Tuesday, 20 May 2025
ค้นหา พบ 48205 ที่เกี่ยวข้อง

ต่างชาติเที่ยวไทยปี 67 ทะลุ 35 ล้านคน ททท.คาดสร้างรายได้กว่า 1.6 ล้านล้านบาท

เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า จากสถิติตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 30 ธันวาคม 2567 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทย 35,441,648 ล้านคน เพิ่มขึ้น 26% เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 สร้างรายได้ 1,668,539 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้จำนวนทั้งปี 2567 อยู่ที่ 35 ล้านคน ตอกย้ำการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวแข็งแกร่ง โดยมีอานิสงส์จากมาตรการยกเว้นการตรวจลงตรา (Visa Exemption) และยกเว้นบัตร ตม.6 สำหรับด่านชายแดนทางบก การเปิดเส้นทางบินใหม่ของสายการบิน เพิ่มความถี่เที่ยวบิน และความจุที่นั่งสายการบินทั้งจากตลาดระยะใกล้และไกลรับนักท่องเที่ยวช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น) ทำให้ในปี 2568 ตั้งเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ อยู่ที่ 40 ล้านคน สร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1.98–2.23 ล้านล้านบาท มากที่สุดเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ จากปี 2562 ที่มีต่างชาติเข้ามาเที่ยวไทยประมาณ 39.5 ล้านคน

“การท่องเที่ยวไทยปี 2568 จะก้าวเข้าสู่ปีแห่งอะเมซิ่ง ไทยแลนด์ แกรนด์ ทัวริซึม แอนด์ สปอร์ต เยียร์ 2568 มุ่งเน้นในการขยายตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพทั้งตลาดระยะใกล้และไกล ผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นฮับท่องเที่ยวในภูมิภาค ต่อเนื่องจากปี 2567 ที่มีปัจจัยหนุนจากการจัดงานเทศกาลและอีเวนต์ต่างๆ ในประเทศไทย อาทิ เทศกาลเย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์ โครงการ Amazing Thailand Passport Privileges การจัดคอนเสิร์ต แฟนมีตติ้งของศิลปินไทยและต่างชาติ และการท่องเที่ยวตามรอยซีรีส์ สถานที่ถ่ายทำเอ็มวีและภาพยนตร์ไทย รวมถึงงานเคานต์ดาวน์ส่งท้ายปี ที่ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทย และขยายฐานตลาดนักท่องเที่ยวที่มีความสนใจเฉพาะ นักท่องเที่ยวคุณภาพทั้งในตลาดระยะใกล้และไกล” นางสาวฐาปนีย์ กล่าว

นางสาวฐาปนีย์ กล่าวว่า ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ทำนิวไฮ หรือจุดสูงสุดใหม่ เมื่อเทียบกับปี 2562 อาทิ อินเดีย 2,100,645 คน มาเลเซีย 4,898,496 คน ไต้หวัน 1,077,050 คน รัสเซีย 1,705,198 คน ซาอุดีอาระเบีย 226,094 คน อิตาลี 259,443 คน สเปน 205,914 คน โปแลนด์ 175,674 คน และตุรกี 102,680 คน

นอกจากนี้ ในภาพรวมของนักท่องเที่ยวตลาดระยะไกลยังมีแนวโน้มที่จะสร้างนิวไฮ โดยเฉพาะจากตลาดตะวันออกกลางที่มีกำลังซื้อสูง ความสำเร็จในการบรรลุเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2567 ที่ผ่านมา เกิดจากมาตรการอำนวยความสะดวกในการเข้าประเทศไทยของรัฐบาล

เชียงใหม่-สภ.เมืองเชียงใหม่ ร่วมตำรวจท่องเที่ยวเชียงใหม่ ตำรวจ ตม.เชียงใหม่ บูรณาการกำลัง ติดตามนักท่องเที่ยวเหตุปล่อยโคมลอยลานท่าแพ 

ตามข่าวที่ปรากฎตามสื่อโซเชี่ยล เหตุนักท่องเที่ยวต่างชาติได้พยายามปล่อยโคมลอยในพื้นที่บริเวณลานประตูท่าแพ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ห้ามปล่อยโคมลอยเนื่องจากอาจจะเกิดเพลิงไหม้ บ้านเรือนประชาชนซึ่งพักอาศัยอยู่จำนวนมาก ในเขตพื้นที่ อ.เมืองเชียงใหม่

ซึ่งหลังจากเป็นเหตุเกิดขึ้น จนท.ตำรวจ ได้ติดตามนักท่องเที่ยวคนดังกล่าว จนทราบตัวว่าเป็นใคร จึงได้ประสานติดต่อและเชิญตัวมายัง สภ.เมืองเชียงใหม่ 

ทราบชื่อว่า นายฮิราโนะ อายุ 31 ปี สัญชาติญี่ปุ่น จากการสอบสวน นายโทโมะ ได้เดินทางมาเที่ยวกับครอบครัวเพื่อร่วมงาน Count down 2025 ณ ลานท่าแพ จังหวัดเชียงใหม่ โดยเข้ามาเที่ยว ตั้งแต่วันที่ 28 ธ.ค. 68

ซึ่งตนตั้งใจเดินทาง มางานดังกล่าวกับครอบครัว หลังงานเค้าดาวน์ เสร็จ เวลาประมาณ 00.30 น. ตนจึงได้นำโคมลอยมาจุด บริเวณด้านข้างลานท่าแพเพราะเข้าใจว่า เขตห้ามปล่อยคือบนลานเท่านั้นแต่ขณะกำลังจะปล่อย ได้มี หมวดทวีศักดิ์ฯ มาตรวจพบและห้ามปราม แต่ตนติดว่าจุดนี้ปล่อยได้ จึงได้เกิดอารมณ์โมโหและแสดงกริยาที่ไม่ดีออกไป ตามที่เป็นข่าว หลังจากนั้นได้มีล่ามเข้ามาอธิบายให้ฟัง ตนจึงเข้าใจว่าเป็นเขตพื้นที่ห้ามปล่อยโคม จึงได้กล่าวขอโทษ ผู้หมวดทวีศักดิ์ฯ และได้แยกย้ายจากจุดเกิดเหตุในคืนดังกล่าว

ต่อมา จนท.ตำรวจ ได้ติดต่อตนเข้ามาและนายฮิราโนะ รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงอยากเข้าพบและขอโทษ หมวดทวีศักดิ์ฯ ด้วยตนเองอีกครั้ง จึงได้ติดต่อเดินทางเข้ามา พบ พ.ต.อ.ปรัชญา ทิศลา ผกก.สภ.เมืองเชียงใหม่ เพื่อขอพบผู้หมวดทวีศักดิ์ฯ ในเวลาประมาณ 19.30 น. ของวันเดียวกันนี้ 

โดย ผู้หมวดทวีศักดิ์ฯ ได้ยอมมาพบและรับคำขอโทษ และไม่ได้ติดใจเอาความ นายฮิราโนะ แต่อย่างใด 

แต่ความผิดอาญา อีกส่วนหนึ่ง จนท.ตำรวจ พิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำดังกล่าวของนายฮิราโนะฯ มีความผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติตามหน้าที่ 

จนท.ตำรวจ จึงได้อธิบายให้นายฮิราโนะฯ ทราบถึงข้อหาความผิดดังกล่าว ซึ่งนายฮิราโนะฯ เข้าใจและให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา พนักงานสอบสวน จึงทำการเปรียบเทียบปรับเป็นเงินจำนวน 3,000 บาท 

นายฮิราโนะฯ กล่าวเพิ่มเติมว่าตนขอโทษในสิ่งที่เกิดขึ้น และยอมรับผิดตามกฏหมาย และหากมีโอกาสจะกลับมาเที่ยวประเทศไทย อีกแน่นอน เพราะชอบแหล่งท่องเที่ยวของประเทศไทย และรับปากว่าไม่แสดงพฤติกรรมแบบนี้อีกเด็ดขาด

ผู้นำคาซัคแถลงผลงาน 2024 ชูสำเร็จรอบด้าน สร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษดึงนักลงทุนต่างชาติ

(3 ธ.ค. 67) ทำเนียบประธานาธิบดีคาซัคสถานได้เผยแพร่แถลงการณ์สุนทรพจน์ปีใหม่ 2025 ของนายคัสซิม-โจมาร์ต โตกาเยฟ ผู้นำคาซัคสถาน ซึ่งได้กล่าวถึงความสำเร็จของรัฐบาลคาซัคสถานภายใต้การนำของเขาอย่างรอบด้านทั้งด้าน การเมือง สังคม และเศรษฐกิจของคาซัคสถานตลอดปี 2024

ในแถลงการณ์ของนายโตกายเฟระบุว่า ตลอดปี 2024 เขาได้เดินทางเยือน 11 ภูมิภาคทั่วประเทศ และเยี่ยมชมเขตอุตสาหกรรมและพื้นที่เชิงวัฒนธรรมกว่า 60 แห่ง รวมถึงเข้าร่วมการประชุมและกิจกรรมสำคัญกว่า 41 ครั้ง และพบปะกับบุคคลทางการเมืองและสาธารณะทั้งในและต่างประเทศ 137 ครั้ง นอกจากนี้ นายโตกาเยฟได้ลงนามในกฎหมายและคำสั่งประธานาธิบดีรวมกว่า 3,979 ฉบับ ซึ่งประกอบด้วยกฎหมาย 95 ฉบับ กฤษฎีกา 319 ฉบับ คำสั่ง 81 ฉบับ บันทึกการประชุม 28 ฉบับ และเอกสารทางการ 3,456 ฉบับ จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม 2024

ในบรรดากฎหมายที่นายโตกาเยฟลงนาม มีการปรับโครงสร้างการปกครองของจังหวัดอัลมาตี โดยการยกระดับตำบลเจตีเกนให้กลายเป็นเมืองอาลาตาว ซึ่งถือเป็นโครงการสำคัญที่มีศักยภาพในการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ โดยนายโตกาเยฟได้ใช้โอกาสในการเยือนสิงคโปร์เพื่อหารือกับนักลงทุนเกี่ยวกับการพัฒนาเขตเศรษฐกิจเสรีในอัลมาตีและการปรับปรุงการปกครองในพื้นที่สำคัญ

ผู้นำคาซัคสถานยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการแก้ไขปัญหาสังคม 5 ประการ ได้แก่ การป้องกันการค้ามนุษย์ การส่งเสริมสิทธิของผู้หญิงและเด็ก และการป้องกันความรุนแรงในครอบครัว โดยการออกกฎหมายใหม่และปรับปรุงมาตรการทางกฎหมายเพื่อสนับสนุนสิทธิที่สำคัญเหล่านี้

ในด้านการจัดการวิกฤต น้ำท่วมครั้งใหญ่ในฤดูใบไม้ผลิที่ส่งผลกระทบต่อ 10 ภูมิภาคของประเทศ นายโตกาเยฟได้สั่งการอพยพผู้คนที่ได้รับผลกระทบและให้การช่วยเหลือทั้งทางการเงินและปัจจัยด้านต่าง ๆ เพื่อฟื้นฟูความเสียหายจากน้ำท่วม พร้อมทั้งจัดสรรงบประมาณช่วยเหลือผู้ประสบภัย

ในด้านเศรษฐกิจ นายโตกาเยฟได้สั่งการให้ดำเนินการเพื่อส่งเสริมการแข่งขันและลดการแทรกแซงจากรัฐ โดยมุ่งเน้นที่การลดต้นทุนธุรกิจและการส่งเสริมการลงทุนต่างประเทศในอุตสาหกรรมที่สำคัญ เช่น การทำเหมืองแร่ การค้า และการผลิต ซึ่งส่งผลให้คาซัคสถานสามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศสูงถึง 9.8 พันล้านเหรียญสหรัฐในครึ่งแรกของปี 2024

นอกจากนี้ คาซัคสถานยังได้เปิดตัวศูนย์ขนส่งและโลจิสติกส์สำคัญหลายแห่ง รวมถึงในเมืองซีอาน ประเทศจีน ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งออกสินค้าไปยังยุโรป อีกทั้งยังประสบความสำเร็จในการเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวสาลีสูงสุดถึง 26.7 ล้านตัน แม้จะประสบกับภัยพิบัติจากน้ำท่วม

ปี 2024 คาซัคสถานยังได้เริ่มโครงการสร้างโรงเรียนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพในพื้นที่ชนบท โดยสร้างโรงพยาบาลและโรงเรียนใหม่เพื่อให้บริการที่ดีกว่าแก่ประชาชนในชนบท

ในเดือนพฤษภาคม นายโตกาเยฟได้ลงนามในคำสั่งที่มุ่งเน้นการปรับปรุงเศรษฐกิจ โดยการลดการแทรกแซงจากรัฐและส่งเสริมการแข่งขัน ขณะเดียวกันก็มีการพัฒนาในด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ รวมถึงการร่วมมือกับอุซเบกิสถานในการพัฒนาเส้นทางการค้าทรานส์-อัฟกัน แม้คาซัคสถานจะเผชิญกับน้ำท่วมในฤดูใบไม้ผลิ แต่ก็เก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวสาลีได้มากที่สุดในรอบสิบปีที่ 26.7 ล้านตัน

นอกจากนี้ การรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมผ่านโครรงการ Taza Kazakhstan สามารถระดมพลประชาชน 2.4 ล้านคน เก็บขยะได้ 900,000 ตัน และปลูกต้นไม้ได้ 2.5 ล้านต้น

ปี 2024 คาซัคสถานยังได้สร้างการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ โดยการเปิดตัวเมืองอาลาตาว จากการลงนามคำสั่งของนายโตกาเยฟในเดือนมกราคม ซึ่งได้เปลี่ยนหมู่บ้านเจทีเกนให้กลายเป็นเมืองอาลาตาว ตั้งอยู่ระหว่างอัลมาตีและโคนาเยฟ โครงการนี้ได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะการหารือกับนักลงทุนในสิงคโปร์เกี่ยวกับการรวมกลุ่มอัลมาตีเข้าเป็นเขตเศรษฐกิจเสรี

ตลอดทั้งปี 2024 นายโตกาเยฟได้แนะนำกฎหมายที่คุ้มครองสิทธิของผู้หญิงและความปลอดภัยของเด็ก โดยเน้นการเสริมบทลงโทษสำหรับความรุนแรงในครอบครัวและการค้ามนุษย์ รวมถึงให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของประชาชนด้วยการกำหนดบทลงโทษที่เข้มงวดสำหรับการทำลายทรัพย์สิน การห้ามใช้บุหรี่ไฟฟ้า และมาตรการลดการเสพติดการพนัน

โดยรวมแล้ว ปี 2024 ถือเป็นปีที่สำคัญสำหรับคาซัคสถานในการพัฒนาเศรษฐกิจ การปรับปรุงสังคม และการจัดการวิกฤต พร้อมทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการสร้างความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับประเทศในอนาคต

ผู้นำคาซัคสถานนายคัสซิม-โจมาร์ต โตกาเยฟ กล่าวว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ปีหน้าเป็นปีที่ประสบผลสำเร็จยิ่งขึ้น โดยกล่าวว่า "เราจะดำเนินการปฏิรูปอย่างต่อเนื่องและทำโครงการที่ได้วางแผนไว้ให้สำเร็จ" 

"รัฐบาลต้องดำเนินการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมั่นคง เราต้องเปิดโรงงานผลิตใหม่ ปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทำธุรกิจ สร้างถนนให้มากขึ้น และแก้ปัญหาในภาคบริการสาธารณะ" เขากล่าว

นายโตกาเยฟยังเน้นถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล รวมทั้งปัญญาประดิษฐ์ในการขับเคลื่อนการพัฒนา "เป้าหมายหลักของการทำงานทั้งหมดนี้คือการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชน" นายโตกาเยฟกล่าว

‘มาดามแป้ง’ ปลื้มแฟนช้างศึกแห่ซื้อตั๋ว 47,000 ใบ หมดเกลี้ยงภายใน 2 ชม. นัดดวลเวียดนามรอบชิงฯ AFF นัดสอง

‘มาดามแป้ง’ นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ขอบคุณแรงสนับสนุนจากแฟนบอลชาวไทย หลังบัตรเข้าชมการแข่งขันถูกจำหน่ายหมดเป็นที่เรียบร้อย ในเกมเปิดบ้านพบกับ เวียดนาม ในศึกชิงแชมป์อาเซียน 2024 รอบชิงชนะเลิศ นัดสอง ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน ยกเป็นพลังใจสำคัญให้ทัพช้างศึก ทั้งก่อนลงเล่นเกมเยือนวันนี้ และ วันที่ 5 มกราคม 2568

บัตรเข้าชมการแข่งขัน เปิดจำหน่ายวันนี้ ในเวลา 10.00 น. ก่อนใช้เวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง บัตร Sold Out เป็นที่เรียบร้อย ภายใต้ความจุเกือบ 47,000 ที่นั่ง ณ สนามราชมังคลากีฬาสถาน

'มาดามแป้ง' กล่าวว่า “แป้ง พูดอยู่เสมอว่า ผู้เล่นคนที่ 12 สำคัญกับทีมชาติไทย มากที่สุด และ เป็นอีกหนึ่งวันที่ แป้ง ปลาบปลื้มใจ ดีใจ ที่เห็นแรงสนับสนุนที่มีต่อทีมชาติไทย เพราะขณะนี้ บัตรเข้าชม เกือบ 47,000 ที่นั่ง ถูกจำหน่ายหมดภายในเวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง แสดงให้เห็นถึงกระแส และ ความศรัทธาที่มีต่อ ทีมชาติไทย ในฐานะ นายกสมาคมฯ แป้ง อยากขอบคุณทุกคนจากใจจริง และ เชื่อว่าจะเป็นพลังใจสำคัญให้ทัพช้างศึก ก่อนลงเล่นเกมเยือนที่เวียดนาม ในวันนี้ แน่นอนว่าเป็นสถานการณ์ที่ยาก แต่เชื่อมั่นในสปิริตทีมชุดนี้ และ เชื่อมั่นว่าเราจะได้ผลการแข่งขันที่ดีกลับมา“

สำหรับ รอบชิงชนะเลิศ ชิงแชมป์อาเซียน 2024 ระหว่าง ทีมชาติไทย พบกับ ทีมชาติเวียดนาม จะแข่งขัน 2 นัด เหย้า-เยือน เริ่มจากทัพช้างศึก ไปเยือนก่อน ในวันที่ 2 มกราคม 2568 และ กลับมาเล่นในบ้าน วันที่ 5 มกราคม 2568

ส่งจดหมายถึงกองเชียร์ ประกาศสู้จนถึงที่สุด ก่อนศาลตัดสินถอดถอน เกาหลีใต้เร่งจับกุม

(2 ม.ค. 68) ทนายความของประธานาธิบดียุน ซอกยอลแห่งเกาหลีใต้ ซึ่งถูกระงับการปฏิบัติหน้าที่หลังจากประกาศกฎอัยการศึกเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ได้เปิดเผยข้อความผ่านจดหมายน้อยที่ประธานาธิบดียุนซอกยอลส่งถึงบรรดากลุ่มผู้สนับสนุนในวันที่ 1 มกราคม ระบุว่าเขาจะสู้จนถึงที่สุดหลังจากศาลเกาหลีใต้อนุมัติการออกหมายจับยุนเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ซึ่งทำให้เขากลายเป็นประธานาธิบดีที่ยังคงอยู่ในตำแหน่งคนแรกที่ต้องเผชิญการจับกุมในข้อหาก่อกบฏ

ข้อความในจดมหมายระบุว่า "ผมเห็นว่าพวกคุณกำลังต่อสู้อย่างหนักผ่านไลฟ์สดในยูทูป ผมจะต่อสู้จนถึงที่สุดเพื่อปกป้องประเทศนี้ร่วมกับพวกคุณ เนื่องจากกองกำลังภายในและภายนอก ละเมิดอำนาจอธิปไตยของประเทศ รวมถึงกิจกรรมของกลุ่มต่อต้านรัฐ เกาหลีใต้จึงตกอยู่ในอันตราย ผมจะต่อสู้จนถึงที่สุดเพื่อปกป้องประเทศนี้พร้อมกับทุกคน"

พรรคประชาธิปไตย (ดีพี) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านและมีเสียงข้างมากในสภา ได้ยื่นญัตติถอดถอนประธานาธิบดียุนเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม กล่าวว่า จดหมายของยุนไม่ช่วยให้เขาพ้นผิดแต่อย่างใด โดยนาย โจ ซึงแร โฆษกของพรรคดีพี กล่าวว่า ความพยายามในการก่อกบฏยังไม่เพียงพอสำหรับยุนและตอนนี้เขากำลังปลุกระดมให้ประชาชนลุกฮือขึ้น

สำนักงานการสอบสวนการทุจริตสำหรับเจ้าหน้าที่ระดับสูง (CIO) ซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจและอัยการ มีเวลาที่จะดำเนินการหมายจับยุนจนถึงวันที่ 6 มกราคม และศาลมีกำหนดพิจารณาคดีถอดถอนประธานาธิบดีในวันที่ 3 มกราคม หากศาลตัดสินให้ยุนถูกถอดถอน จะมีการเลือกตั้งใหม่ภายใน 60 วัน

ทนายความของยุนกล่าวว่า การออกหมายจับประธานาธิบดีไม่ถูกต้องและผิดกฎหมาย เนื่องจาก CIO ไม่มีอำนาจทางกฎหมายในการดำเนินการดังกล่าว

ในขณะเดียวกัน ประธานาธิบดียุนได้ส่งข้อความถึงผู้สนับสนุนที่รวมตัวกันที่หน้าบ้านพักประธานาธิบดีในกรุงโซล โดยกล่าวว่า "ผมจะต่อสู้จนถึงที่สุดเพื่อปกป้องประเทศ" และขอบคุณผู้สนับสนุนที่ต่อสู้ผ่านการถ่ายทอดสดทางยูทูบ

ปัจจุบันนายยุนกำลังเผชิญกับการสอบสวนในข้อหาก่อกบฏหลังจากการประกาศกฎอัยการศึกเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม โดยศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินใจว่าเขาจะถูกถอดถอนหรือไม่

พรรคฝ่ายค้านวิจารณ์ข้อความล่าสุดของยุน โดยกล่าวหาว่าเขากำลังยุยงให้เกิดความวุ่นวาย ขณะที่หน่วยงานปราบปรามการทุจริตกำลังดำเนินการตามหมายจับโดยเร็วที่สุด หลังจากศาลแขวงโซลออกหมายจับนายยุนในข้อหาวางแผนการประกาศกฎอัยการศึกและการใช้อำนาจในทางมิชอบ

หากจับกุมนายยุนได้ เจ้าหน้าที่จะนำตัวเขาไปสอบสวนที่สำนักงานของ CIO ก่อนจะควบคุมตัวที่สถานที่กักขังในเมืองอึยวัง ใกล้กับสำนักงานของ CIO

นอกจากนี้ คณะที่ปรึกษาอาวุโสของประธานาธิบดียุนได้ยื่นหนังสือลาออกยกชุดเมื่อวันที่ 1 มกราคม หลังจากที่รักษาการประธานาธิบดีชเว ซังม็อก อนุมัติการแต่งตั้งผู้พิพากษาใหม่ 2 คนเข้าสู่ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งกำลังพิจารณาคดีถอดถอนประธานาธิบดียุน

การลาออกเกิดขึ้นเพียง 1 วันหลังจากที่รักษาการประธานาธิบดีชเว อนุมัติการแต่งตั้งผู้พิพากษาใหม่ 2 คน ซึ่งส่งผลให้ศาลรัฐธรรมนูญมีองค์คณะผู้พิพากษา 8 คนจากทั้งหมด 9 คน การพิจารณาคดีของประธานาธิบดียุนจะต้องได้รับเสียงสนับสนุนอย่างน้อย 6 เสียง

พรรคพลังประชาชนวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจของรักษาการประธานาธิบดีชเว ว่าเป็นการกระทำที่ "ดันทุรัง" และขาดการปรึกษาหารืออย่างเพียงพอ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top