Tuesday, 20 May 2025
ค้นหา พบ 48202 ที่เกี่ยวข้อง

สื่อเผยรถยนต์ราคาถูกสหรัฐฯ ส่อวิกฤต คนอเมริกันต้องซื้อรถแพงขึ้นเพราะกำแพงภาษี

(30 ธ.ค. 67) เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัลรายงานว่าการหาซื้อรถยนต์ราคาเอื้อมถึงในสหรัฐฯ กลายเป็นเรื่องท้าทายของชาวอเมริกันจำนวนมากที่มีงบประมาณจำกัด เนื่องจากการจัดเก็บภาษีนำเข้ายานยนต์ที่ผลิตในเม็กซิโกในอัตราใหม่อาจเป็นการซ้ำเติมปัญหาให้เลวร้ายกว่าเดิม

เอ็ดมันด์ส (Edmunds) เว็บไซต์ซื้อขายรถยนต์ วิเคราะห์ว่าเกือบหนึ่งในสามของยานยนต์ทั้งหมดที่มีราคาต่ำกว่า 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.02 ล้านบาท) และจำหน่ายในสหรัฐฯ นั้นผลิตในเม็กซิโก เช่น นิสสัน เซนตรา (Nissan Sentra) ฟอร์ด เมเวอริกค์ (Ford Maverick) และรถยนต์ยอดนิยมรุ่นอื่นๆ

ทั้งนี้ เม็กซิโกถือเป็นผู้ผลิตยานยนต์ราคาเอื้อมถึงได้ที่จำหน่ายในสหรัฐฯ ราวหนึ่งในห้าเมื่อสิบปีที่แล้ว

รายงานเสริมว่าเม็กซิโกเป็นจุดหมายที่บรรดาผู้ผลิตยานยนต์นึกถึง หากต้องการควบคุมต้นทุนการผลิตยานยนต์ โดยเฉพาะรถยนต์รุ่นเล็กที่จำหน่ายในราคาต่ำกว่าและทำกำไรน้อยกว่ารถยนต์รุ่นใหญ่กว่าอย่างรถบรรทุกและรถเอสยูวี (SUV) ขนาดใหญ่

ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนพฤศจิกายน โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขู่ว่าจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ข้างต้นด้วยการกำหนดจัดเก็บภาษีนำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาราวร้อยละ 25 ซึ่งอาจหมายถึงการล้มเลิกข้อตกลงการค้าเสรีที่เขาเคยเจรจาตอนดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ สมัยแรก

เหล่านักวิเคราะห์และตัวแทนจำหน่ายยานยนต์มองว่าต้นทุนที่เกี่ยวพันกับการจัดเก็บภาษีนำเข้าอัตราใหม่จะถูกโยนสู่ผู้บริโภคในระยะเวลาอันใกล้และส่งผลกระทบต่อรถยนต์ราคาเอื้อมถึงได้และรถยนต์เอสยูวีอย่างหนักที่สุด ขณะรถยนต์ราคาต่ำบางรุ่นและชิ้นส่วนรถยนต์ที่ผลิตในเม็กซิโกและแคนาดายังจะถูกคิดภาษีนำเข้าใหม่ ซึ่งกลายเป็นการเพิ่มต้นทุนของผู้ผลิตและผู้บริโภค

‘วลาดิเมียร์ ปูติน’ ผู้นำรัสเซียที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดของโลก

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน วัย 72 ปี คือผู้นำรัสเซียที่ครองตำแหน่งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ 200 ปีของรัสเซีย ภายหลังจากชนะการเลือกตั้ง เมื่อเดือนมิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา นั่นจะทำให้ปูตินดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่ 5 และจะอยู่ในตำแหน่งต่อไปอีก 6 ปี 

ปูติน ชนะการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ด้วยคะแนนมากเป็นประวัติการณ์ถึง 87% สูงกว่าชัยชนะครั้งก่อน ซึ่งได้คะแนนเสียง76.7% โดยได้ประกาศในสุนทรพจน์ว่า ชัยชนะของเขาจะทำให้รัสเซียรุ่งโรจน์ “แข็งแกร่ง และมีประสิทธิภาพ” มากขึ้น

และแน่นอนว่า ชัยชนะของปูติน ที่จะทำให้เขาอยู่ในตำแหน่งยาวนานต่อไปอีกอย่างน้อย 6 ปีนั้น สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นผู้ทรงอิทธิพลสูงที่สุดในบรรดาผู้นำของโลกในปัจจุบัน และสามารถกุมอำนาจการบริหารประเทศไว้อย่างเบ็ดเสร็จ 

ไม่เพียงแต่เป็นผู้นำรัสเซียเท่านั้น แต่ปูติน ยังเป็นหนึ่งในผู้นำที่ร่วมก่อตั้งกลุ่ม BRICS ซึ่งเป็นอักษรย่อใช้เรียกกลุ่มประเทศที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ประกอบด้วย บราซิล (Brazil) รัสเซีย (Russia) อินเดีย (India) จีน (China) และแอฟริกาใต้ (South Africa) ซึ่งกำลังท้าทายมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่มีผู้นำอย่างสหรัฐ อเมริกา โดยตรง 

สำหรับ วลาดิเมียร์ ปูติน มีชื่อเต็ม ๆ ว่า วลาดิเมียร์ วลาดิมีโรวิช ปูติน (Vladimir Vladimirovich Putin) เกิดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ปี 1952 ปัจจุบันอายุ 72 ปี ปูติน เกิดในเลนินกราด (Leningrad) สมัยยังเป็นสหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต (Union of Soviet Socialist Republics: USSR) ก่อนที่จะแตกในปี 1991 ออกเป็นทั้งหมด 15 ประเทศ โดยปูติน ได้ขึ้นเป็นผู้นำรัสเซียครั้งแรกเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1999 ภายหลังจาก บอริส เยลต์ซิน ได้ลงจากตำแหน่งประธานาธิบดี 

นั่นคือจุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่และทรงอำนาจของปูติน ที่ยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน และยังคงยืนหยัดท้าทายมหาอำนาจอย่างสหรัฐ อเมริกา และกลุ่มชาติพันธมิตร อย่างทระนง

THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”

แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อายุน้อยที่สุดของไทย

ผลพวงการพ้นจากอำนาจอย่างกะทันหันของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ส่งผลให้ต้องเปลี่ยนตัวผู้นำรัฐบาลคนใหม่ ซึ่งนางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย บุตรสาวคนสุดท้องของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 23 และหลานอา ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 28 ได้ก้าวขึ้นมาเป็นนายกฯ จากตระกูลชินวัตรคนที่ 3 และนายกฯ หญิงคนที่ 2 ของไทย 

อีกทั้งยังครองตำแหน่งเป็นนายกฯ ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยด้วยวัยเพียง 37 ปี ในวันที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหนงนายกรัฐมนตรี คนที่ 31 เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2567 

สำหรับ นางสาวแพทองธาร เริ่มก้าวเท้าเข้ามาแตะวงการการเมืองอย่างเป็นทางการ ครั้งแรกเมื่อปลายเดือนตุลาคม 2564 ในฐานะประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย

ภายหลังรับตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม ก็ได้เดินหน้าลุยงานทันที โดยไปร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ และไอเดียใหม่ ๆ กับกลุ่ม UNISEC และกลุ่ม SpaceZap ซึ่งเป็นกลุ่มเยาวชนและผู้ที่มีความสนใจในด้านอวกาศ นอกจากนี้ยังคิดค้นนโยบาย ‘1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์’ ปลดปล่อยศักยภาพคนไทย สร้างงาน 20 ล้านตำแหน่ง ฯลฯ

และเมื่อประเทศไทยใกล้เข้าสู่ช่วงเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยก็จัดเคมเปญ ‘ครอบครัวเพื่อไทย’ ให้ว่าที่ผู้สมัคร สส. ของพรรค ได้มีส่วนร่วมในการ ‘หาสมาชิก’ เป็นฐานในการ ‘คัดคน’ ลงสมัครเลือกตั้ง ‘อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร’ จึงได้สวมหมวก ‘หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย’ อีกหนึ่งใบ โดยเปิดตัวที่จังหวัดอุดรธานี ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของคนเสื้อแดง

จากนั้น ในเวลาต่อมา พรรคเพื่อไทยได้เปิดรายชื่อ 3 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็มีชื่อนางสาวแพทองธาร ปรากฏเคียงคู่กับอีก 2 รายชื่อแคนดิเดตนายกฯ คือ เศรษฐา ทวีสิน และ ชัยเกษม นิติสิริ 

และเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2566 พรรคเพื่อไทย ได้จัดประชุมใหญ่วิสามัญ ประจำปี ครั้งที่ 1/2566 มีวาระสำคัญคือการเลือกกรรมการบริหาร (กก.บห.) ชุดใหม่ โดยในที่ประชุมมีมติโหวตให้นางสาวแพทองธาร เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อีกหนึ่งตำแหน่ง ก่อนที่จะได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในเวลาต่อมา

กว่า 4 เดือนของการทำหน้าที่ ผู้นำรัฐบาล แม้จะถูกตั้งคำถามเรื่องภาวะผู้นำ และการปฏิบัติหน้าที่อยู่เนือง ๆ แต่นางสาวแพทองธาร ยังคงได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากผลการสำรวจของโพลต่าง ๆ รวมถึงนักการเมืองในฟากฝั่งรัฐบาลที่พร้อมให้การสนับสนุนและเชื่อมั่นว่า จะแสดงความสามารถในบทบาทผู้นำได้ดียิ่งขึ้นอย่างแน่นอน 

THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”

พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค นักการเมืองที่ยึดมั่นประโยชน์ของประชาชน

หากจะเอ่ยถึงนักการเมืองที่มีผลงานโดดเด่นและเป็นรูปธรรมจับต้องได้มากที่สุด หนึ่งในนั้นต้องมีชื่อของ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน อย่างแน่นอน

โดยวัดจากผลสำรวจในแต่ละรอบไม่ว่าจะสำนักโพลใดก็ตาม พีระพันธุ์ จะมีคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงประชาชนให้การยอมรับและเห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำงานของนายพีระพันธุ์ ที่ได้เดินหน้าปฏิรูปพลังงานของประเทศไทยทั้งระบบอย่างเป็นรูปธรรม ตามแนว ตามแนวทาง “รื้อ ลด ปลด สร้าง”

โดยตลอดระยะเวลากว่า 1 ปีในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน รองนายกฯ พีระพันธุ์ ได้เสนอให้มีการตรึงราคาพลังงานก๊าซหุงต้ม ค่าไฟฟ้า เพื่อลดค่าครองชีพช่วยเหลือพี่น้องประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการร่างกฎหมายเพื่อวางกรอบในการปฏิรูปโครงสร้างพลังงานทั้งระบบ เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาและวางกรอบป้องกันสถานการณ์วิกฤตพลังงานในอนาคต โดยก่อนหน้านี้ ได้ออกประกาศให้ผู้ค้าน้ำมัน ต้องแจ้งต้นทุนนำเข้าส่งออกราคาน้ำมันให้ภาครัฐ ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี เพื่อนำไปกำหนดราคาที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย

นอกจานี้ ยังมีร่างกฎหมายเตรียมเข้าสู่สภาฯ อีกหลายฉบับ อาทิ กฎหมายด้านพลังงานฉบับใหม่ ซึ่งจะสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ไม่ใช่การอ้างอิงราคาในต่างประเทศ จะทำให้ราคาพลังงานถูกลง ทั้งน้ำมันและก๊าซหุงต้ม โดยกำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันสามารถปรับเปลี่ยนราคาได้เพียงเดือนละครั้งเท่านั้น ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการตรวจรายละเอียดจากผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านกฎหมายและพลังงาน พร้อม ๆ กับกฎหมายปลดล้อกการติดตั้งระบบไฟฟ้าโซลาร์ (Solar Rooftop) เพื่อผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ใช้งานภายในบ้าน ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอนการขออนุญาตติดตั้ง และจะช่วยให้ประชาชนไม่ต้องกังวลกับค่าไฟแพงอีกต่อไป

รวมถึง ร่างกฎหมายจัดตั้งระบบสำรองน้ำมันแห่งชาติ หรือ Strategic Petroleum Reserve (SPR) ที่จะมาดูแลปัญหาราคาน้ำมันแทนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พร้อมทั้งสร้างเสถียรภาพด้านราคาน้ำมัน รวมไปถึงก๊าซธรรมชาติด้วย โดยต่อไปการกำหนดราคาน้ำมันในประเทศจะเป็นเรื่องของภาครัฐกับผู้ประกอบกิจการค้าน้ำมัน ไม่ต้องผันผวนรายวันตามราคาขึ้นลงของตลาดโลก ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการตรวจพิจารณาและคาดว่าจะแล้วเสร็จได้ภายในปี 2567 นี้เช่นกัน 

แน่นอนว่า ความนิยมในตัวนายพีระพันธุ์ ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น เป็นบทพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนถึงการยอมรับในผลงานและความมุ่งมั่นทุ่มเททำงานอย่างหนัก และที่สำคัญไม่มีความหวั่นเกรงต่อกลุ่มทุนพลังงาน ซึ่งถือเป็นกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ในประเทศไทยแต่อย่างใด ขอเพียงนโยบายและโครงการที่จะทำนั้นเป็นการทำเพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ รวมถึงการวางโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน เพื่อความเป็นธรรมและมั่นคงอย่างยั่งยืนเท่านั้น

และถึงแม้ว่า การทำงานที่ตรงไปตรงมา เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาต ชนิดไม่เกรงใจนายทุน ได้สร้างความไม่พอใจกับกลุ่มทุนพลังงานบางกลุ่ม ถึงขั้นมีกระแสข่าวจะเขี่ยรองนายกฯ พีระพันธุ์ ออกจากตำแหน่ง แต่เจ้าตัวก็ไม่หวั่นเกรง  แต่ยังคงยึดมั่นในปนิธานทำเพื่อสิ่งที่ถูกต้องต่อไป แม้จะถูกตั้งฉายาจากสื่อมวลชนว่า “พีระพัง” แต่สิ่งที่รองนายกฯ พีระพันธุ์ ทำมาตลอดนั้น คือ พังทุกอุปสรรคและปัญหาด้านพลังงานของประเทศไทยที่หมักหมมมาอย่างยาวนานนั่นเอง

THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top