Tuesday, 20 May 2025
ค้นหา พบ 48202 ที่เกี่ยวข้อง

‘อ.อุ๋ย’ เห็นต่าง ปมตบรางวัลตำรวจปล่อย นทท. กระชากคอเสื้อ ชี้! เป็นดาบสองคม ทำกฎหมายไทยไร้ความศักดิ์สิทธิ์

(2 ม.ค. 68) อาจารย์อุ๋ย ปชป. ชี้!  มอบรางวัลตำรวจไม่ตอบโต้นักท่องเที่ยวกระชากคอเสื้อ เป็นดาบสองคม สร้างบรรทัดฐานที่บิดเบี้ยว ทำกฎหมายไทยไม่ศักดิ์สิทธิ์ ตำรวจไทยปฏิบัติหน้าที่ยากขึ้น ย้ำ! การบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยต่างหาก คือการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับการท่องเที่ยว 

เมื่อวันที่ (1 ม.ค. 68) นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมายและอดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้แสดงความเห็นผ่านแพลตฟอร์ม X ว่า “จากกรณีที่ มีนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น ฝ่าฝืนกฎหมายโดยการปล่อยโคมลอยสีแดง บริเวณถนนคชสาร ซอย 3 ใกล้กับประตูท่าแพ โดยมีกลุ่มนักท่องเที่ยวจำนวนมากห้อมล้อม และเชียร์กันอย่างสนุกสนาน จนเกิดการกระทบกระทั่งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าไปห้ามปราม จนมีการกระชากคอเสื้อของตำรวจ นั้น

แม้สุดท้ายเหตุการณ์จะจบลงด้วยดี จนมีการมอบรางวัลให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่มีความอดทนอดกลั้น ซึ่งผมก็เคารพในการตัดสินใจของตำรวจผู้ปฏิบัติงานและผู้มอบรางวัล อย่างไรก็ดี ผมมีข้อกังวลว่าการมอบรางวัลให้กับการปฏิบัติหน้าที่ลักษณะนี้ คือการไม่ตอบโต้กับผู้ที่พยายามใช้กำลังทำร้ายเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบ และไม่ดำเนินคดีกับผู้ฝ่าฝืนกฎหมายโดยการปล่อยโคมลอย จะเป็นการสร้างบรรทัดฐานว่า การไม่ใช้อำนาจจับกุมผู้กระทำผิด กับการไม่บังคับใช้กฎหมายในเวลาที่ต้องใช้ คือการปฏิบัติหน้าที่ที่เจ้าหน้าตำรวจทุกนายควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง งั้นหรือ ? แบบนี้ต่อไปใครจะกระชากคอเสื้อตำรวจก็ได้ สุดท้ายขอโทษแล้วจบ งั้นหรือ ? 

ซึ่งผมเชื่อว่าหากเหตุการณในลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยและยึดถือสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา เยอรมนี ฝรั่งเศส หรือแม้แต่ประเทศญี่ปุ่นเอง หากมีผู้ที่ทำผิดกฎหมาย และพยายามกระชากคอเสื้อเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบ จะมีเจ้าหน้าที่อย่างน้อยสามถึงห้าคนเข้ามารุมล้อมและจับใส่กุญแจมือและส่งเข้ารถคุมขังทันที ซึ่งหากทำอย่างถูกต้องตามหลักการการจับกุม ผู้ถูกจับกุมจะไม่เกิดการบาดเจ็บรุนแรงแต่อย่างใด และจะต้องถูกดำเนินคดีจนถึงที่สุด เพราะถือเป็นการทำลายภาพลักษณ์การท่องเที่ยว เพราะทำให้เกิดความวุ่นวายไม่สงบเรียบร้อย 

นักท่องเที่ยวปกติ (ขอเรียกว่านักท่องเที่ยว “สีขาว”) เขาจะนิยมเที่ยวประเทศที่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเขาและครอบครัวสามารถท่องเที่ยวได้อย่างสบายใจโดยไม่ต้อกังวลกับโจรผู้ร้าย ในขณะที่นักท่องเที่ยวสีเทาหรือสีดำ จะชอบไปท่องเที่ยวประเทศที่การบังคับใช้อ่อนแอ หละหลวม สามารถใช้เงินและอิทธิพลเหนือกฎหมายได้ ผมจึงขอฝากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องไปพิจารณา ว่าอยากได้นักท่องเที่ยวแบบไหน และขอย้ำว่าการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยต่างหาก คือการสร้างภาพลักษณ์การท่องเที่ยวที่ได้ผลดีที่สุด ด้วยความปรารถนาดี” 

คาซัคสถานผงาด! ครองฮับการลงทุนเอเชียกลาง ดึงเม็ดเงิน 15.7 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024

(2 ม.ค.68) คณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งเอเชียและแปซิฟิกแห่งสหประชาชาติ (ESCAP) ได้เผยแพร่รายงานการลงทุนประจำปี 2024 ซึ่งระบุว่า คาซัคสถานได้กลายเป็นประเทศชั้นนำของแถบเอเชียกลางที่สามารถดึงดูดการลงทุนในโครงการใหม่ได้ถึง 15.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ กลายเป็นผู้นำด้านการลงทุนในภูมิภาคเอเชียเหนือและเอเชียกลาง  

ข้อมูลระบุว่าในปี 2024 การลงทุนในคาซัคสถานเพิ่มขึ้นถึง 88% เมื่อเทียบกับปี 2023 คิดเป็น 63% ของการลงทุนทั้งหมดในภูมิภาคนี้ ขณะที่ประเทศอื่น ๆ ที่ติดในการจัดอันดับชาติที่ได้รับการลงทุนในภูมิภาคเอเชียกลางสูงสุดคือ อุซเบกิสถาน – 4 พันล้านดอลลาร์ (-49%)  คีร์กีซสถาน – 2.1 พันล้านดอลลาร์ (+310%)  อาเซอร์ไบจาน – 1.2 พันล้านดอลลาร์ (+1%) เติร์กเมนิสถาน – 339 ล้านดอลลาร์ จอร์เจีย – 126 ล้านดอลลาร์ อาร์เมเนีย – 67 ล้านดอลลาร์  

รายงานยังชี้ให้เห็นว่า สภาพแวดล้อมการลงทุนในภูมิภาคสะท้อนถึงแนวโน้มที่แข็งแกร่งของบริษัทนานาชาติที่มุ่งกระจายกลยุทธ์การลงทุน โดยให้ความสำคัญกับโครงการในสาขาสำคัญ เช่น พลังงานสีเขียว การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และนวัตกรรมทางเทคโนโลยี  

ในรายงานของESCAP ระบุว่า “ความสำเร็จนี้สะท้อนจากความพยายามอย่างจริงจังของหน่วยงานด้านการลงทุนและกระทรวงที่เกี่ยวข้องมีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ความสำเร็จในภาคส่วนเกิดใหม่ไม่เพียงขึ้นอยู่กับนโยบายที่เอื้อต่อการลงทุน แต่ยังต้องมีการสนับสนุนครอบคลุมในทุกขั้นตอน รวมถึงการดูแลนักลงทุนหลังการลงทุนด้วย” 

แม้จะมีความท้าทายระดับโลก แต่คาซัคสถานยังคงเป็นจุดหมายปลายทางของนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ โดยยืนหยัดเป็นเวทีสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืนและโอกาสใหม่ ๆ ในปีนี้ คาซัคสถานยังจัดงานสำคัญด้านการลงทุน เช่น สภานักลงทุนต่างชาติ และการประชุมโต๊ะกลมการลงทุนระดับโลกคาซัคสถาน 2024 ซึ่งช่วยย้ำสถานะของประเทศในฐานะศูนย์กลางการลงทุนที่สำคัญในภูมิภาคนี้

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตรวจสภาพการจราจรถนนพระราม 2 และตรวจเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง สถานีตำรวจทางหลวงวังมะนาว อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี และจุดบริการประชาชนเขาย้อย จ.เพชรบุรี”

วันนี้ (29 ธ.ค. 67) เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมคณะ ได้เดินทางตรวจสภาพการจราจร ถนนพระราม 2 ต่อเนื่องถนนเพชรเกษม พบว่าสภาพการจราจรสายตะวันตกและสายใต้ เส้นทางถนนพระราม 2 (ทล.35) และถนนเพชรเกษม (ทล.4) วันนี้การจราจรคล่องตัวเดินทางสะดวก สาเหตุเนื่องจากผู้ใช้ทางส่วนใหญ่ทยอยเดินทางกลับตั้งแต่ช่วงวันที่ 25-28 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวานนี้ (28 ธันวาคม 2567) ถนนพระราม 2 มีการจราจรหนาแน่นตลอดทั้งวัน เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงได้เปิดช่องทางพิเศษในจุดที่มีการจราจรหนาแน่น และอยู่ประจำจุดอำนวยความสะดวกตลอดเส้นทาง 

จากนั้นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้ตรวจเยี่ยมเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง ณ สถานีตำรวจทางหลวง 2 กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจทางหลวง ในพื้นที่วังมะนาว อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี และจุดบริการประชาชนเขาย้อย จ.เพชรบุรี เพื่อให้กำลังใจข้าราชการตำรวจในสังกัดที่ปฏิบัติหน้าที่ให้บริการประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งมีสภาพการจราจรคับคั่ง เนื่องจากพี่น้องประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาและไปท่องเที่ยวต่างจังหวัด ในส่วนหน่วยบริการตำรวจทางหลวงวังมะนาว ซึ่งเป็นหน่วยบริการขนาดใหญ่ มีผู้มาใช้บริการจำนวนมาก เช่น แวะสอบถามทาง แวะเข้าห้องน้ำ รวมถึงมีผู้ที่ต้องเดินทางในระยะทางไกล มาลงทะเบียนเข้าพักค้างตามโครงการ “ห้องพักทั่วไทย จากใจตำรวจทางหลวง” เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงได้ให้บริการผู้เข้าพักได้รับความประทับใจ และชื่นชมกับโครงการนี้

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้มอบนโยบายในการปฏิบัติงานกำชับให้ข้าราชการตำรวจทุกนายปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ และมีจิตสาธารณะในการให้บริการช่วยเหลือประชาชนที่สัญจรเดินทาง รวมถึงจะต้องประพฤติตนอย่างเหมาะสมโดยเฉพาะในเวลาสวมเครื่องแบบปฏิบัติหน้าที่ ในขณะเดียวกันก็จะต้องเตรียมความพร้อมเต็ม 100% เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาสภาพการจราจรและอุบัติเหตุ ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้มากขึ้นในช่วงเทศกาลสำคัญ พร้อมนี้ได้มอบหมวกนิรภัยให้แก่ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ไม่ได้สวมหมวกนิรภัย เพื่อเป็นการรณรงค์ให้การขับขี่ปลอดภัยยิ่งขึ้น

“ผบช.ภ.2” สั่งคุมเข้มอาวุธ ป้องกันเมาทะเลาะวิวาทในแหล่งท่องเที่ยว กำชับทำคดีอย่างเป็นธรรม เหตุแทงหนุ่มญี่ปุ่นดับ พร้อมประสานสถานทูต ช่วยเหลือจัดการศพ

(29 ธ.ค. 67) พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2) สั่งการตำรวจ สภ.เมืองพัทยา จว.ชลบุรี สอบสวนคดีทำร้ายชาวญี่ปุ่นจนเสียชีวิต หน้าสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง เมื่อเช้าตรู่ที่ผ่านมา อย่างเป็นธรรมรอบคอบ และกำชับให้ออกมาตรการเข้มในการเฝ้าระวังกลุ่มคน บุคคลที่มีพฤติกรรมสุ่มเสี่ยง ป้องปรามการทะเลาะวิวาท การดื่มสุรา การรวมกลุ่มสังสรรค์ ของประชาชน และนักท่องเที่ยวที่อาจสุ่มเสี่ยงนำไปสู่การทะเลาะวิวาทรุนแรง โดยย้ำว่าต้องเพิ่มความถี่ในการออกตรวจ แสดงกำลังหรือปรากฏกายของเจ้าหน้าที่ พร้อมทั้งการสุ่มตรวจค้นอาวุธอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในแหล่งท่องเที่ยวที่มีผู้คนจำนวนมาก

ผบช.ภ.2 เผยถึงเหตุการณ์ทำร้ายชาวญี่ปุ่นว่า รับรายงาน จาก พ.ต.อ.นาวิน ธีระวิทย์ ผกก.สภ.เมืองพัทยา ว่า เมื่อเวลาประมาณ 05.57 น. วันนี้ (29 ธันวาคม 2567) ตำรวจ สภ.เมืองพัทยา รับแจ้งเหตุตรวจสอบพบชายชาวญี่ปุ่นถูกอาวุธมีดแทงที่หน้าอกได้รับบาดเจ็บสาหัส ในย่าน วอล์กกิ้งสตรีท พัทยา โดยนอนหมดสติ ทราบชื่อ นายเซตะ อายุ 27 ปี ประสานนำส่งโรงพยาบาลและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ส่วนผู้ก่อเหตุ ชื่อนายเดวิด อายุ 36 ปี ชาวไทย สามารถควบคุมตัวได้ทันทีในที่เกิดเหตุ สอบสวนผู้อยู่ในเหตุการณ์ทราบว่าผู้เสียชีวิตเห็นผู้ก่อเหตุมีปากเสียงกับแฟนสาว ถึงขั้นทำร้ายร่างกายอยู่ริมถนน จึงเข้าห้าม เกิดการชกต่อยกัน ก่อนแยกย้าย แต่ผู้เสียชีวิตได้กลับมาหาผู้ก่อเหตุอีกครั้งพุ่งเข้าจะชกต่อย ผู้ก่อเหตุจึงใช้มีดแทงไปที่ผู้เสียชีวิตจนล้มลง แล้ววิ่งหนี แต่ถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคุมตัวไว้ได้

“คดีนี้ตำรวจ สภ.เมืองพัทยา ตรวจสถานที่เกิดเหตุ ยึดมีดของกลาง สอบปากคำพยานผู้เห็นเหตุการณ์ ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณที่เกิดเหตุ ให้ผู้เห็นเหตุการณ์ชี้ภาพยืนยันตัวผู้ก่อเหตุ นำร่างผู้เสียชีวิตส่งชันสูตร รพ.ตำรวจ ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายผู้ต้องหา ตรวจปัสสาวะหาสารเสพติดในร่างกายผู้ต้องหา โดยได้กำชับให้ดำเนินคดีอย่างเป็นธรรม รอบคอบ พร้อมประสานสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เพื่ออำนวยความสะดวกในการประสานญาติ และจัดการศพด้วย” ผบช.ภ.2 กล่าว

พิชัย ยกทีมพาณิชย์ พบปะ สภาอุตฯ ให้คำมั่น สนับสนุนเต็มที่-ทำงานใกล้ชิด ตั้งเป้าเดินหน้า FTA สร้างแต้มต่อภาคอุตสาหกรรมไทยทำรายได้จากการส่งออกยั่งยืน

วันที่ (30 ธ.ค. 67) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังนำคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์ ประกอบด้วย นายวุฒิไกร ลีวีระพันธ์ุ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และอธิบดีทุกกรมในสังกัด ร่วมหารือกับนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และคณะผู้บริหารสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่า ท่านนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ให้ความสำคัญกับภาคเอกชนที่จะเป็นกลไปสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างยั่งยืน และให้ภาครัฐทำงานร่วมกันกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด การได้หารือเพื่อวางแผนการทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงพาณิชย์และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จึงช่วยให้เห็นภาพตรงกัน เห็นเป้าหมายที่จะร่วมกันผลักดันนโยบายเศรษฐกิจให้ตอบโจทย์การเติบโตของประเทศเพื่อคนไทยทุกคนไปพร้อมกัน 

นายพิชัย ระบุว่า ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ ตนได้ปรับบทบาทการทำงานในยุคใหม่ มุ่งเน้นการบริหารงานในสัดส่วน 80:20 ซึ่ง 80% จะเน้นการทำงานส่งเสริมและทำงานร่วมกับภาคเอกชนเป็นสำคัญ เพื่อให้ผู้ประกอบการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งจะเป็นผลดีต่อระบบเศรษฐกิจในภาพรวมต่อไป 

เน้นให้ความสำคัญกับการเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) โดยเฉพาะความสำเร็จของ FTA กับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป หรือ เอฟตา ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกด้วย 4 ประเทศ คือ สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์และ ลิกเตนสไตน์ ที่จะมีการลงนามในเร็ววันนี้  ถือเป็น FTA ฉบับแรกที่ไทยทำกับยุโรป โดยตั้งเป้าจะเร่งเจรจา FTA อื่นๆ ต่อไป เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทย รวมถึงการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ช่วยสร้างรายได้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งภาคเอกชนขานรับเป็นอย่างดี และเสนอให้เจรจา FTA กับประเทศอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง สร้างแต้มต่อให้ภาคอุตสาหกรรมไทยทำรายได้จากการส่งออกเติบโตอย่างยั่งยืน

กระทรวงพาณิชย์ยินดีสนับสนุนการจัดงานใหญ่ประจำปี “FTI EXPO 2025” โดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ภายใต้แนวคิด “EMPOWERING THAI INDUSTRY, ELEVATING THAILAND’S FUTURE” งานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-15 กุมภาพันธ์ 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน บ่มเพาะผู้ประกอบการและส่งผลกับเครื่องยนต์สำคัญทางเศรษฐกิจอย่างการส่งออกที่ยังคงเป็นพระเอกช่วยกระตุ้น GDP ของประเทศ

ทั้งนี้คาดการณ์ว่าในปี 2568 การส่งออกจะยังคงเป็นตัวแปรสำคัญในการกระตุ้น GDP ของประเทศ ที่ผ่านมาในปีนี้ 11 เดือนแรก (ม.ค.-พ.ย.) การส่งออกเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 5.1% มีมูลค่า 275,763.6 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินบาท มูลค่า 9,695,455 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าภายในสิ้นปี 2567 ยอดส่งออกจะทะลุ 10 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ และตั้งเป้าการส่งออกเติบโตในปีหน้าที่ 2-3% แม้จะมีความเสี่ยงรอบด้าน แต่ด้วยความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างกระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชน อย่างสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รัฐบาลเชื่อมั่นว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายได้ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ขอยืนยันถึงความพร้อมในการสนับสนุนภาคธุรกิจและภาคเอกชน และในภารกิจสำคัญ เช่น การสร้างสมดุลราคาสินค้า การดูแลราคาสินค้าเกษตร การควบคุมสินค้านำเข้าให้ได้มาตรฐาน นอมินี การเพิ่มมูลค่าให้สินค้าด้วยนวัตกรรม การเจรจาลดภาษีผ่าน FTA และการผลักดันการส่งออกสินค้าและบริการของไทย

ซึ่งทางนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ชื่นชมการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ ขอบคุณการทำงานที่เข้าใจปัญหาและสามารถผลักดันนโยบายได้อย่างตรงจุด โดยเฉพาะยินดีต่อความสำเร็จในการเจรจาเอฟทีเอ ไทย-เอฟตาซึ่งตลอดการเจรจา สภาอุตฯ ได้ให้ข้อมูลประกอบการเจรจาอย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำถึงประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อนำไปสู่การเจรจาที่สัมฤทธิผล ก่อให้เกิดแต้มต่อที่เป็นประโยชน์ในทางการค้า การลงทุน และภาคอุตสาหกรรม ซึ่งสภาอุตฯ พร้อมให้การสนับสนุนและส่งเสริมสมาชิกกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากความตกลงเขตการค้าเสรีได้อย่างเต็มประสิทธิภาพต่อไป นอกจากนั้น ประธานสภาอุตฯ ยังชื่นชมโครงการสำคัญของกระทรวงฯ เช่น SMEs Pro-active และ GI รวมถึงความพยายามของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าในการเปลี่ยนเป็นองค์กรดิจิทัล 100% ด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top