Friday, 20 June 2025
ค้นหา พบ 48906 ที่เกี่ยวข้อง

‘อิ๊งค์’ ออกรายการ สรุปผลการเยือนจีน ปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ลดลงอย่างรวดเร็ว พร้อมส่งข้อมูลแลนด์บริดจ์เพิ่มเติมให้ เผย!! เจอกันอีกเทปต้นเดือน มี.ค.

(16 ก.พ. 68) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “โอกาสไทยกับนายกแพทองธาร” ตอนพิเศษ การเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ ในโอกาส 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย NBT2HD และวิทยุเครือข่ายกรมประชาสัมพันธ์ทั่วประเทศ

โดย น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ในช่วงการเยือนยังได้พบผู้นำจีนทั้ง 3 ระดับ คือ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ประธานสภาประชาชนแห่งชาติ สาธารณรัฐประชาชนจีน นายจ้าว เล่อจี้ และนายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง  ซึ่งเป็นเรื่องน่าภูมิใจ เพราะการได้พบผู้นำประเทศจีนทั้ง 3 ระดับในการเยือน 1 ครั้ง ไม่ได้เกิดขึ้นทุกครั้ง ถือเป็นความภาคภูมิใจของประเทศไทย โดยได้หารือถึงการส่งมอบหมีแพนด้ายักษ์ 2 ตัว มาไทย ตอนนี้กำลังดำเนินการอยู่ ไทยเตรียมสถานที่ให้เรียบร้อย เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น

นอกจากนี้ จีนตื่นเต้นกับเรา คือ ครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน มีการสร้างซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติฯ 72 พรรษา ในหลวง ตนเชิญชวนนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาชมความสวยงามของซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติฯ โดยเฉพาะช่วงเดือน เม.ย.ที่มีเทศกาลสงกรานต์โดยนายกฯได้เน้นย้ำความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีนว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ และตำรวจท่องเที่ยวจะดูแลพี่น้องนักท่องเที่ยวจีนเป็นอย่างดี และได้เล่าเรื่องพระเขี้ยวแก้วให้กับสื่อมวลชนจีนรับทราบ ต่างฝ่ายชื่นชมซึ่งกันและกัน รวมถึงแผนงานความสัมพันธ์ระหว่างกันในอีก 50 ปีต่อจากนี้ของทั้ง 2 ประเทศ เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดี และช่วยเหลือเกื้อกูลกันแบบนี้ นี่คือธีมที่ 2 ประเทศได้คุยกัน

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า สำหรับความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์นั้นทั้ง 2 ประเทศได้พูดคุยอย่างจริงจัง ซึ่งประธานาธิบดีจีนชื่นชมไทยที่มีการจัดการเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างเด็ดขาด และจะตั้งทีมทํางาน 2 ทีม เพื่อช่วยกันในเรื่องนี้  โดยจีนประสงค์จะช่วยมากกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่ได้ขอแค่การตั้ง 2 ทีม ที่จะสามารถสั่งการได้อย่างรวดเร็ว โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศช่วยกํากับดูแลในการพูดคุยของทั้ง 2 ทีม ให้พูดคุยแล้วสามารถหาข้อสรุปได้ทันที นับว่าเป็นเรื่องที่ได้ประโยชน์ 

นอกจากนี้ ยังมีการร่วมมือด้าน “ซอฟต์พาวเวอร์” ระหว่างกัน เช่น มวยไทย ร้านอาหารไทย ว่าจะทำอะไรกับจีนได้บ้าง โดยจะมี working team มาติดต่อกันอีกครั้ง ส่วน สินค้าเกษตรของไทยนั้น จะให้จีนกับไทยร่วมกันกําหนดมาตรฐาน เพื่อให้มีมาตรฐานเท่ากัน โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะรับไปดำเนินการต่อ เพื่อให้ผู้ประกอบการเสียต้นทุนน้อยที่สุด มีกำไรมากขึ้น เกิดความสะดวกเพิ่ม เป็นการเปิดช่องทางสินค้าเกษตรไทย ซึ่ง ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงได้กล่าวว่า ชอบทุเรียนหมอนทอง และมะม่วง พอได้ยินอย่างนั้น ก็ดีใจ

น.ส.แพทองธาร ยังกล่าวถึงรถไฟความเร็วสูง และ โครงการแลนด์บริดจ์  รถไฟความเร็วสูงระยะที่ 1 และ 2 ยังอยู่ในขั้นตอนการก่อสร้าง หากเสร็จแล้วทั้งจีน ลาว ไทย จะสามารถส่งสินค้าได้อย่างรวดเร็ว และยังสามารถส่งทุเรียนหมอนทองไปมอบให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงได้ เป็นการลดต้นทุน เพิ่มโอกาส SME และเกษตรกรไทย และยังเป็นอีกช่องทางสำหรับผู้ที่จะทำธุรกิจ ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลา ประหยัดต้นทุน ซึ่งจีนให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวมาก และขอให้ไทยเร่งดำเนินการ ซึ่งได้สั่งการกระทรวงที่เกี่ยวข้องให้เร่งรัดเรื่องนี้แล้ว

จีนยังให้ความสนใจโครงการแลนด์บริดจ์มากเช่นกัน และต้องการให้โครงการดังกล่าวเกิดขึ้น หากโครงการเกิดขึ้น จะมีการเชื่อมกันและจีนได้ขอข้อมูลผลการศึกษาโครงการเนื่องจากจีนเห็นถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากโครงการดังกล่าว ซึ่งจะเกิดผลดีทั้งจีนและประเทศเพื่อนบ้าน โดยจะมอบหมายให้ทีมที่ทำการศึกษาโครงการดังกล่าว ส่งข้อมูลเพิ่มเติมไปให้ รวมทั้งการเชิญชวนมาลงทุนด้วย

การมีแลนด์บริดจ์จะช่วยลดเวลาการส่งออกได้ 4 วัน สามารถประหยัดต้นทุนของผู้ประกอบการได้ 15 %  ช่วยประหยัดน้ำมัน ทำให้ต้นทุนถูกลง ผู้บริโภคก็ซื้อของในราคาที่ถูกลงด้วย ได้ผลดีทั้งระบบ โดยจะดำเนินการควบคู่กับเรื่อง Green Energy ประหยัดพลังงานด้วย นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าให้ประเทศไทยเป็นฮับโลจิสติกส์  สร้างโอกาสการจ้างงาน และการซื้อขายสินค้า

นายกฯ ยังกล่าวถึงความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้าและการลงทุนว่า ได้เชิญชวน บริษัท Xiaomi ให้มาสร้างโรงงานผลิตรถ EV ที่ประเทศไทย เพื่อเพิ่มโอกาสการจ้างงานในประเทศ ซึ่งไทยได้พูดคุยกับประเทศในอาเซียน และมีบทบาทในเวทีอาเซียน ก็จะเป็นอีกข้อเสนอสำคัญที่นักลงทุนต่างชาติจะเข้ามาลงทุนในประเทศ

ทั้งนี้ ได้มีการเซ็น MOU 14 ฉบับ ซึ่งเป็นสิ่งที่สื่อจีนให้ความสนใจ และได้ประโยชน์ อาทิ ข้อมูลออนไลน์ต่าง ๆ ที่จะแชร์ร่วมกันระหว่างไทยกับจีน สแกมเมอร์ ข้อมูลการพัฒนาต่าง ๆ เช่น เครื่องมือทางการเกษตร เป็นต้น ซึ่งจะสามารถนำไปพัฒนาต่อยอดได้

นายกฯ กล่าวว่า ในส่วนการพบภาคเอกชนและสื่อมวลชนจีน เป็นการพบกับและพูดคุยกับอินฟลูเอนเซอร์ อย่าง POP MART Xiao Hong Shu Meitu Dianping เรื่องการนำร้านอาหารไทย ขึ้นบนแพลตฟอร์มจีน โดยได้แนะนำ แอปฯ สำหรับนักท่องเที่ยว ที่ตำรวจไทยจัดทำขึ้น เพราะต้องการให้นักท่องเที่ยวใช้ หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ปลอดภัย เพื่อให้นำไปไว้บนแพลตฟอร์มจีน และขอขอบคุณที่มาช่วยกันสื่อสารให้กับประชาชนจีนทราบ

นายกฯ ยังกล่าวถึงการร่วมพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ฤดูหนาว ครั้งที่ 9 ได้พบนักกีฬาไทย รู้สึกดีใจมาก ได้ร่วมชมและเชียร์การแข่งขัน Ice Hockey ชายทีมชาติไทย และคิดว่าน่าจะนำกองเชียร์ไทยไปร่วมเชียร์ พร้อมให้กำลังใจนักกีฬาที่ร่วมแข่งขันและรู้สึกประทับใจนิทรรศการน้ำแข็งที่มีสวยงามมาก รวมถึงพิธีเปิดการแข่งขัน อีกทั้ง ได้แสดงความยินดีกับความสำเร็จของ นายปอล ฮองรี วิเยอร์ต๊องส์ นักกีฬาเอเชียนวินเทอร์เกมส์ ที่คว้าเหรียญทองแดงแรกจากกีฬา Freestyle skiing

ในช่วงท้ายรายการ นายกฯ ได้สรุปผลการเยือนจีนว่า เรื่องแรก ความมั่นคง ได้ความร่วมมือการแก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งปัญหาดังกล่าวจะต้องลดลงและเห็นผลอย่างรวดเร็ว  เรื่องที่สอง คือ การค้า Landbridge การตรวจสอบคุณภาพ (QC) สินค้าที่จะส่งออก จะสามารถส่งออกสินค้าได้เร็วขึ้น ไม่เสียต้นทุนมาก โดยเฉพาะ Landbridge เมื่อเกิดขึ้น ช่วยประหยัดพลังงาน มีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น มีการจ้างเพิ่ม สินค้าเกษตรที่ล้นตลาดก็จะไม่ล้น และสาม คือ ความสัมพันธ์ระดับประชาชน-ประชาชน (People to people) เชื่อมสัมพันธ์ของไทย-จีน ที่มีต่อไปในอีก 50 ปีข้างหน้า ซึ่งต่างเห็นพ้องว่าจะเสริมสร้างความสัมพันธ์แบบนี้ให้ยาวนานต่อไป

นายกฯ ยังเปิดเผยด้วยว่า อย่าลืมติดตามอีกเทปประมาณช่วงต้นเดือน มี.ค.68

‘นิพนธ์’ เสนอ ‘นายกฯ-ครม.’ เร่งผลักดันงบ ‘Hatyai Monorail’ หวั่นล่าช้า ทำต้นทุนพุ่ง ชี้!! เป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของหาดใหญ่

(16 ก.พ. 68) นายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 8 สมัย เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี เร่งผลักดันโครงการ Hatyai Monorail พร้อมเร่งรัดการพิจารณางบประมาณโดยสำนักงบประมาณ เพื่อให้โครงการเกิดขึ้นโดยเร็ว ลดต้นทุนที่อาจเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต  

นายนิพนธ์ เปิดเผยว่า การประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ซึ่งจะจัดขึ้นที่จังหวัดสงขลา ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ นี้ เป็นโอกาสสำคัญที่รัฐบาลจะขับเคลื่อนโครงการระบบขนส่งสาธารณะของอำเภอหาดใหญ่ ซึ่งเชื่อมต่อ สถานีคลองหวะ – สถานีรถตู้ โดยโครงการดังกล่าวผ่านการศึกษาความเป็นไปได้แล้ว และมีศักยภาพสูงในการพัฒนา  

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้โครงการต้องรอการพิจารณาจากสำนักงบประมาณ ว่า จะจัดสรรงบประมาณให้เท่าใด ซึ่งหากกระบวนการเป็นไปอย่างรวดเร็ว จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในพื้นที่ ลดปัญหาการจราจร และสามารถควบคุมต้นทุนโครงการได้ แต่หากล่าช้า ต้นทุนก่อสร้างจะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความคุ้มค่าและความเป็นไปได้ของโครงการ  

“Hatyai Monorail ไม่ใช่แค่โครงสร้างพื้นฐาน แต่เป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของหาดใหญ่ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาการจราจร รองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ และเป็นตัวแบบของความร่วมมือระหว่างส่วนกลางกับท้องถิ่น โดยอบจ. สงขลาได้ศึกษาความเป็นไปได้และออกแบบพร้อมศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเรียบร้อยแล้วรอการพิจารณาอนุมัติงบประมาณ จากสำนักงบฯ พร้อมเป็นการกระตุ้นความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกลาง กับท้องถิ่น และภาคเอกชน  ซึ่งการดำเนินโครงการที่รวดเร็วจะช่วยให้ประชาชนได้รับประโยชน์โดยเร็วที่สุด” นายนิพนธ์ กล่าว  

นายนิพนธ์ ย้ำว่า รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับโครงการนี้ และพิจารณาจัดสรรงบประมาณโดยเร็ว เพื่อให้โครงการเกิดขึ้นจริง รองรับการขยายตัวของเมืองหาดใหญ่ และปริมณฑลและเป็นต้นแบบของระบบขนส่งสาธารณะในภูมิภาคอื่นของประเทศต่อไป

สนธิ ลิ้มทองกุล สื่อมวลชนอาวุโส และเจ้าของสื่อในเครือผู้จัดการ กล่าวถึง ประเด็นที่ ‘ปอ ตนุภัทร’ โทรหา ท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค

(16 ก.พ. 68) นายสนธิ ลิ้มทองกุล สื่อมวลชนอาวุโส และเจ้าของสื่อในเครือผู้จัดการ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า …

ขอชี้แจงเรื่องคุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค

ผมขอชี้แจงเรื่องที่ผมพูดไปใน "สนธิเล่าเรื่อง" เมื่อวันพุธที่ผ่านมา(12ก.พ.) ว่า คุณปอ ตนุภัทร หนึ่งในคนบนเรือ ได้มีการโทรศัพท์คุยกับคุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค นั้น ผมยืนยันว่าไม่ได้เป็นข้อมูลที่มาจาก DSI เลย และไม่มีทางที่ DSI จะส่งข้อมูลนี้มาให้ผม แต่ผมได้ข้อมูลและการวิเคราะห์จากแหล่งข่าวของผมเอง

ข้อแรก เมื่อคืนวันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 คุณอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ จัดรายการ "โคนันเมืองไทย" แล้วใบ้คำถึงคนบนเรือ โทรคุยกับนักการเมืองคนหนึ่ง แล้วใบ้คำว่าหนึ่ง เป็นรัฐมนตรีในชุดที่แล้วและรัฐมนตรีชุดนี้ สอง เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง สาม เป็นคนดูแลกระทรวงสำคัญ และสี่ เป็นผู้ที่จบและมีความเชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย ผมเห็นข้อมูลแล้ววิเคราะห์ได้ว่าน่าจะหมายถึงคุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค และไม่ใช่ผมคนเดียว เพราะคอมเมนต์ในคลิปคุณอัจฉริยะ ก็มีคนคิดแบบผมพิมพ์เข้ามาเยอะมาก ในที่สุดผมก็เลยต้องให้ทีมงานไปค้นรูปเก่าๆ ความสัมพันธ์ระหว่างคุณพีระพันธุ์ กับคนบนเรือ ว่ามีหรือเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณปอ ซึ่งเป็นคนค้าขายเรือและรถหรู น่าจะรู้จักนักการเมืองเยอะ ผมก็เลยเจอรูปจริงๆ ผมเลยเชื่อว่าคุณปอ จะต้องโทรหาคุณพีระพันธุ์ 

ประกอบกับผมมีพยานกลับใจคนหนึ่งมาบอกว่า คุณปอ โทรหาคุณพีระพันธุ์ และมีการพูดคุยกันจริง แล้วผมก็วิเคราะห์และเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง แต่จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ผมยืนยันข้อเท็จจริงไม่ได้ นอกจากสื่อมวลชนและ DSI ต้องไปสอบคุณพีระพันธุ์ เอาเอง ผมแค่ยืนยันอีกครั้งว่าผมไม่ได้รับข้อมูลจากที่ไหนเลย แต่ได้มาจากแหล่งข่าวและการวิเคราะห์ของผมเอง

และผมก็ได้ข่าวว่า คุณปอเรียกคุณพีระพันธุ์ว่า "อาตุ๋ย" ทุกคำ เพราะช่วงก่อนเลือกตั้งปี 2566 นายปอ เข้าไปที่พรรครวมไทยสร้างชาติ มานำเสนอโปรแกรมระบบไอที ตอนนั้นในพรรคก็ต่อต้าน เพราะกลัวนายปอ จะแย่งงาน แสดงว่านายปอ กับคุณพีระพันธุ์ รู้จักและสนิทสนมกันในระดับหนึ่ง ส่วนจะโทรและคุยกันเรื่องอะไร ไม่ทราบ เพียงแต่ว่าในวันที่โทรนั้นเป็นวันรุ่งขึ้นหลังจากที่พบว่าแตงโม ได้เสียชีวิตไปแล้ว ให้ผมเดา ผมไม่กล้าเดา ก็เป็นไปได้ว่าจะโทรไปปรึกษาหารือเรื่องคดีความ แต่จะเป็นอะไรนั้น ผมไม่รู้จริงๆ เอาเป็นว่า ข้อแรก ความจริงก็คือว่า ทั้งคุณพีระพันธุ์ และคุณปอ รู้จักกันดี ถ้าไม่รู้จักกันดีจะเรียกว่า อาตุ๋ย ได้อย่างไร และสอง ได้มีการโทรไปจริง นี่ผมวิเคราะห์จากสิ่งแวดล้อมแล้ว

‘สนธิ’ แจง!! ไม่เคยพูดว่า ‘พีระพันธุ์’ เกี่ยวข้องกับคนบนเรือในคดีแตงโม แต่เชื่อ!! รู้จักกับ ‘ปอ ตนุภัทร’ สนิทถึงขั้นให้เรียก ‘อาตุ๋ย’ อย่างเป็นกันเอง

(16 ก.พ. 68) นายสนธิ ลิ้มทองกุล สื่อมวลชนอาวุโส และเจ้าของสื่อในเครือผู้จัดการ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า …

ขอชี้แจงเรื่องคุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค

ผมขอชี้แจงเรื่องที่ผมพูดไปใน "สนธิเล่าเรื่อง" เมื่อวันพุธที่ผ่านมา(12ก.พ.) ว่า คุณปอ ตนุภัทร หนึ่งในคนบนเรือ ได้มีการโทรศัพท์คุยกับคุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค นั้น ผมยืนยันว่าไม่ได้เป็นข้อมูลที่มาจาก DSI เลย และไม่มีทางที่ DSI จะส่งข้อมูลนี้มาให้ผม แต่ผมได้ข้อมูลและการวิเคราะห์จากแหล่งข่าวของผมเอง

ข้อแรก เมื่อคืนวันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 คุณอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ จัดรายการ "โคนันเมืองไทย" แล้วใบ้คำถึงคนบนเรือ โทรคุยกับนักการเมืองคนหนึ่ง แล้วใบ้คำว่าหนึ่ง เป็นรัฐมนตรีในชุดที่แล้วและรัฐมนตรีชุดนี้ สอง เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง สาม เป็นคนดูแลกระทรวงสำคัญ และสี่ เป็นผู้ที่จบและมีความเชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย ผมเห็นข้อมูลแล้ววิเคราะห์ได้ว่าน่าจะหมายถึงคุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค และไม่ใช่ผมคนเดียว เพราะคอมเมนต์ในคลิปคุณอัจฉริยะ ก็มีคนคิดแบบผมพิมพ์เข้ามาเยอะมาก ในที่สุดผมก็เลยต้องให้ทีมงานไปค้นรูปเก่าๆ ความสัมพันธ์ระหว่างคุณพีระพันธุ์ กับคนบนเรือ ว่ามีหรือเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณปอ ซึ่งเป็นคนค้าขายเรือและรถหรู น่าจะรู้จักนักการเมืองเยอะ ผมก็เลยเจอรูปจริงๆ ผมเลยเชื่อว่าคุณปอ จะต้องโทรหาคุณพีระพันธุ์ 

ประกอบกับผมมีพยานกลับใจคนหนึ่งมาบอกว่า คุณปอ โทรหาคุณพีระพันธุ์ และมีการพูดคุยกันจริง แล้วผมก็วิเคราะห์และเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง แต่จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ผมยืนยันข้อเท็จจริงไม่ได้ นอกจากสื่อมวลชนและ DSI ต้องไปสอบคุณพีระพันธุ์ เอาเอง ผมแค่ยืนยันอีกครั้งว่าผมไม่ได้รับข้อมูลจากที่ไหนเลย แต่ได้มาจากแหล่งข่าวและการวิเคราะห์ของผมเอง

และผมก็ได้ข่าวว่า คุณปอเรียกคุณพีระพันธุ์ว่า "อาตุ๋ย" ทุกคำ เพราะช่วงก่อนเลือกตั้งปี 2566 นายปอ เข้าไปที่พรรครวมไทยสร้างชาติ มานำเสนอโปรแกรมระบบไอที ตอนนั้นในพรรคก็ต่อต้าน เพราะกลัวนายปอ จะแย่งงาน แสดงว่านายปอ กับคุณพีระพันธุ์ รู้จักและสนิทสนมกันในระดับหนึ่ง ส่วนจะโทรและคุยกันเรื่องอะไร ไม่ทราบ เพียงแต่ว่าในวันที่โทรนั้นเป็นวันรุ่งขึ้นหลังจากที่พบว่าแตงโม ได้เสียชีวิตไปแล้ว ให้ผมเดา ผมไม่กล้าเดา ก็เป็นไปได้ว่าจะโทรไปปรึกษาหารือเรื่องคดีความ แต่จะเป็นอะไรนั้น ผมไม่รู้จริงๆ เอาเป็นว่า ข้อแรก ความจริงก็คือว่า ทั้งคุณพีระพันธุ์ และคุณปอ รู้จักกันดี ถ้าไม่รู้จักกันดีจะเรียกว่า อาตุ๋ย ได้อย่างไร และสอง ได้มีการโทรไปจริง นี่ผมวิเคราะห์จากสิ่งแวดล้อมแล้ว

‘เรืองไกร’ ร้อง ป.ป.ช.!! สอบ ‘ปูอัด’ พ่วง!! ‘วันนอร์-สุชาติ’ ฝ่าฝืนจริยธรรมฯ

(16 ก.พ. 68) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ได้ส่งหนังสือทางไปรษณีย์ EMS ถึงคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อขอให้ทำการตรวจสอบนายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ปัจจุบันเป็นประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ว่ามีพฤติการณ์ฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมฯ ข้อ 17 หรือไม่ โดยมีข้อเท็จจริงข้อกฎหมายเป็นตัวอย่างในคำร้องดังนี้

ข้อ 1.พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 28 (1) และมาตรา 87 บัญญัติว่า มาตรา 28 คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหน้าที่และอำนาจ ดังต่อไปนี้ ไต่สวนและมีความเห็นกรณีมีการกล่าวหาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ผู้ใดมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง และมาตรา 87 เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนและมีความเห็นว่า ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอเรื่องต่อศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัย การเสนอเรื่องต่อศาลฎีกาตามวรรคหนึ่ง และการพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกาให้เป็นไปตามระเบียบของที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา ซึ่งต้องกำหนดให้ใช้ระบบไต่สวนและให้ดำเนินการโดยรวดเร็ว ให้นำความในมาตรา 81 และมาตรา 86 มาใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม

การเสนอเรื่องต่อศาลฎีกาตามวรรคหนึ่ง คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจมอบหมายให้พนักงาน เจ้าหน้าที่ดำเนินการในศาลแทนได้”

ข้อ 2. มาตรฐานทางจริยธรรมฯ ข้อ 17 กำหนดไว้ดังนี้ ไม่กระทำการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง

ข้อ 3. ระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 เรื่องด่วน ขออนุญาตสภาผู้แทนราษฎรเพื่อจับกุมตัว นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ สส.มารับทราบข้อกล่าวหาเพื่อสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายในระหว่างสมัยประชุม ตามมาตรา 125 ของรัฐธรรมนูญ

ข้อ 4. เอกสารแนบระเบียบวาระดังกล่าว แนบหนังสือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ ตช 0011.25/537 ลงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งเป็นหนังสือการแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีอาญากับ นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ ในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น โดยพนักงานสอบสวนได้รับคำร้องทุกข์ไว้เป็นคดีอาญาที่ 95/2568 กรณี นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จึงอาจเข้าข่ายอันควรตรวจสอบว่ามีพฤติการณ์ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมฯ ข้อ 17 หรือไม่

ข้อ 5. ด้วยปรากฏข้อเท็จจริงเกี่ยวกับนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กับ นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ปัจจุบันเป็นประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ

ข้อ 6. ข้อเท็จจริงตามข่าวที่ปรากฏ กรณี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และประธานรัฐสภา กับ นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ปัจจุบันเป็นประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ควรถือเป็นความปรากฏต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ไม่ว่าจะมีการกล่าวหาหรือไม่ ตามมาตรา 48 วรรคหนึ่งแล้ว จึงมีเหตุอันควรขอให้ตรวจสอบบุคคลทั้ง 3 แล้วแต่กรณี ว่ามีพฤติการณ์ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมฯ ข้อ 17 หรือไม่

“เรื่องฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมฯ อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยตรง จึงไม่ควรไปร้องหน่วยงานอื่น” นายเรืองไกร กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top