Wednesday, 18 June 2025
ค้นหา พบ 48881 ที่เกี่ยวข้อง

‘ดร.อักษรศรี’ ชี้เหตุ ‘ทรัมป์’ เอาใจ ‘ปูติน’ ขั้นสุด ถึงขั้นหัก NATO พร้อมประณาม ‘เซเลนสกี้’ เชื่อ ต้องการพรากปูติน จากอกพญามังกร ‘สีจิ้นผิง’

(20 ก.พ. 68) รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Aksornsri Phanishsarn ว่า 

คำถาม: ทำไม ทรัมป์ เอาใจ ปูติน แบบสุดๆ (ไม่สน NATO +ประณาม เซเลนสกี้ ว่าเป็น “เผด็จการที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง” !!)

คำตอบ : ทรัมป์มีเป้าหมายที่ใหญ่กว่า คือ จะดึงปูตินไปจากอ้อมอกของ สีจิ้นผิง !!

แต่ฝันนี้ของทรัมป์จะสำเร็จหรือไม่ ? หรือจะเป็นแค่ ฝันค้าง หรือไม่ ? ต้องวัดใจปูตินกันนะ
กองเชียร์แต่ละฝ่าย ก็ต้องติดตามด้วยใจระทึกนะคะ

Note: ปูตินและสีจิ้นผิง คู่นี้ รักกันมานานแล้ว และคู่นี้เขา ร่วมทุกข์ร่วมสุข กันมานานเกิน 10 ปีแล้วจ้าาาา

กนอ. หนุนเทคโนโลยีสีเขียว ลดพึ่งพาพลังงานฟอสซิล เร่งสร้างนิคมฯสีเขียว ยกระดับไทยสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

(20 ก.พ.68) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เดินหน้าขับเคลื่อน Green Transition ผนึกพลังรัฐ-เอกชน สร้างนิคมอุตสาหกรรมสีเขียว มุ่งสู่เป้าหมาย Zero Emission ด้วยพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีสีเขียว ลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล ยกระดับไทยสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ กรรมการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) รักษาการผู้ว่าการ กนอ.เปิดเผยถึงทิศทางและบทบาทของการนิคมอุตสาหกรรมในการขับเคลื่อน Green Transition หรือการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดและเทคโนโลยีสีเขียว เพื่อสร้างความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ พร้อมรับมือกับความท้าทายด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมในยุคปัจจุบัน พร้อมย้ำว่า การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดและเทคโนโลยีสีเขียวเป็นแนวโน้มสำคัญของโลก 

ซึ่งภาคอุตสาหกรรมต้องปรับตัวเพื่อลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิลและเพิ่มการใช้พลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานน้ำ กนอ. ในฐานะหน่วยงานหลักที่ดูแลนิคมอุตสาหกรรม มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านนี้ โดยการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดในโรงงานอุตสาหกรรม และจัดหาโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับพลังงานทดแทนให้กับผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม ทั้งนี้ เทคโนโลยีสีเขียว (Green Technology) เป็นเครื่องมือสำคัญในการลดการปล่อย

ก๊าซเรือนกระจกและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร เช่น การใช้ระบบจัดการพลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy Management) และการรีไซเคิลของเสียในกระบวนการผลิต ปัจจุบัน นิคมอุตสาหกรรมหลายแห่งได้เริ่มปรับตัวด้วยการนำเทคโนโลยีสีเขียวมาใช้ เช่น การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ การใช้ระบบบำบัดน้ำเสียแบบปิด และการส่งเสริมการผลิตที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ (Low-carbon Production)

“นิคมอุตสาหกรรม กำลังปรับตัวเพื่อเป็นศูนย์กลางการผลิตที่ยั่งยืน โดยการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีสีเขียว พร้อมส่งเสริมให้ผู้ประกอบการลดการใช้พลังงานฟอสซิล และเพิ่มการใช้พลังงานทดแทน ขณะเดียวกัน กนอ.ยังสนับสนุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมสีเขียว เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเป็น Carbon Neutral หรือ Zero Emission ในอนาคตอันใกล้”นายสุเมธ กล่าว

รักษาการผู้ว่าการ กนอ. กล่าวอีกว่า กนอ.มุ่งเน้นสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อขับเคลื่อน Green Transition ผ่านนโยบายสนับสนุนและมาตรการจูงใจต่าง ๆ พร้อมผลักดันการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco-Industrial Town) ที่เน้นการจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ จะนำเทคโนโลยีดิจิทัลและเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น IoT และ AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการพลังงานและลดการสูญเสียในกระบวนการผลิต ซึ่งการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดอาจต้องใช้งบประมาณสูง และบางครั้งอาจพบความไม่พร้อมทางเทคโนโลยี หรือการขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะ ดังนั้น กนอ.จะร่วมกับทุกภาคส่วนสนับสนุนการปรับตัวของผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม เพื่อเปลี่ยนกระบวนการผลิตและระบบการจัดการพลังงาน

“กนอ. จะเดินหน้าสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดและเทคโนโลยีสีเขียวอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ” รักษาการผู้ว่าการ กนอ. กล่าวทิ้งท้าย

ญี่ปุ่นจ้างที่ปรึกษาความงาม สอนตำรวจชายดูแลผิวแต่งหน้า เสริมภาพลักษณ์มืออาชีพ ชี้สำคัญไม่แพ้การจับคนร้าย

(20 ก.พ. 68) เว็บไซต์เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์รายงานว่า ช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา สถาบันตำรวจฟุกุชิมะ (Fukushimaken Keisatsugakko) ในจังหวัดฟุกุชิมะ ได้เปิดหลักสูตรแต่งหน้าให้กับนักเรียนตำรวจ 60 คน รวมถึงตำรวจชายหลายคนที่ใกล้จะจบการศึกษา ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากจากผู้คนในโลกออนไลน์ 

รายงานระบุว่า สถาบันตำรวจฟุกุชิมะ ตระหนักถึงความสำคัญของการมีภาพลักษณ์ที่สะอาดตาและเป็นมืออาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมักจะต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนในชุมชน การสร้างความประทับใจที่ดีและการสร้างความไว้วางใจถือเป็นสิ่งสำคัญ จึงจัดการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เตรียมสำเร็จหลักสูตร เข้าฝึกอบรมการดูแลผิวและแต่งหน้าเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดี

“เราต้องการเตือนนักเรียนว่าการรักษาภาพลักษณ์ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ เพราะพวกเขาคือสมาชิกของสังคมและในอนาคตจะเป็นตำรวจ” ทาเคชิ ซูกิอุระ รองผู้อำนวยการสถาบันตำรวจกล่าวในการสัมภาษณ์กับ Nippon TV

เพื่อให้หลักสูตรแต่งหน้าเป็นไปตามมาตรฐานมืออาชีพ สถาบันได้ร่วมมือกับที่ปรึกษาจากแบรนด์เครื่องสำอางชื่อดังของญี่ปุ่นอย่าง ชิเซโด (Shiseido) โดยผู้เชี่ยวชาญไม่เพียงแต่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการแต่งหน้าเท่านั้น แต่ยังให้คำแนะนำเฉพาะบุคลิกภาพที่เหมาะสมกับนักเรียนตำรวจแต่ละคนด้วย

ในระหว่างหลักสูตร อาจารย์ได้สอนเทคนิคการแต่งหน้าพื้นฐาน เช่น การบำรุงผิว การทาไพรเมอร์ และการใช้ดินสอเขียนคิ้ว รวมถึงทักษะการดูแลตัวเองพื้นฐาน เช่น การตัดคิ้วและการจัดทรงผม

ที่น่าสนใจคือ หลายคนในกลุ่มนักเรียนชายที่ไม่คุ้นเคยกับการแต่งหน้าพบว่ามันเป็นความท้าทาย บางคนถูกพบว่าทาไพรเมอร์ไปทั่วใบหน้าด้วยความยุ่งเหยิง ขณะที่บางคนดูเหมือนจะมองหาความช่วยเหลือจากเพื่อนนักเรียนคนอื่นๆ

ยูเซย์ คุวาบาระ หนึ่งในนักเรียนตำรวจชายที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างเต็มที่หลังจากหลักสูตร กล่าวว่า “ผมไม่เคยแต่งหน้าเลยครับ ผมคิดว่าอาชีพตำรวจคือการต้องอยู่ในสายตาของสาธารณะบ่อยๆ ดังนั้นผมอยากให้ตัวเองดูดีเมื่อไปทำงาน”

โดยทั่วไปแล้ว สถาบันตำรวจญี่ปุ่นมักจะเน้นการศึกษาเกี่ยวกับกฎหมายและการเตรียมความพร้อมทางกายภาพอย่างเข้มงวด การเปิดหลักสูตรดังกล่าวถือเป็นการปรับปรุงการฝึกอบรมให้ทันสมัย และเตรียมตำรวจในอนาคตให้มีทักษะในการปฏิสัมพันธ์กับชุมชนด้วยความสุภาพ

สถาบันในฟุกุชิมะไม่ใช่แห่งเดียวที่เปิดหลักสูตรนี้ โดยก่อนหน้านี้ สถาบันตำรวจในจังหวัดยามากูชิยังได้เปิดหลักสูตรที่คล้ายกัน โดยเริ่มจากการสอนนักเรียนชายทำความสะอาดใบหน้าอย่างถูกวิธี

หลังเรื่องราวดังกล่าวถูกนำเสนอ ปรากฎว่าบรรดาชาวเน็ตจีนต่างแสดงความเห็นกันอย่างฮือฮา “ตอนนี้พวกเขาสามารถโยนแป้งฝุ่นใส่ตาลูกผู้ต้องสงสัยแล้วจับได้!” ผู้ใช้งานคนหนึ่งแสดงความคิดเห็นอย่างขำขัน

ขณะที่อีกคนกล่าวว่า “ตอนแรกที่อ่านข่าวนี้ ผมคิดว่าพวกเขากำลังเรียนวิธีพรางตัวเพื่อจับคนร้าย”

อย่างไรก็ตาม บางคนก็แสดงความกังวลว่า “การเรียนรู้ทักษะหลายๆ อย่างไม่ใช่เรื่องแย่ แค่ขอให้มันไม่กลายเป็นเกณฑ์ที่เข้มงวดสำหรับการประเมินผลงาน”

รร.สอนภาษาจีนฝานหรง เปิดตัวในงาน 50 ปี ความสัมพันธ์ไทย-จีน หนุนคนไทยเข้าใจภาษาและวัฒนธรรมจีนอย่างลึกซึ้ง

(20 ก.พ. 68) กรุงเทพฯ – ดร.อรภัค สุวรรณภักดี ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการ โรงเรียนสอนภาษาจีนฝานหรง ประกาศเปิดตัวโรงเรียนอย่างเป็นทางการภายในงาน 50 ปี ความสัมพันธ์ไทย-จีน ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ 2568 ณ สยามสแควร์ ชั้น 9 โดยมีเป้าหมายสำคัญในการสร้างสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ไทย-จีน ผ่านการเรียนรู้ภาษาจีนที่ถูกต้องและลึกซึ้ง

แรงบันดาลใจ: ยกระดับการเรียนภาษาจีนของไทย เพื่ออนาคต
ดร.อรภัค มีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาศักยภาพด้านภาษาจีนของคนไทย ให้สามารถเข้าใจภาษาและวัฒนธรรมจีนอย่างลึกซึ้ง เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต เนื่องจากภาษาจีนกำลังกลายเป็นภาษาสำคัญของโลก โรงเรียนฝานหรงจึงมุ่งเน้นการสอนที่มีคุณภาพ ช่วยให้ผู้เรียนสามารถใช้ภาษาจีนได้อย่างถูกต้องและนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง

เทคโนโลยี: ขับเคลื่อนการเรียนภาษาจีนให้ทั่วถึงทุกพื้นที่
โรงเรียนฝานหรงใช้ เทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก เพื่อทำให้ผู้เรียนจากทั่วประเทศสามารถเข้าถึงการเรียนภาษาจีนได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ โดยไม่ถูกจำกัดด้วยสถานที่ เรียนได้จากทุกที่ พร้อมรับการสอนที่มีมาตรฐาน

จุดเด่นของการเรียนภาษาจีนกับฝานหรง
- แก้ปัญหาหลักของผู้เรียนชาวไทย เช่น ไวยากรณ์ พินอิน และการใช้ภาษาในชีวิตจริง
- หลักสูตรที่เข้าใจง่ายและใช้งานได้จริง ช่วยให้เรียนรู้ภาษาจีนได้อย่างมั่นใจ
- สอนให้เข้าใจภาษาจีนในบริบทวัฒนธรรม เพื่อสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ

พบกับโรงเรียนฝานหรงที่งาน 50 ปี ไทย-จีน

ในงานเปิดตัวครั้งนี้ โรงเรียนฝานหรงจะนำเสนอหลักสูตรที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะภาษาจีนได้อย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมกิจกรรมพิเศษสำหรับผู้ที่สนใจเรียนภาษาจีน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษา หรือบุคคลทั่วไป

ผบ.ตร. ประชุมติดตามสถานการณ์และการแก้ปัญหาคนต่างด้าวกระทำผิดกฎหมาย วาง 4 ขั้นตอนแก้ไขปัญหาเร่งด่วนทุกพื้นที่ สั่งลงดาบตำรวจทำผิดตามนโยบายนายกรัฐมนตรี มอบ "พล.ต.ท.สำราญฯ" กำกับดูแล

(20 ก.พ. 68) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานการประชุมติดตามการแก้ไขปัญหาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และคนต่างด้าวถูกหลอกลวง หรือประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย และอาชญากรรมข้ามชาติ โดยมี พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผู้ช่วย ผบ.ตร. และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั่วประเทศเข้าร่วมประชุม ณ ศปก.ตร. อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และทางระบบประชุมทางไกล 

ในที่ประชุมฯ ผบ.ตร. ได้ประชุมติดตามสถานการณ์และข้อมูลเชิงวิเคราะห์ จึงได้สั่งการให้เร่งรัดการปฏิบัติในการตรวจสอบชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย และประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ใดก็ตาม เพื่อตอบข้อเคลือบแคลงของพี่น้องประชาชนและสังคม หากพบการกระทำผิดให้ดำเนินการตามกฎหมาย โดยมอบหมายให้ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. กำกับดูแลการปฏิบัติ โดยเน้นย้ำการปฏิบัติใน 4 ขั้นตอน ได้แก่
1. ตรวจสอบ : ให้หน่วยปฏิบัติที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อมูลชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยในทุกมิติ รวมทั้งตรวจสอบข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการอย่างเข้มงวดโดยไม่กระทบกับการท่องเที่ยว 
2. ปฏิบัติการ : ให้หน่วยที่เกี่ยวข้องประสานการปฏิบัติ ลงพื้นที่ตรวจสอบชาวต่างชาติที่พำนักในพื้นที่ เช่น ที่พัก แผนการท่องเที่ยว การรวมกลุ่มประกอบกิจกรรม หรือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เป็นต้น
3. บังคับใช้กฎหมาย :  หากพบมีการทำความผิดของชาวต่างชาติ ต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มงวดทันที
4. ประชาสัมพันธ์ : สร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อตอบคำถาม ลดความเคลือบแคลงสงสัยของสังคมและประชาชน และให้ข้อเท็จจริงปรากฏต่อสื่อต่าง ๆ 

นอกจากนี้ ในที่ประชุมได้ติดตามสถานการณ์ด้านการข่าวเชิงวิเคราะห์ แนวโน้มสถานการณ์การกระทำความผิดของคนต่างด้าวและแก๊งคอลเซ็นเตอร์พื้นที่จังหวัดเฝ้าระวัง เส้นทาง และรูปแบบการกระทำความผิด รวมทั้งผลการดำเนินการด้านกฎหมายและกลไกการส่งต่อระดับชาติ โดย ผบ.ตร.กำชับทุกพื้นที่/จังหวัด ปรับแผนการปฏิบัติและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์เริ่มมีความเคลื่อนไหวจากมาตรการต่าง ๆ จะต้องมีการวางแผนล่วงหน้ารับมือในทุกมิติ 

ทั้งนี้ ผบ.ตร. กำชับเข้มงวด หากพบตำรวจรายใดเกี่ยวข้องในการกระทำผิด เอื้อประโยชน์ ประพฤติมิชอบด้วยกฎหมาย จนเกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของหน่วยพื้นที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และประเทศชาติ ให้ดำเนินการทางปกครอง วินัย และอาญาเด็ดขาด ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กำชับหากพบเจ้าหน้าที่กระทำผิดให้ดำเนินการตามกฎหมายทันที 

พร้อมกันนี้ ผบ.ตร.ขอให้ผู้บังคับบัญชาถ่ายทอดข้อสั่งการและเจตนารมณ์ของนายกรัฐมนตรี และ ผบ.ตร.ไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดทุกนาย โดยให้คำนึงถึงประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็นสำคัญ ขอให้ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ ไม่เพิกเฉยต่อปัญหาของประเทศ และต้องไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว พัวพันกับการกระทำผิดเด็ดขาด และขอบคุณตำรวจทุกนายที่ร่วมปฏิบัติหน้าที่ ขอให้ตั้งใจทำงาน รักษาความดี ร่วมกันแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและประเทศชาติต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top