Tuesday, 24 June 2025
ค้นหา พบ 48986 ที่เกี่ยวข้อง

‘หนูนา - กัญจนา’ ผลักดันสร้าง รพ. ช้างในพื้นที่ อ.แม่แตง พร้อมหนุนงบ 50 ล้านบาท สร้างให้แล้วเสร็จตามเจตนารมณ์

‘หนูนา – กัญจนา’ เดินหน้าผลักดันสร้างโรงพยาบาลช้างในพื้นที่ อ.แม่แตง ต่อ แม้งบประมาณจะพุ่งถึง 50 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในหนึ่งปี หวังฝากสิ่งที่เป็นประโยชน์ไว้ในแผ่นดิน

เมื่อวันที่ (30 ม.ค. 68) นางสาวกัญจนา ศิลปอาชา หรือ หนูนา ได้เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการก่อสร้างโรงพยาบาลช้างในพื้นที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า โรงพยาบาลช้างที่ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ตามที่ดิฉันได้เคยโพสต์ไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า…ดิฉันจะสร้างโรงพยาบาลช้างให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อเป็นที่ดูแลรักษาช้าง และเป็นที่ฝึกนักศึกษาสัตวแพทย์ เมื่อวานได้มีการประชุมทาง Zoom กับคุณหมอบิ๊ก (ฉัตรโชติ) คุณหมอนิน และ ผู้เกี่ยวข้องของทางมช.

ได้ข้อสรุปดังนี้
1. โรงพยาบาลแห่งนี้จะตั้งอยู่ที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่บนพื้นที่ของสปก.ที่ขออนุญาตใช้แล้วประมาณ 26 ไร่เศษ

2. ทั้งโครงการจะประกอบด้วยโรงดูแลรักษาช้างได้คราวละ 4 เชือก (หรือ 6 โดยอีก 2 ต้องผูกอยู่ด้านนอก)
โรงเก็บอาหาร เก็บเวชภัณฑ์ ที่พักนักศึกษา ที่พักควาญ อาคารดำเนินงานธุรการต่างๆ ระบบไฟฟ้า น้ำประปา

3. งบประมาณที่ใช้ ที่เคยคุยกันที่ 40 ล้านบาทปรากฏว่าไม่พอต้องขึ้นไปถึงเกือบ 50 ล้าน…(คือ 49 ล้านกว่า)

4. ใช้เวลาก่อสร้างแล้วเสร็จเพื่อใช้งานได้น่าจะประมาณหนึ่งปีนับจากนี้

เอาเถอะค่ะ แม้งบจะเพิ่มอีกเป็นเกือบ 50 ล้าน ดิฉันก็จะทำให้โดยดิฉันจะมอบเงินให้กับทางมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ทั้งก้อนให้เขาไปบริหารกันเองแต่ดิฉัน ..ในฐานะผู้บริจาค ขอมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน ส่วนทางมหาวิทยาลัยจะเปิดให้ผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคในอุปกรณ์ปลีกย่อยอื่น ก็เป็นเรื่องของทางมหาวิทยาลัย

นางสาวกัญจนา ย้ำว่า ดิฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่า โรงพยาบาลแห่งนี้ จะก่อคุณูปการกับช้างทั้งหลายในภาคเหนือ ซึ่งมีนับ 1,000 เชือก ไม่ใช่เฉพาะแค่ในเชียงใหม่ แต่ในจังหวัดอื่นด้วย และจะเป็นที่ผลิตนักศึกษาที่จะมาเป็นหมอช้างในวันหน้า ดิฉันคิดอย่างที่เคยบอกเสมอว่า ตายไป ดิฉันก็เอาอะไรไปไม่ได้…แต่สมบัติที่ดิฉันมีในวันนี้ จะสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ยาวนาน แม้เมื่อดิฉันจากโลกนี้ไปแล้ว สิ่งนั้นก็ยังคงอยู่

1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2438 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตรากฎหมายโรงจำนำเป็นครั้งแรกในไทย

วันนี้เมื่อ 130 ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตราพระราชบัญญัติโรงจำนำ ร.ศ.114 ขึ้นเป็นครั้งแรกในเมืองไทย มีผลบังคับใช้ทั่วพระราชอาณาจักร วันที่ 1 กรกฎาคม ร.ศ.120

ทั้งนี้ การรับจำนำมีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยมีหลักฐานยืนยันได้จากการตราพระราชกำหนดของสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ห้ามจำนำสิ่งของเวลากลางคืน ในสมัยนั้น สิ่งของที่เอามาจำนำ ได้แก่ ทองรูปพรรณ เงิน นาก เครื่องทองเหลือง ผ้าแพรพรรณมีค่า ฯลฯ ซึ่งแต่เดิมผู้จำนำไม่ต้องเอาของไปจำนำที่คนรับจำนำ แต่มีการจำนำตามบ้าน

ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ กิจการโรงจำนำเกิดขึ้นในรัชกาลที่ 4 โดย จีนฮง ตั้งโรงจำนำ ย่องเซี้ยง ที่แยกสำราญราษฎร์ ดึงดูดให้คนมาจำนำด้วยการกำหนดดอกเบี้ยให้ต่ำ มีการทำบันทึกรับจำนำ หรือ 'ตึ๊งโผว' มีการออกตั๋วรับจำนำเป็นเอกสารหลักฐาน

ครั้นมาถึงสมัยรัชกาลที่ 5 จึงได้ตราพระราชบัญญัติลักษณะโรงจำนำเมื่อ รศ.114 หรือ พ.ศ.2438 โรงจำนำสมัยนี้ กิจการรุ่งเรือง มีโรงจำนำในกรุงเทพฯ ราว 200 โรง โรงจำนำที่มีชื่อเสียงคือโรงจำนำ ฮั่วเส็ง ของนายเล็ก โทณวณิก จนถึงปี พ.ศ.2498 มีการตั้ง โรงรับจำนำของรัฐ ขึ้นเป็นครั้งแรกพร้อมกัน 2 โรง คือ ที่บริเวณเชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้าฯ โรงหนึ่ง และต้นถนนเทอดไทอีกโรงหนึ่ง และในพ.ศ.2500 เปลี่ยนชื่อมาเป็น สถานธนานุเคราะห์

ต่อมาอีก 3 ปี คือ พ.ศ.2503 รัฐบาลอนุญาตให้เทศบาลสามารถตั้งโรงรับจำนำได้ กรุงเทพมหานครจึงตั้งกิจการโรงรับจำนำใช้ชื่อว่า 'สถานธนานุบาล'

2 กุมภาพันธ์ ของทุกปี ‘วันนักประดิษฐ์’ น้อมรำลึก วันทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิบัตร ‘กังหันน้ำชัยพัฒนา’

เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2536 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้รับการทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายสิทธิบัตรการประดิษฐ์กังหันน้ำชัยพัฒนา ซึ่งต่อมากำหนดเป็น วันนักประดิษฐ์

พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้พระราชทานหลักการและรูปแบบของเครื่องกลเติมอากาศให้แก่กรมชลประทานเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2531 ซึ่งสำนักงานวิจัยและพัฒนาเครื่องจักรกลน้ำ กองโรงงาน กรมชลประทาน ได้ประดิษฐ์ 'กังหันน้ำชัยพัฒนา' เพื่อใช้ในโครงการแก้ไขน้ำเสีย อันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยได้รับพระราชทานเงินทุนจาก 'มูลนิธิชัยพัฒนา' เพื่อจัดสร้างอุปกรณ์ต่างๆ และทำการวิจัย หากทำการทดลองได้ผลดีจะได้นำไปเผยแพร่เป็นต้นแบบแก่ส่วนราชการและแหล่งชุมชนต่างๆ ให้นำไปจัดสร้างเพื่อใช้กำจัดน้ำเสียต่อไป

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติในการที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้ทรงคิดค้น และได้พระราชทานรูปแบบและความคิด ในการประดิษฐ์เครื่องกลเติมอากาศที่สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพในการบำบัดน้ำเสีย และเกิดประโยชน์แก่ส่วนรวมอย่างมาก มูลนิธิชัยพัฒนา จึงได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต เพื่อขอรับสิทธิบัตร เครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้า แบบทุ่นลอย หรือ กังหันน้ำชัยพัฒนา ในพระปรมาภิไธย พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยเลขาธิการของมูลนิธิชัยพัฒนา นายสุเมธ ตันติเวชกุล เป็นผู้แทนขอรับสิทธิบัตรต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2535 และได้รับเลขที่สิทธิบัตร 3127 เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2536

ซึ่งนับได้ว่ากังหันน้ำชัยพัฒนา เป็นสิ่งประดิษฐ์เครื่องกลเติมอากาศเครื่องที่ 9 ของโลกที่ได้รับสิทธิบัตร และเป็นครั้งแรกที่ได้มีการรับการจดทะเบียนและออกสิทธิบัตรให้แก่พระราชวงศ์ รัฐบาลไทยได้มีมติกำหนดให้วันที่ 2 กุมภาพันธ์ ของทุกปีเป็น “วันนักประดิษฐ์” เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร นอกจากนี้กังหันชัยพัฒนา ยังได้รับรางวัลสิ่งประดิษฐ์ซึ่งเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ ฝ่ายวิทยาศาสตร์ รางวัลที่ 1 ประจำปี 2536 จากคณะกรรมการบริหารสภาวิจัยแห่งชาติอีกด้วย

รู้เรื่อง...ค่าไฟฟ้า (5) : ‘ก๊าซธรรมชาติ’ เชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าของไทย

บอกเล่าเรื่องของ ‘ค่าไฟฟ้า’ ก็ต้องพูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับเชื้อเพลิงพลังงานที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยด้วย ซึ่งในปัจจุบันเราใช้ ‘ก๊าซธรรมชาติ’ เป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า เพราะสมัยก่อนมีการใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้า แต่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ ด้วยคุณสมบัติของ ‘ก๊าซธรรมชาติ’ ซึ่ง ถูกและสะอาดกว่าน้ำมัน ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น และไม่มีพิษ ในสถานะปกติมีสภาพเป็นก๊าซ หรือไอที่อุณหภูมิและความดันบรรยากาศ โดยมีค่าความถ่วงจำเพาะต่ำกว่าอากาศ จึงเบากว่าอากาศ เมื่อเกิดการรั่วไหลจะฟุ้งกระจายไปตามบรรยากาศอย่างรวดเร็ว จึงไม่มีการสะสมลุกไหม้บนพื้นราบ และเมื่อเผาไหม้จะเป็นเชื้อเพลิงสะอาดและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้เชื้อเพลิงประเภทน้ำมันและถ่านหิน จัดว่าเป็นพลังงานที่มีความปลอดภัยสูงสุดอย่างหนึ่งในปัจจุบัน

ประเทศไทยได้มีการสำรวจพบแหล่ง ‘ก๊าซธรรมชาติ’ 2 แหล่ง คือ ในทะเลบริเวณอ่าวไทย และบนบก อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น จึงได้นำมาใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524 โดยการนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้า และในโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อทดแทนการใช้ถ่านหินและน้ำมันเตา ซึ่งมีราคาสูงและต้องนำเข้าจากต่างประเทศในแต่ละปีมหาศาล และขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญความผันผวนของราคาน้ำมันตลาดโลกซึ่งเสี่ยงต่อความมั่นคงด้านพลังงาน การนำก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยขึ้นมาใช้ จึงเป็นการเปิดศักราชใหม่ของการพึ่งพาพลังงานที่มีอยู่ภายในประเทศของเราเองอย่างเป็นรูปธรรม และเนื่องด้วยก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงที่สะอาด คุณภาพดีและราคาถูกกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่น ๆ ทำให้ปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติของไทยสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี ผู้รับสัมปทานสำรวจและผลิตก๊าซจึงได้เสาะแสวงหาแหล่งก๊าซใหม่ ๆ เพื่อนำก๊าซจากแหล่งที่มีอยู่ขึ้นมาใช้ให้ได้มากที่สุด ขณะเดียวกันหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ได้พยายามนำก๊าซธรรมชาติมาใช้ให้ได้ประโยชน์สูงสุด นอกเหนือจากการนำไปเป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้า โรงงานอุตสาหกรรมและยานพาหนะ โดยให้การสนับสนุนพิเศษในการนำก๊าซธรรมชาติ มาเป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานยนต์ที่เรียกว่า ‘CNG (Compressed Natural Gas)’ หรือ ‘NGV (Natural Gas for Vehicle)’ นั่นเอง

ปัจจุบันประเทศไทยใช้ ‘ก๊าซธรรมชาติ’ จากแหล่งอ่าวไทย ราว 63.5% ซึ่งกำลังจะหมดไป และนำเข้าจากเมียนมา ราว 16% (จากแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติยาดานา และแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเยตากุน) ภายใต้สัญญาซื้อขาย 30 ปี ซึ่งจะครบสัญญาในปี พ.ศ. 2571 และ 2574 การนำเข้า ‘ก๊าซธรรมชาติ’ จากเมียนมาถือเป็นความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางพลังงานของไทย ด้วยย้อนกลับไปในปี พ.ศ. 2558 เมียนมาต้องซ่อมบำรุงแหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติ จนต้องหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติให้ไทย ซ้ำในปัจจุบันเองเมียนมาก็มีปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองภายในจนอาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่อระบบการจ่าย ‘ก๊าซธรรมชาติ’ เข้ามาในประเทศไทยได้ จึงต้องเพิ่มการนำเข้า ‘ก๊าซธรรมชาติ’ ในรูปของ ‘ก๊าซธรรมชาติเหลว (Liquefied Natural Gas : LNG) ซึ่งก็คือ ‘ก๊าซธรรมชาติ’ ที่ถูกทำให้กลายเป็นของเหลวโดยผ่านกระบวนการทำให้เย็นลง เพื่อสามารถบรรจุในถังเก็บเพื่อการขนส่งได้

เมื่อ ‘ก๊าซธรรมชาติ’ จากแหล่งเดิมที่ไทยใช้ในการผลิตไฟฟ้าเริ่มผลิตได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ทำให้ต้องนำเข้า LNG จากประเทศผู้ผลิตทั่วโลก (ราว 20.5%) แต่เมื่อเกิดสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนขึ้นใน ปี พ.ศ. 2565 ประเทศสมาชิกองค์การ NATO ซึ่งเคยนำเข้า LNG จากรัสเซียเพื่อใช้เป็นพลังงานในครัวเรือน ยกเลิกการซื้อ LNG จากรัสเซีย จึงทำให้ LNG ในแหล่งผลิตต่าง ๆ มีราคาพุ่งสูงขึ้นตั้งแต่นั้นมา ราคา LNG ในตลาดโลกที่พุ่งสูงขึ้น รวมถึงสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่านั้น ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการคำนวณ ‘ค่าไฟฟ้า’ ของไทยด้วย โดยเฉพาะ ‘ค่าไฟฟ้าผันแปร’ หรือ ‘ค่า Ft (Fuel Adjustment Charge (at the given time))’ ซึ่งใช้ในการคำนวณเพื่อปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ โดยเป็น ‘ค่าไฟฟ้า’ ในส่วนที่มีการปรับเปลี่ยนเพิ่มขึ้นหรือลดลงเป็นไปตามการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าจากเอกชนหรือประเทศเพื่อนบ้าน รวมไปถึงค่าใช้จ่ายที่การไฟฟ้าฯไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะเป็นผู้พิจารณาปรับค่า Ft ทุก 4 เดือน (แต่จนถึงทุกวันนี้คนไทยส่วนใหญ่ยังเข้าใจว่า รัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานเป็นผู้ที่กำหนดราคาค่าไฟฟ้า) 

แต่เดิมการนำเข้า ‘ก๊าซธรรมชาติ’ ของไทยนั้นถูกผูกขาดโดย ปตท. ทั้งจากแหล่งในอ่าวไทยและเมียนมา และ LNG ก็เช่นกัน พึ่งจะไม่นานมานี้เองที่ ‘ผู้ประกอบการผลิตไฟฟ้าเอกชน’ สามารถจะนำเข้า LNG ได้เอง ปัญหาความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางพลังงานของไทยจากการใช้ ‘ก๊าซธรรมชาติ’ และ LNG เป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้านั้น กำลังได้รับการแก้ไขโดย พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ด้วยการจัดตั้ง ‘ระบบสำรองน้ำมันและก๊าซเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Petroleum Reserve : SPR)’ เพื่อให้รัฐสามารถถือครองสำรองน้ำมันและก๊าซสำรองให้เพียงพอใช้ในประเทศได้ถึง 90 วัน ปัจจุบันการสำรองดังกล่าวดำเนินการโดยผู้ค้า ‘ก๊าซธรรมชาติ’ และ LNG มีการสำรองในปริมาณที่ค่อนข้างน้อยมาก ด้วยปริมาณที่สำรองที่มีอยู่จึงต้องแบกรับความเสี่ยงจากผลกระทบทั้งด้านปริมาณและราคาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

สำหรับตอนต่อไปจะได้บอกเล่าถึงเรื่องของ ‘ไฟฟ้าสำรอง’ ด้วยการกำหนดให้มี ‘ไฟฟ้าสำรอง’ ในปริมาณที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมกับสถานการณ์ตามบริบทของการใช้ไฟฟ้าในขณะที่เป็นอยู่นั้น จะเป็นปัจจัยที่ (1)ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าสูงขึ้น เนื่องจาก กฟผ. จะต้องเสีย ‘ค่าพร้อมจ่าย (ค่า AP)  มากขึ้น และ (2)เกิดความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางพลังงานไฟฟ้า หาก ‘ไฟฟ้าสำรอง’ ไม่เพียงพอต่อการรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินด้านไฟฟ้าของประเทศที่อาจเกิดขึ้นได้ ทั้งนี้ในปัจจุบัน ยังมีข้อถกเถียงโต้แย้งถึงความถูกต้องเหมาะสมของปริมาณ ‘ไฟฟ้าสำรอง’ ที่ประเทศไทยอย่างมากมาย

อสส. จับมือ รฟม. ส่งเสริมการดำเนินงานด้านการตลาดและการประชาสัมพันธ์

องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (อสส.) จับมือ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ร่วมกันส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงานด้านการตลาดเกี่ยวกับผู้ใช้บริการ รวมถึงด้านการประชาสัมพันธ์

เมื่อวานนี้ (30 ม.ค.68) ณ ศูนย์การเรียนรู้ด้านรถไฟขนส่งมวลชน (MRTA Learning Center) เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร นายอรรถพร ศรีเหรัญ ผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย และ นายวิทยา พันธุ์มงคล รองผู้ว่าการ (ปฏิบัติการ) รักษาการแทนผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ร่วมกันลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือการส่งเสริมการดำเนินงานด้านการตลาดและการประชาสัมพันธ์ 

ทั้งนี้ MOU ในดังกล่าววัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงานด้านการตลาดเกี่ยวกับผู้ใช้บริการผลิตภัณฑ์และบริการ รวมถึงเพื่อร่วมกันจัดกิจกรรมและประชาสัมพันธ์กิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อการประกอบกิจกรรมและผู้ใช้บริการของทั้งสองฝ่าย 

โดยมีผู้บริหารองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทยฯ ประกอบด้วย นางจงกลนี แก้วสด รองผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย (สายบริหาร) นายวันชัย ตันวัฒนะ รองผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย (สายอนุรักษ์และวิจัย) นางสมรัก บุษปธำรง รองผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย (สายปฏิบัติการและพัฒนาธุรกิจ) นายฐิติพร ทองดีพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาธุรกิจ นางบังอร สนธิสุวรรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเลขาผู้อำนวยการ นางสุภาพรรณ รุจิรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันจัดการสวนสัตว์ นางภรปภัช ธนะวัย รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักดิจิทัล และผู้บริหารการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ประกอบด้วย นางสาวจิรนันท์ วรจักร ผู้ช่วยผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และนายยุทธศักดิ์ ชื่นใจ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามเพื่อร่วมกันส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงานด้านการตลาดเกี่ยวกับผู้ใช้บริการ ร่วมกันจัดกิจกรรมและประชาสัมพันธ์ของทั้งสองหน่วยงาน

สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ มีแนวทางของการใช้ทรัพยากรร่วมกัน โดยจะใช้ประโยชน์จากจุดแข็ง ทรัพยากร และฐานลูกค้าของกันและกัน เพื่อเพิ่มความสามารถทางการตลาดและการประชาสัมพันธ์ ต่อไป 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top