Thursday, 19 June 2025
ค้นหา พบ 48906 ที่เกี่ยวข้อง

สภาพัฒน์คาดปี 2568 โตในช่วง 2.3 - 3.3% เร่งเครื่องเศรษฐกิจผ่านลงทุนและการส่งออก

(17 ก.พ. 68) นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ ได้แถลงภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ว่า เศรษฐกิจไทยขยายตัว 3.2% เมื่อปรับผลฤดูกาลออกแล้ว โดยมีการขยายตัวจากไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 ที่ 0.4%

สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2567 คาดว่าจะขยายตัวที่ 2.5% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่ขยายตัว 2%. การขยายตัวนี้ได้รับปัจจัยหนุนจากการบริโภคภาคเอกชนที่เติบโต 4.4%, การอุปโภคภาครัฐที่ขยายตัว 2.5%, การลงทุนภาครัฐที่เติบโต 4.8%, และการส่งออกที่ขยายตัว 5.8% (ในรูปดอลลาร์สหรัฐ) ขณะที่อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ที่ 0.4% และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 2.3% ของ GDP

สภาพัฒน์ยังคงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวในช่วง 2.3-3.3% โดยค่ากลางอยู่ที่ 2.8%. การคาดการณ์นี้สะท้อนถึงการขยายตัวของการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่คาดว่าจะเติบโต 3.3% และ 3.2% ตามลำดับ รวมถึงการส่งออกที่คาดว่าจะขยายตัว 3.5% โดยอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยจะอยู่ในช่วง 0.5-1.5% และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 2.5% ของ GDP

ปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยในปี 2568 รวมถึงการเพิ่มขึ้นของรายจ่ายภาครัฐ โดยเฉพาะการลงทุน, การขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชน, การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว, การปรับตัวของการลงทุนภาคเอกชน, และการขยายตัวของการส่งออกสินค้า

สภาพัฒน์ได้ให้ความสำคัญกับแนวทางการเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของประเทศคู่ค้า และการส่งเสริมการส่งออกสินค้าไทยที่มีศักยภาพ รวมถึงการเร่งรัดการลงทุนภาคเอกชน และการเพิ่มผลิตภาพการผลิตผ่านนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง นอกจากนี้ยังมีการขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวให้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศ (PM 2.5) ควบคู่กับการรักษามาตรฐานความปลอดภัยในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

กลุ่มเซ็นทรัล ส่งมอบบ้าน 72 หลัง ให้กลุ่มเปราะบาง ร่วมเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

(17 ก.พ. 68) พลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานในพิธีรับมอบทุนสนับสนุนโครงการปรับปรุงซ่อมแซมบ้านพักอาศัยให้ประชาชนกลุ่มเปราะบาง เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 พร้อมทั้ง ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนาผู้แทนกองทัพบก ผู้แทนกองทัพเรือ ผู้แทนกองทัพอากาศ คุณปริญญ์ จิราธิวัฒน์ รองประธานและกรรมการบริหาร บริษัทกลุ่มเซ็นทรัล คุณวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ กรรมการ มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย และคุณสนธยา บุณยภูษิต หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เข้าร่วมพิธีฯ ณ ห้องรับรอง 11 กองบัญชาการกองทัพไทย

สำหรับการจัดพิธีรับมอบทุนสนับสนุนโครงการปรับปรุงซ่อมแซมบ้านพักอาศัยให้ประชาชนกลุ่มเปราะบาง เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 เป็นความร่วมมือกันระหว่าง กองทัพไทย ประกอบด้วย กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ  กองทัพอากาศ บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการและกิจกรรมฯ ได้พิจารณาเห็นชอบให้เป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติฯ 

โดยน้อมนำพระราชปณิธานที่ทรงมีความห่วงใยและทรงให้ความสำคัญในความเป็นอยู่และที่อยู่อาศัยของราษฎร มาเป็นแนวทางในการจัดทำโครงการฯ มีกำหนดปรับปรุงซ่อมแซมบ้าน จำนวน 72 หลัง ซึ่ง บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด ให้การสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้างตามโครงการฯ ให้กับ กองบัญชาการกองทัพไทย และเหล่าทัพ นำไปซ่อมแซมบ้านเรือนช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบาง ประกอบด้วย ผู้สูงอายุ ผู้พิการ หรือบุคคลไร้ที่พึ่ง ที่ได้รับความเดือดร้อนด้านบ้านพักอาศัยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล จำนวน 53 หลัง และจังหวัดนราธิวาส จำนวน 19 หลัง ที่บ้านปารีย์ อ.สุคิริน จ.นราธิวาส ซึ่งเป็นพื้นที่ของเครือข่ายเตือนภัยพิบัติชุมชนเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ชายแดนใต้ ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยปลายปี 2566

ทหารเขมร ร้องเพลงชาติกัมพูชาบน 'แผ่นดินไทย' หวิดปะทะเดือดที่ปราสาทตาเมือนธม

(17 ก.พ. 68) สถานการณ์ตึงเครียดเกิดขึ้นบริเวณปราสาทตาเมือนทม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เมื่อคณะทหารกัมพูชาจำนวนหนึ่งเดินทางขึ้นมายังพื้นที่ดังกล่าว พร้อมร้องเพลงชาติของตนและมีการโต้เถียงกับทหารไทยอย่างดุเดือด  

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 เวลาประมาณ 12.30 น. โดยมีการบันทึกคลิปวิดีโอจากฝั่งทหารไทย ขณะที่ผู้นำทหารกัมพูชาในชุดแขนยาวสีขาว กล่าวถ้อยคำในเชิงข่มขู่เป็นภาษาไทยและภาษาเขมร โดยระบุว่า "ห้ามทหารไทยเหยียบพื้นที่นี้แม้แต่ก้าวเดียว ถ้าจะยิงก็ยิง" 

ด้านทหารไทยได้ตอบกลับอย่างใจเย็นว่า "ผมมายืนตรงนี้เพราะได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา" แต่ผู้นำทหารกัมพูชาได้สวนกลับด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวว่า "เดี๋ยวกูก็จะสั่งลูกน้องกูเหมือนกัน" ก่อนจะเดินทางกลับไปยังฝั่งกัมพูชา  

อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าทำไมทหารกัมพูชาจึงขึ้นมาร้องเพลงชาติบนพื้นที่ดังกล่าว และใช้ถ้อยคำแข็งกร้าวต่อทหารไทย 

ขณะเดียวกันด้าน แม่ทัพภาคที่ 2 ชี้แจงกรณีทหารกัมพูชาร้องเพลงชาติบนแผ่นดินไทย ยืนยันทำไม่ได้แน่นอน

พล.ท. บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ชี้แจงกรณีทหารกัมพูชาจำนวนหนึ่งขึ้นมาร้องเพลงชาติบริเวณปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นดินแดนของประเทศไทย เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การโต้เถียงระหว่างทหารทั้งสองฝ่าย โดยต่างฝ่ายต่างถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐาน ยืนยันว่าปราสาทตาเมือนธมอยู่ในเขตแดนไทย แม้จะเป็นพื้นที่ที่ยังไม่มีการปักปันแน่ชัด ทั้งนี้ ฝ่ายไทยอนุโลมให้ชาวกัมพูชาขึ้นมาสักการะได้ แต่ต้องไม่แสดงออกเชิงสัญลักษณ์ใดๆ  

แม่ทัพภาคที่ 2 ระบุว่า การร้องเพลงชาติบนพื้นที่ดังกล่าวเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้** ฝ่ายไทยจึงเข้าไปตักเตือนและท้วงติงเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะการใช้ภาพถ่ายหรือคลิปไปเป็นหลักฐานกล่าวอ้าง นอกจากนี้ ฝ่ายไทยยังได้ประสานพูดคุยกับผู้บังคับบัญชาทหารกัมพูชาผ่านช่องทางคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา (RBC) ปัจจุบันสถานการณ์ได้คลี่คลายลงแล้ว และกองกำลังสุรนารีได้ดำเนินการทำหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการ

20 กุมภาพันธ์ 2535 การก่อตั้งฟุตบอลพรีเมียร์ลีก แทนลีกดิวิชั่น 1 อังกฤษ

พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ แทนที่ฟุตบอลลีกดิวิชั่น 1 ซึ่งเคยเป็นลีกสูงสุดของอังกฤษมาตั้งแต่ปี 1888 การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดขึ้นจากการตัดสินใจของสโมสรในฟุตบอลลีกเฟิสต์ดิวิชันที่ต้องการแยกตัวจากอิงกลิชฟุตบอลลีก (EFL) เพื่อจัดตั้งลีกใหม่ที่มีรูปแบบการแข่งขันและรายได้ที่เป็นอิสระมากขึ้น

พรีเมียร์ลีกก่อตั้งขึ้นในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 โดยมีแนวคิดเกิดขึ้นหลังจบฤดูกาล 1990–91 สโมสรในลีกดิวิชัน 1 จำนวน 18 สโมสร และสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (FA) สนับสนุนแนวทางการจัดตั้งลีกใหม่ผ่านแผน “Blueprint for the Future of Football”

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1991 เมื่อสโมสรสมาชิกลงนามในข้อตกลงผู้ก่อตั้ง และต่อมาได้แจ้งลาออกจากฟุตบอลลีกเป็นกลุ่ม ก่อนส่งหนังสือลาออกจาก FA ซึ่งทำหน้าที่บริหารลีก

วัตถุประสงค์หลักของพรีเมียร์ลีกคือ การเพิ่มรายได้ของสโมสรใหญ่และป้องกันไม่ให้รายได้กระจายไปยังลีกล่าง โดยเฉพาะจากลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ ในยุคนั้น ไอทีวีถือสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลลีกด้วยข้อตกลงมูลค่า 44 ล้านปอนด์ ตลอด 4 ปี (1988–1992)

พรีเมียร์ลีกมีโครงสร้างบริหารที่แตกต่างจากฟุตบอลลีกทั่วไป โดยมี ริก แพร์รี ดำรงตำแหน่งซีอีโอคนแรก และ เซอร์ จอห์น ควินตัน เป็นประธาน สโมสรสมาชิกมีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงเท่ากัน โดยมติสำคัญต้องได้รับการอนุมัติจากเสียงข้างมาก 2 ใน 3

พรีเมียร์ลีกเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1992 พรีเมียร์ลีกเป็นลีกฟุตบอลระดับสูงสุดของอังกฤษ มี 20 สโมสรเข้าร่วมแข่งขัน โดยใช้ระบบเลื่อนชั้นและตกชั้นร่วมกับ EFL แชมเปียนชิป ฤดูกาลแข่งขันเริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงพฤษภาคม แต่ละทีมลงเล่น 38 นัดจากการพบกันแบบเหย้าและเยือน โดยการแข่งขันส่วนใหญ่มักจัดขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้พรีเมียร์ลีกเติบโตอย่างรวดเร็วคือข้อตกลงลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด ซึ่งมีมูลค่ามหาศาล สกาย สปอร์ตส์และบีที สปอร์ต ได้รับสิทธิ์ถ่ายทอดสดการแข่งขันในประเทศ โดยมีการเจรจาข้อตกลงใหม่ที่คาดว่าจะเพิ่มมูลค่าเป็น 6.7 พันล้านปอนด์สำหรับฤดูกาล 2025–2029 นอกจากนี้ ลีกยังสร้างรายได้จากลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดในต่างประเทศมากถึง 7.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงปี 2022–2025

พรีเมียร์ลีกถือเป็นลีกฟุตบอลที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก มีการถ่ายทอดสดไปยัง 212 ดินแดนทั่วโลก มีผู้ชมโทรทัศน์มากถึง 4.7 พันล้านคน และมีจำนวนผู้ชมในสนามเฉลี่ย 38,375 คนต่อแมตช์ในฤดูกาล 2023–24

ในแง่ของความสำเร็จระดับยุโรป พรีเมียร์ลีกเป็นลีกที่มีสโมสรคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก / ยูโรเปียนคัพ มากเป็นอันดับสอง รองจากลาลีกาสเปน โดยมี 6 สโมสรจากอังกฤษคว้าถ้วยยุโรปทั้งหมด 15 ใบ

นับตั้งแต่ก่อตั้ง มี 51 สโมสรที่เคยเข้าร่วมแข่งขันพรีเมียร์ลีก โดย 7 สโมสรที่เคยคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมากที่สุด ได้แก่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (13 สมัย), แมนเชสเตอร์ ซิตี (8 สมัย), เชลซี (5 สมัย) ,อาร์เซนอล (3 สมัย), แบล็กเบิร์น โรเวอส์ (1 สมัย), เลสเตอร์ ซิตี (1 สมัย), ลิเวอร์พูล (1 สมัย)

โดยแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นสโมสรที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมากที่สุด ขณะที่แมนเชสเตอร์ ซิตี ถือครองสถิติแชมป์ติดต่อกันยาวนานที่สุดถึง 4 ฤดูกาล

‘คงกระพัน’ ติดท็อป 100 ซีอีโอชั้นนำของโลก ด้าน ปตท.ครองอันดับแบรนด์มูลค่าสูงสุดไทย

‘คงกระพัน’ ติดอันดับ 1 ใน 100 ซีอีโอชั้นนำของโลก และ ปตท. เป็นบริษัทเดียวในไทยที่ติดอันดับมูลค่าแบรนด์สูงสุดใน Brand Finance Global 500 ปี 2568

(17 ก.พ. 68) ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.)  ได้รับการจัดอันดับที่ 66 จาก 100 CEO ชั้นนำของโลก และอยู่ในอันดับที่ 4 ของผู้นำในกลุ่มธุรกิจน้ำมันและก๊าซ ที่ส่งเสริมการสร้างมูลค่าแบรนด์องค์กรจาก Brand Guardianship Index 2025 โดย Brand Finance ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์และการประเมินมูลค่าแบรนด์ชั้นนำของโลก โดยได้รับคะแนน 76.4 จาก 100 คะแนน ในดัชนี Brand Guardianship Index  ผลการจัดอันดับสะท้อนถึงคุณลักษณะที่สำคัญของ CEO ในด้านต่างๆ ได้แก่ 1) ใส่ใจพนักงานอย่างแท้จริง 2) เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก 3) มีความน่าเชื่อถือ 4) เข้าใจความต้องการของลูกค้า 5) เป็นผู้นำด้านความยั่งยืน 6) มุ่งเน้นคุณค่าในระยะยาว 7) มีกลยุทธ์และวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน 8) เข้าใจความสำคัญของแบรนด์และชื่อเสียงองค์กร และ 9) มีไหวพริบทางธุรกิจ

นอกจากนี้ CEO ปตท.  ยังได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 2 ของโลกด้านการรับรู้เรื่องความยั่งยืน ตามผลสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างประมาณ 5,000 คน ในกว่า 30 ประเทศ ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำที่บริหารธุรกิจอย่างยั่งยืนในระดับโลก  

โดยในปีนี้ ปตท. ยังคงได้รับการจัดอันดับให้เป็นบริษัทเดียวในประเทศไทยที่ติดหนึ่งใน 500 แบรนด์แรกของโลกที่มีมูลค่าแบรนด์องค์กรสูงสุด โดยอยู่ในอันดับที่ 249 สูงขึ้นจากอันดับ 267  ในปี 2567 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังได้รับการประเมินมูลค่าแบรนด์สูงกว่าเก้าพันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเติบโตกว่าร้อยละ 11 ซึ่งมีเกณฑ์ในการพิจารณา อาทิ ผลการดำเนินงาน ความแข็งแกร่งของแบรนด์ และความยึดมั่นในแบรนด์ที่ตอกย้ำการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในทุกมิติ 

Mr. Alex Haigh, Managing Director – Asia Pacific of Brand Finance กล่าวว่า ดร.คงกระพัน แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ และการขับเคลื่อนแบรนด์ด้วยเป้าหมายที่ชัดเจน โดยความมุ่งมั่นในการสร้างคุณค่าระยะยาว การพัฒนาอย่างยั่งยืน และความเป็นเลิศทางธุรกิจ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการผลักดันให้ ปตท. เป็นแบรนด์ไทยเพียงหนึ่งเดียวที่ติดอันดับ Brand Finance Global 500 และมีชื่อเสียงระดับสากลในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและการพัฒนาอย่างยั่งยืนในภาคพลังงาน

ดร.คงกระพัน กล่าวเพิ่มเติมว่า การได้รับการจัดอันดับบริษัทที่มีมูลค่าแบรนด์สูงสุดของโลกเป็นผลเนื่องมาจากพันธกิจขององค์กรที่ชัดเจนในการมุ่งมั่นรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่องบนหลัก “ความยั่งยืนอย่างสมดุล” ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม รวมถึงการกำกับดูแลกิจการที่ดี ภายใต้วิสัยทัศน์ “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” ตลอดจนการสนับสนุนจากคนไทยทุกภาคส่วนที่ให้ความเชื่อมั่นในการดำเนินงานของ ปตท.

นอกเหนือไปจากการดูแลรักษาเสถียรภาพทางด้านพลังงานแล้ว ปตท. ยังคงดูแลสังคม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย และพร้อมช่วยเหลือประเทศชาติในยามที่เกิดภาวะวิกฤติ และดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มอย่างสมดุล ทั้งนี้ เพื่อเติบโตและมุ่งสู่การเป็นขององค์กรในระดับโลกอย่างยั่งยืน และสร้างมูลค่าแบรนด์ที่แข็งแกร่งยกระดับขีดความสามารถขององค์กรสู่ระดับสากล


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top