน ๒๐ ประการคือ ๑.) เสฏฐภูมิสโย เป็นผู้ตั้งอยู่ในภูมิอันประเสริฐ ประกอบด้วยกรุณา และความสัตย์เป็นต้น ๒.) อคฺโคนิยโม คือ นิยมในกิจอันประเสริฐ ๓.) จาโร มีความประพฤติชอบ ๔.) วิหาโร มีวิหารธรรมและอิริยาบถอันสมควร ๕.) สญฺญโม สำรวมอินทรีย์ ๖.) สํวโร สำรวมในปาฏิโมกข์สังวรศีล ๗.) ขนฺติ ความอดทน ๘.) โสรจฺจํ ความเป็นผู้สงบเสงี่ยม ๙.) เอกันตาภิรติ ยินดีในธรรมเป็นอันแท้ ๑๐.) เอกันตจริยา ประพฤติธรรมเที่ยงแท้ ๑๑.) ปฏิสลฺลินี มีปกติเข้าที่หลีกเร้น ๑๒.) หิริ มีความละอายบาป ๑๓.) โอตฺตปฺป มีความเกลียดกลัวบาป ๑๔.) วิริยํ มีความเพียร ๑๕.) อปฺปมาโท มีความไม่ประมาท ๑๖.) อุทฺเทโส บอกกล่าวเล่าเรียนบาลี ๑๗.) ปริปุจฺฉา เล่าเรียนบอกกล่าวอรรถกถา ๑๘.)สีลาภิรติ ความยินดีในคุณธรรมมีศีล ๑๙.) นิราลยตา ความไม่มีความอาลัย และ ๒๐.) สิกขาปทปาริปูรี เป็นผู้บำเพ็ญสิกขาบทให้เต็มบริบูรณ์ ซึ่งในสุดท้ายนี้ยังประกอบด้วยเครื่องหมายภายนอกของผู้เป็นสมณะ ได้แก่ ภณฺทาภาโร เป็นผู้ทรงผ้ากาสาวพัตร และมุณฺฑภาโว เป็นผู้มีศีรษะโล้น” 

โดยพระนาคเสนอธิบายเพิ่มเติมว่าสมณะประกอบด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ เต็มบริบูรณ์แล้ว ไม่ขาดตกบกพร่อง กำลังดำเนินไปเพื่ออเสขภูมิ เพื่อพระอรหัตผล ภิกษุเหล่านั้นอยู่ ในฐานะเสมอด้วยพระอรหันต์ขีณาสพ แต่อุบาสกผู้โสดาบันไม่มีคุณสมบัติเหล่านั้น ภิกษุทั้งหลายมีสิทธิฟังพระปาฏิโมกข์ แต่อุบาสกผู้เป็นโสดาบันไม่มีสิทธิ ภิกษุมีสิทธิเป็นพระอุปัชฌาย์ ให้ การบรรพชาอุปสมบทแก่กุลบุตร ทำให้พระศาสนาเจริญมั่นคง แต่อุบาสกผู้เป็นโสดาบันไม่มีสิทธิเช่นนั้น ภิกษุมีสิทธิและหน้าที่ในการรักษาสิกขาบทน้อยใหญ่ ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ แต่อุบาสกผู้เป็นโสดาบันไม่มีอำนาจหน้าที่เช่นนั้น... พระนาคเสนได้ยกตัวอย่างประกอบเพิ่มเติมว่า “เหมือนเจ้าชายผู้ได้ศึกษา ศิลปวิทยายุทธจากปุโรหิตาจารย์ประจำราชสกุล ต่อมาแม้เมื่อเจ้าชายนั้นได้รับ พระบรมราชาภิเษกเป็นพระราชาแล้ว ก็ยังคงเคารพปุโรหิตนั้นในฐานะเป็นอาจารย์อยู่อย่างเดิม” 

เพราะฉะนั้น การไหว้ จึงไหว้ด้วยความเหมาะสม ไม่ได้ไหว้ ไปเจาะจงที่ตัวบุคคล เป็นสำคัญ แต่ไหว้ในความประเสริฐของเพศบรรพชิตเป็นสำคัญ จบคำอธิบายไว้ตรงนี้ แล้วกลับมาเรื่องของ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) กันต่อ 

เมื่อเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ ก็ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ถอดยศสมเด็จพระสังฆราช (ชื่น) วัดหงส์รัตนาราม ลงเป็น พระธรรมธีรราชมหามุนี โดยทรงมีพระปรารภว่า "มีความรู้มาก เสียดายแต่ว่ามีสันดานสอพลอ" ทรงมีดำรัสว่า 

“สมเด็จพระสังฆราช (ชื่น) วัดหงส์ ซึ่งเจ้ากรุงธนบุรีตั้งขึ้นใหม่นั้นก็เป็นพวกอาสัตย์สอพลอพลอยว่าตาม นายแก้ว นายทอง อยู่ไปมิได้เป็นต้นเหตุ แต่รู้พระไตรปิฎกมาก เสียดายอยู่ อย่าให้สึกเลย และที่พระวันรัตนั้นว่างอยู่หาตัวมิได้ จึงโปรดตั้งให้เป็นพระธรรมธีรราชมหามุนี (ชื่น) ว่าที่พระวันรัต ซึ่งรองจากสมเด็จพระสังฆราช” 

รับสั่งให้ พระรัตนมุนี (แก้ว) สึกจากพระ แต่ยังทรงเมตตาให้เข้ารับราชการเป็น “พระอาลักษณ์” เป็นผู้ขนานพระนามพระองค์เจ้าต่างกรม  ส่วนพระวันรัต (ทองอยู่) ให้สึกจากพระ แล้วโปรดเกล้า ฯให้ไปเป็น “หลวงอนุชิตพิทักษ์” อยู่ในกรมมหาดไทย 

ส่วนพระราชาคณะทั้งปวงนั้น ที่เออออไปด้วยกลัวพระราชอาชญาจากสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีนั้น ทรงพระกรุณาให้ยกโทษเสียทั้งสิ้น แต่ที่พระธรรมโคดมนั้นต้องกับพระสัพพัญญูเจ้า จึงดำรัสให้แปลงนามเสียใหม่ โปรดให้พระเทพกวีเลื่อนขึ้นเป็นที่พระธรรมอุดม ให้พระธรรมโฆษาวัดปากน้ำ เป็นพระเทพกวี ให้มหานากเปรียญเอก วัดบางหว้าใหญ่ (วัดระฆังฯ) เป็นพระพุทธโฆษาจารย์ ให้มหาเรืองข้าหลวงเดิมวัดบางหว้าใหญ่ (วัดระฆังฯ) เป็นพระเทพมุนี ให้มหาเกสรเปรียญโทวัดโพธาราม (วัดพระเชตุพนฯ) เป็นพระญาณสิทธิ์ ฯลฯ

จากนั้นก็โปรดสถาปนาพระอาจารย์ศรี วัดบางหว้าใหญ่ (วัดระฆังโฆสิตาราม) ขึ้นดำรงสมณศักดิ์ที่ "สมเด็จพระสังฆราช" พระพุฒาจารย์ และพระพิมลธรรมนั้น ก็ทรงโปรดเกล้าฯ ให้คืนสมณศักดิ์ และตำแหน่งดังเดิม พร้อมให้กลับไปครองวัดเก่าที่เคยสถิต 

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและกรมพระราชวังบวรสถานมงคลทรงมีพระดำรัสสรรเสริญว่า “พระผู้เป็นเจ้าทั้ง ๓ นี้มีสันดานสัตย์ซื่อมั่นคง ดำรงรักษาพระพุทธศาสนาโดยแท้ มิได้อาลัยแก่ร่างกายและชีวิต ควรเป็นที่นับถือไหว้นบเคารพสักการบูชา แม้มีข้อสงสัยสิ่งใดในพระบาลีภายหน้า จะให้ประชุมพระราชาคณะไต่ถาม ถ้าพระผู้เป็นเจ้าทั้ง ๓ ว่าอย่างไรแล้ว พระราชาคณะอื่นๆ จะว่าอย่างอื่นไป ก็คงจะเชื่อถ้อยคำพระผู้เป็นเจ้าทั้ง ๓ ซึ่งจะเชื่อถ้อยฟังความตามพระราชาคณะอื่นๆ ที่เป็นพวกมากนั้นหามิได้” 

ทั้งยังทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระสงฆ์วัดบางหว้าใหญ่ (วัดระฆังฯ) และวัดโพธาราม (วัดพระเชตุพนฯ) เข้ามารับบิณฑบาตในพระราชวังทั้ง ๒ พระอาราม ให้ผลัดเวรกันวัดละ ๗ วัน เป็นนิจกาล ให้รื้อตำหนักทองของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีนั้นไปปลูกเป็นกุฎีถวายสมเด็จ ฯ พระสังฆราช (ศรี) 

สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) หลังจากได้ครองสมณศักดิ์ที่สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก หนที่ ๒ ก็เป็นกำลังสำคัญในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาในช่วงสร้างกรุง พระองค์มีกรณียกิจสำคัญในการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ในปี พ.ศ.๒๓๓๑ และเป็นการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๒ ของสยามประเทศ สมเด็จพระสังฆราชได้เลือกพระราชาคณะฐานานุกรม เปรียญอันดับที่เล่าเรียนพระไตรปิฎกได้พระสงฆ์ ๒๑๘ รูป กับราชบัณฑิตยาจารย์ ๓๒ คน ทำการสังคายนาที่วัดนิพพานาราม แบ่งพระสงฆ์ออกเป็น ๔ กอง ดังนี้ สมเด็จฯ เป็นแม่กองชำระพระสุตตันปิฎก พระวันรัต เป็นแม่กองชำระพระวินัยปิฎก พระพิมลธรรม เป็นแม่กองชำระพระสัททาวิเศส และพระธรรมไตรโลก (ชื่น) เป็นแม่กองชำระพระปรมัตถปิฎก โดยสังคายนาที่วัดนิพพานาราม (วัดมหาธาตุฯ) ใช้เวลา ๕ เดือน จึงแล้วเสร็จ

สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) ทรงดำรงทรงดำรงตำแหน่งหนที่ ๒ เมื่อปี พ.ศ.๒๓๒๕ จนกระทั่งประชวรถึงสิ้นพระชนม์ในวันที่ ๑๖ เดือน สิงหาคม พ.ศ. ๒๓๓๗ รวมระยะเวลา ๑๒ ปี

ทรัมป์ยกย่องตัวเองเป็น 'กษัตริย์แห่งอเมริกา' หลังยกเลิกเก็บค่าธรรมเนียมรถติดในนิวยอร์ก

เมื่อวันที่ (19 ก.พ.68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้โพสต์ข้อความในโซเชียลมีเดีย Truth Social ยกย่องตัวเองเป็น 'กษัตริย์' หลังจากการตัดสินใจยกเลิกโครงการเก็บค่าธรรมเนียมรถติด (Congestion Pricing) ในเมืองนิวยอร์ก โดยทรัมป์เขียนว่า โครงการนี้ “ตายไปแล้ว” และกล่าวว่าแมนฮัตตันและนิวยอร์กปลอดภัย พร้อมลงท้ายข้อความด้วยคำว่า “LONG LIVE THE KING!”

ไม่นานหลังจากทรัมป์โพสต์ลง Truth Social บัญชีโซเชียลมีเดียของทำเนียบขาวในแพลตฟอร์ม X ได้โพสต์ภาพทรัมป์สวมมงกุฎ โดยมีกรอบเส้นสีทองแบบเดียวกับหน้าปกนิตยสารไทม์ พร้อมคำว่า “LONG LIVE THE KING” ที่ทรัมป์ใช้ในการยกย่องตัวเอง ซึ่งทำให้คำนี้กลายเป็นคำที่ได้รับความนิยมและติดเทรนด์ในสหรัฐฯ บางสำนักข่าวได้แสดงความสงสัยต่อการโพสต์ลักษณะนี้จากบัญชีทางการของทำเนียบขาว ซึ่งปกติจะเป็นการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นทางการมากกว่า

สำนักข่าว NBC รายงานว่าโพสต์ดังกล่าวดูเหมือนจะเป็นสัญญาณที่ทรัมป์กำลังสร้างภาพลักษณ์ตัวเองในฐานะ “กษัตริย์” ซึ่งได้รับคำวิจารณ์อย่างกว้างขวางจากหลายฝ่าย บางคนมองว่าทรัมป์กำลังใช้อำนาจเกินกว่าที่รัฐธรรมนูญกำหนด แม้ว่าจะเป็นเพียงการเริ่มต้นของการกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้ง

ด้านผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก เคธี ฮอเคิล ได้ออกมาคัดค้านโพสต์ดังกล่าว โดยระบุว่า "นิวยอร์กไม่มีผู้ปกครองในลักษณะนั้นมานานกว่า 250 ปี"

นอกจากนี้ ผู้ว่าการรัฐอื่น ๆ ก็ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับการกระทำของทรัมป์ เช่น เจ.บี. พริตซ์เกอร์ ผู้ว่าการรัฐอิลลินอยส์ สังกัดเดโมแครต กล่าวว่า "ตามประวัติศาสตร์ของอเมริกา เราไม่มีกษัตริย์ และเราจะไม่ยอมคุกเข่าต่อทรัมป์หรือใครก็ตาม"

อย่างไรก็ตาม หลังทรัมป์โพสต์ดังกล่าว บรรดากลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์กลับให้การสนับสนุนโพสต์และคำพูดของเขาอย่างกว้างขวาง

“รื้อ ลด ปลด สร้าง พลังงานไทย” เปิด 10 ผลงานเด่น ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีพลังงาน ในรอบปี 2567 มีอะไรบ้าง ไปส่องกันเลย

“รื้อ ลด ปลด สร้าง พลังงานไทย” เปิด 10 ผลงานเด่น ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีพลังงาน ในรอบปี 2567 มีอะไรบ้าง ไปส่องกันเลย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top