Sunday, 22 June 2025
ค้นหา พบ 48959 ที่เกี่ยวข้อง

‘พีระพันธุ์’ เดินหน้าตั้งกรรมการยกร่างกฎหมายส่งเสริมปาล์มน้ำมัน พร้อมเร่งรัดการทำงานเตรียมรับมือเลิกชดเชยไบโอดีเซล ปี 69

(6 ก.พ. 68) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เปิดเผยว่า วานนี้(5 กุมภาพันธ์ 2568) ได้มีการจัดประชุมคณะกรรมการยกร่างกฎหมายส่งเสริมอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มเป็นครั้งแรก ตามที่ตนได้เคยกล่าวไปก่อนหน้านี้ว่าจะมีการตั้งคณะกรรมการชุดดังกล่าวขึ้น แต่เนื่องจากมีการเสนอกฎหมายในทำนองเดียวกันจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จึงต้องมีการมอบหมายให้ผู้เกี่ยวข้องทำการศึกษากฎหมายฉบับดังกล่าวเสียก่อนว่าสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ตามกฎหมายที่จะยกร่างหรือไม่ จึงทำให้เวลาล่วงเลยไประยะหนึ่ง 

บทสรุปในวันนี้คือทางเราจะเร่งเดินหน้ายกร่างกฎหมายฉบับนี้ขึ้นโดยมีนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เป็นประธานคณะกรรมการในการยกร่างกฎหมายส่งเสริมอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม ซึ่งตนได้มอบนโยบายให้เร่งดำเนินการ และเพื่อให้เกิดความรวดเร็วยิ่งขึ้นในการทำงาน จะมีการตั้งคณะทำงานเพื่อยกร่างกฎหมายอีก 1 คณะ เพื่อให้การยกร่างกฎหมายฉบับนี้เป็นไปอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว 

ตนเชื่อว่ากฎหมายฉบับนี้จะช่วยทําให้พี่น้องเกษตรกรชาวสวนปาล์มมีหลักประกันในการประกอบอาชีพ พร้อมทั้งสร้างความเป็นธรรมในด้านรายได้ และจะทําให้วงจรของการนําน้ำมันปาล์มไปผลิตเป็นสินค้า หรือว่าเพิ่มมูลค่าเป็นระบบและครบวงจร 

สำหรับรูปแบบของร่างกฎหมายฉบับนี้จะนำรูปแบบของพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 ที่ส่งเสริมพี่น้องเกษตรกรชาวไร่อ้อยมาปรับใช้ โดยกฎหมายอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มก็จะออกมาในทำนองเดียวกัน

นอกจากนี้ใน พ.ศ. 2569 ที่จะถึงนี้ เงินจากกองทุนน้ำมันที่ต้องไปสนับสนุน ตรึงราคาน้ำมันปาล์มจากการที่เอาน้ำมันปาล์มผสมกับน้ำมันดีเซลจะถูกหยุดลง เป็นเหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่ต้องรีบเตรียมการเพื่อให้พี่น้องเกษตรกรชาวสวนปาล์มมีตลาดเพิ่มมากขึ้น หลังจากการลดการสนับสนุนให้ผสมกับน้ำมันดีเซลของกองทุนน้ำมัน ซึ่งหากไม่มีการเตรียมการจะเกิดปัญหาต่อไป

ดังนั้นตนพร้อมทั้งกระทรวงพลังงาน รวมถึงกระทรวงอุตสาหกรรมซึ่งนำโดยนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ก็ได้ช่วยกันเตรียมความพร้อมเพื่อแก้ไขปัญหาและรองรับกับสถานการณ์ใน พ.ศ. 2569 ตนเชื่อว่าการเตรียมการนี้จะแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นให้ลุล่วงไปด้วยดี 

‘อีลอน มัสก์’ เปิดศึก ‘โซรอส – Deep State’ หลังแฉตระกูลโซรอสใช้เงินปั่นการเมืองทั่วโลกรวมถึงไทย

หรือว่า!? Elon Musk เดินหน้าชน! เปิดศึกตระกูลโซรอส – เผยเครือข่ายทุนที่เชื่อมโยงถึงไทย 

'Yeah.' คำสั้น ๆ จาก Elon Musk ที่เหมือนเป็นเพียงการตอบโพสต์ของ Mario Nawfal แต่อาจเป็นสัญญาณเปิดฉากศึกใหญ่ ระหว่างเขากับ Deep State ที่มี George Soros และเครือข่าย Open Society Foundations (OSF) อยู่เบื้องหลัง

โพสต์ที่ Musk ตอบนั้นเปิดโปงว่า Soros และลูกชาย Alex Soros ไม่จำเป็นต้องลงสมัครรับเลือกตั้ง เพราะพวกเขาสามารถ ควบคุมการเมืองจากเบื้องหลัง ผ่านการให้ทุนสนับสนุนพรรคการเมือง นักกฎหมาย สื่อมวลชน และ NGO ทั่วโลก

Soros กับบทบาทการปั่นเกมการเมืองทั่วโลก

George Soros คือเจ้าพ่อกองทุนที่ใช้ Open Society Foundations เป็นเครื่องมือสำคัญในการแทรกแซงการเมืองระดับโลก ตั้งแต่ Color Revolutions (ปฏิวัติเสื้อสี) ในยุโรปตะวันออกและตะวันออกกลาง ไปจนถึงการสนับสนุนอัยการ นักการเมือง และนักเคลื่อนไหวสายซ้ายในสหรัฐฯ

อิทธิพลของ Soros ที่แทรกซึมเข้าไทย โซรอสมีบทบาทในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน เช่น วิกฤตต้มยำกุ้ง 2540 ที่ค่าเงินบาทถูกโจมตีโดยกองทุนเก็งกำไร ทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจล่มสลาย การสนับสนุนเครือข่าย NGO และสื่อที่มีแนวทางเสรีนิยมสุดโต่ง Color Revolution ฉบับไทย ที่มีการเคลื่อนไหวของกลุ่ม 3 นิ้ว เพื่อต่อต้านมาตรา 112 และพยายามเปลี่ยนแปลงสถาบันหลักของชาติ

Prachatai: เครื่องมือของ Soros ในไทย?

หนึ่งในองค์กรที่ถูกพูดถึงบ่อยที่สุดคือ Prachatai (ประชาไท) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Open Society Foundations ของโซรอส มาอย่างต่อเนื่อง

หลักฐานที่เชื่อมโยง Prachatai กับ Soros
การสนับสนุนทางการเงินจาก OSF ต่อ Prachatai ถูกตั้งคำถามมาตั้งแต่ปี 2559 โดยมีการเปิดโปงผ่าน การแฮ็กฐานข้อมูลของ OSF โดยเว็บไซต์ DCLeaks ซึ่งพบว่ามีเงินไหลเข้ามาสนับสนุนประชาไทมากถึง 1.7 ล้านบาทต่อปีตั้งแต่ปี 2548

เรื่องนี้ถูกขยายความโดย เทพชัย หย่อง อดีตบรรณาธิการเครือเนชั่น ที่รายงานเรื่องนี้ผ่าน The Nation พร้อมย้ำว่า Prachatai ยอมรับว่าได้รับเงินจาก Soros แต่ปฏิเสธว่าเงินนี้ไม่มีผลต่อแนวทางการนำเสนอข่าว

แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า Prachatai มักมีแนวทางที่กระทบกระเทียบสถาบันพระมหากษัตริย์ และเน้นสนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่ม 3 นิ้ว ซึ่งอยู่ในแนวทางเดียวกับขบวนการที่ Open Society สนับสนุนทั่วโลก

อ้างอิง 
https://www.bangkokbiznews.com/news/714023#google_vignette
https://www.nationtv.tv/news/378513810#google_vignette

Deep State และการแทรกแซงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
อีกประเด็นที่สำคัญคือ การแทรกแซงของเครือข่ายทุน Soros ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ Soros และองค์กรเครือข่ายของเขา ให้ทุนสนับสนุนกลุ่ม NGO ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาชายแดนภาคใต้ ซึ่งหลายครั้งถูกตั้งคำถามว่า ให้ความชอบธรรมกับกลุ่มที่ขัดแย้งกับฝ่ายรัฐ มากกว่าที่จะสนับสนุนความมั่นคงของประเทศ

แนวทางของ NGO ที่ได้รับทุนจาก OSF มักเน้นไปที่ การลดบทบาทของรัฐไทย ในพื้นที่ชายแดน ขณะที่เปิดพื้นที่ให้กับกลุ่มที่มีแนวคิดแยกตัว โดยใช้วาทกรรมเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นเครื่องมือ

Elon Musk: คู่ต่อกรตัวจริงของ Soros และ Deep State
Musk ไม่ใช่แค่เจ้าพ่อเทคโนโลยี แต่กำลังกลายเป็น ศัตรูตัวฉกาจของเครือข่ายทุนโลกาภิวัตน์ เขาเคยแฉว่า Soros ต้องการทำลายอารยธรรมตะวันตก เขายกเลิกโครงการของ USAID ซึ่งเป็นแขนขวาของ Deep State ที่ใช้แทรกแซงต่างประเทศ

ล่าสุดเขาเปิดโปง เครือข่าย Open Society Foundations และนักการเมืองสหรัฐฯ ที่เกี่ยวข้องกับ Alex Soros

Deep State กำลังถูกเปิดโปง – ศึกนี้จะลงเอยอย่างไร?
นี่ไม่ใช่แค่เกมการเมืองของสหรัฐฯ แต่เป็นการต่อสู้ระดับโลก เครือข่ายทุนเงา ที่เคยกำหนดทิศทางของประเทศต่างๆ กำลังเผชิญหน้ากับคู่ต่อกรที่ท้าทายอำนาจของพวกเขาโดยตรง สิ่งที่คนไทยควรจับตามองคือ NGO และสื่อในประเทศที่ได้รับเงินสนับสนุนจาก Open Society Foundations ของโซรอส กำลัง ปั่นกระแสอะไร และ สร้างวาทกรรมอะไร ในสังคม ศึกนี้ยังไม่จบ และ Elon Musk กำลังเข้าสู่บอสไฟต์ที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา!

‘ธนกร’ ฝาก รัฐบาลยกระดับคุมเข้มชายแดนเมียนมา หนุนร่วมมือจีนลุยปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์-ค้ามนุษย์ขั้นเด็ดขาด

‘ธนกร’ ฝาก รัฐบาลยกระดับคุมเข้มชายแดนเมียนมา หลัง สั่งตัดไฟ-เน็ต-น้ำมันแล้ว เชื่อ กระทบแก๊งคอลเซ็นเตอร์-ค้ามนุษย์หนักแน่ หวั่น เกิด 'เมียวดีเอฟเฟค' โต้กลับ หนุน นายกฯ ถกจีน เร่งตั้งคกก. แก้ภัยข้ามชาติลุยปราบขั้นเด็ดขาดช่วยลดความเดือดร้อน ปชช.

(6 ก.พ. 68) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รองหัวหน้าพรรคและสส.บัญชีรายชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวหลัง จากที่ทางการไทยได้ตัดกระแสไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต และน้ำมัน ไม่จ่ายไปยังพื้นที่ 5 จุด ตามแนวชายแดนในประเทศเมียนมา เพื่อตัดวงจรแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ว่า ตนเห็นด้วยและขอสนับสนุนรัฐบาลในการดำเนินการดังกล่าวเพื่อเป็นการตัดช่องทางไม่ว่ามากหรือน้อยก็สามารถสร้างผลกระทบให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่นั้นได้อย่างแน่นอน และขอให้มีการสำรวจในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายค้ามนุษย์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์จากพวกทุนสีเทาในพื้นที่อื่นๆ เพิ่มเติมด้วยนอกเหนือจาก 5 จุดที่ได้ตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ตและตัดการส่งน้ำมันไปแล้ว เพื่อเป็นการขยายพื้นที่หากพบการกระทำความผิดเพิ่มเติม

นอกจากนี้ ขอฝากกระทรวงกลาโหม เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงตามแนวชายแดนทุกหน่วยงาน เตรียมแผนรับมือสถานการณ์ พร้อมยกระดับการรักษาความปลอดภัยตามแนวชายแดนให้เข้มข้นขึ้น เนื่องจากเกรงว่า มาตรการตัดไฟฟ้าของไทยอาจส่งผลกระทบต่อหลายกลุ่มของฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน ไม่อยากให้เกิดปรากฏการณ์ 'เมียวดีเอฟเฟค' เหตุความไม่สงบตามแนวชายแดนตามมา ทั้งนี้เพื่อป้องกันและรักษาความมั่นคงปลอดภัยให้กับพี่น้องประชาชนชาวไทยบริเวณแนวชายแดนอ.แม่สอด จ.ตากและพื้นที่ใกล้เคียงด้วย

“การเยือนประเทศจีนของนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ ทราบว่ามีวาระความร่วมมือ ระหว่างกันในการตั้งคณะกรรมการแก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ การปราบปรามเครือข่ายค้ามนุษย์ ร่วมกันทั้งไทยและจีนรวมถึงในอาเซียนด้วย จึงขอให้ดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจังเด็ดขาดให้เห็นผลเป็นรูปธรรมชัดเจน เพื่อจะช่วยเหลือลดความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนคนไทยได้ดีขึ้น“ นายธนกร กล่าว

รอง ผบ.ตร. ขับเคลื่อนศูนย์ปราบปรามผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง และผู้ร้ายสำคัญ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มุ่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน รักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน สร้างความสงบสุขอย่างยั่งยืน

(6 ก.พ.68) พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เปิดเผยว่า ตามนโยบายรัฐบาลที่ตระหนักและให้ความสำคัญในการปราบปรามผู้มีอิทธิพล ซึ่งกระทบต่อความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนตามปกติ มุ่งสร้างความสงบเรียบร้อยอย่างยั่งยืนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ จึงได้สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน เร่งรัดจับกุมบุคคลที่มีพฤติการณ์เป็นผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง และผู้ร้ายสำคัญ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ได้นำนโยบายรัฐบาลมาสู่การปฏิบัติ โดยจัดตั้งศูนย์ปราบปรามผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง และผู้ร้ายสำคัญ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอร.ตร.) โดยมอบหมายให้ พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร. เป็น ผอ.ศปอร.ตร. และ พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็น รอง ผอ.ศปอร.ตร. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย ระบบฐานข้อมูล ตลอดจนกำหนดแนวทางการทำงานให้เป็นระบบ และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน พร้อมทั้งเร่งรัดขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้บรรลุผลสำเร็จเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยได้ประชุมขับเคลื่อนศูนย์ปราบปรามผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง และผู้ร้ายสำคัญ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อมอบนโยบาย กำหนดแนวทาง กำชับการปฏิบัติให้กับทุกหน่วยทั่วประเทศ และร่วมบูรณาการการทำงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน      

พล.ต.อ.ประจวบฯ กล่าวว่า สถานการณ์ประเทศไทยในปัจจุบันมีเรื่องของความขัดแย้งด้านผลประโยชน์ เกิดปัญหาสังคมต่างๆ ขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดพฤติการณ์ที่เข้าข่ายผู้มีอิทธิพล 17 มูลฐานความผิด อาทิ นายทุนปล่อยเงินกู้นอกระบบ, รับจ้างทวงหนี้, ผู้มีอิทธิพลในการฮั้วประมูล, ลักลอบจับบ่อนพนัน, พนันออนไลน์, call center, มือปืนรับจ้าง, ผู้มีอิทธิพลที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด, หลอกลวงนักท่องเที่ยว และขบวนการค้ามนุษย์ เป็นต้น ซึ่งพฤติการณ์ต่างๆ เหล่านี้กระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ ที่มีลักษณะเป็นมาเฟียต่างชาติ เรียกค่าไถ่ หรืออาชญากรรมข้ามชาติต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ระดมสรรพกำลังดำเนินการปราบปรามอย่างเต็มกำลังมาโดยตลอด 

โดยในห้วงระยะเวลาที่ผ่านมา ได้มีการคัดกรองเป้าหมาย รวม 943 ราย แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มปฏิทินมือปืน 2564 จำนวน 240 ราย ผู้มีอิทธิพลที่ส่งมาจากกระทรวงมหาดไทย 130 ราย และกองบังคับการปราบปรามรวบรวม 573 ราย ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอิทธิพลเกี่ยวกับการฮั้วประมูล การบุกรุกที่สาธารณะ แก๊งเงินกู้โหด และแก๊งอาชญากรรม ซึ่งนำทั้งหมดมาคัดกรองเป็นเป้าหมายคุณภาพ เหลือเพียง 71 เป้าหมาย
           
สำหรับแนวทางในการรวบรวมเป้าหมาย ได้กำหนดให้ทุกหน่วยดำเนินการ 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนแรก รวบรวมจากผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ที่มีประวัติการกระทำความผิด และมีหมายจับอยู่แล้ว และส่วนที่สอง รวบรวมจากผู้ที่มีอิทธิพลในพื้นที่ อยู่เบื้องหลังการกระทำความผิดต่างๆ ที่ประชาชนในพื้นที่มีความรู้สึกว่า หากอยู่ในพื้นที่แล้ว ประชาชนจะได้รับความเดือดร้อน หรือใช้ชีวิตไม่ปกติสุข แล้วให้รายงานมายังกองบังคับการปราบปราม ซึ่งเป็นเลขาศูนย์ฯ รวบรวม เพื่อดำเนินการต่อไป

ศูนย์ปราบปรามผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง และผู้ร้ายสำคัญ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอร.ตร.) ได้เปิดช่องทางให้ประชาชนร้องเรียนพฤติกรรมของผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ได้ทางเพจ Facebook ชื่อ 'ศูนย์ปราบปรามผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง และผู้ร้ายสำคัญ' หรือโทรสายด่วน 1195 หรือ 191 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

CIA มีแผนจ้างออกล็อตใหญ่ ลดพนักงานและค่าใช้จ่ายตามนโยบายทรัมป์

(6 ก.พ. 68)สำนักข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (CIA) กำลังวางแผนปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ โดยมีแนวทางจ่ายเงินก้อนโตเพื่อจูงใจให้พนักงานลาออกโดยสมัครใจ แนวทางนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการปรับเปลี่ยนทิศทางการบริหารงานของ CIA ให้สอดคล้องกับนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเฉพาะในประเด็นด้านความมั่นคงแห่งชาติ

แม้ว่าข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนพนักงานที่อาจได้รับผลกระทบและงบประมาณที่เกี่ยวข้องยังคงเป็นความลับ แต่แหล่งข่าวระบุว่า การปรับโครงสร้างครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานขององค์กรให้ตอบสนองต่อนโยบายหลักของทรัมป์ได้อย่างเต็มที่ เช่น การต่อสู้กับกลุ่มค้ายาเสพติด การจัดการปัญหาการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย และการดำเนินยุทธศาสตร์ด้านสงครามการค้า

ปัจจุบัน CIA อยู่ภายใต้การนำของ จอห์น แรตคลิฟฟ์ ผู้อำนวยการคนใหม่ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากทรัมป์และรับรองโดยวุฒิสภาเมื่อปลายปีที่แล้ว คาดว่าแรตคลิฟฟ์จะเดินหน้าปรับโครงสร้างองค์กรตามนโยบายของทรัมป์ โดยมุ่งลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นและเพิ่มความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน

ทั้งนี้ แผนการจูงใจให้พนักงานลาออกของ CIA สอดคล้องกับแนวทางที่ทรัมป์เคยเสนอให้กับเจ้าหน้าที่รัฐบาลกว่า 2 ล้านคน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเปิดโอกาสให้ลาออกโดยสมัครใจภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยยังคงได้รับค่าจ้างและสวัสดิการจนถึงวันที่ 30 กันยายนนี้ อย่างไรก็ตาม มีเพียง 20,000 คนเท่านั้นที่ตอบรับข้อเสนอดังกล่าว ขณะที่สหภาพแรงงานเจ้าหน้าที่รัฐได้ยื่นฟ้องคัดค้านแผนการนี้ โดยเห็นว่าไม่เป็นธรรมต่อพนักงาน

การปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ของ CIA นับเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวสำคัญภายใต้การบริหารของทรัมป์ ที่มุ่งเปลี่ยนแปลงระบบราชการและหน่วยงานความมั่นคงให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของประธานาธิบดี แม้จะยังไม่มีความชัดเจนในรายละเอียด แต่การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการทำงานของ CIA ในอนาคต


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top