Friday, 13 June 2025
ค้นหา พบ 48773 ที่เกี่ยวข้อง

28 ตุลาคม พ.ศ. 2539 สมเด็จพระบรมราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จฯเยือนไทย ร่วมฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ในหลวง รัชกาลที่ 9

วันนี้ เมื่อ 28 ปีที่แล้ว สมเด็จพระบรมราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร และเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ พระราชสวามี เสด็จเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานพระราชอาคันตุกะ ในหลวง รัชกาลที่ 9

วันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ.2539 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ให้การถวายเลี้ยงพระกระยาหารค่ำแด่สมเด็จพระบรมราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร และเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ พระราชสวามี เสด็จเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะพระราชอาคันตุกะ ในระหว่างวันที่ 28 ตุลาคม - 1 พฤศจิกายน พ.ศ.2539 เนื่องในโอกาสปีกาญจนาภิเษก ฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ของในหลวง รัชกาลที่ 9 ซึ่งถือเป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชสมบัติเป็นระยะเวลายาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย

29 ตุลาคม ของทุกปี วันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติ ร่วมตระหนักในคุณค่ามรดกทางภูมิปัญญาของไทย

วันที่ 29 ตุลาคม ของทุกปีเป็นวัน 'ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติ' เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ที่ทรงจารึกตำราแพทย์แผนไทยให้เป็นภูมิปัญญาของชาติ

เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณและเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อม แก่ปวงชนชาวไทยนานัปการ พระราชกรณียกิจที่สําคัญในการรวบรวมองค์ความรู้ด้านการแพทย์แผนไทยมาเผยแพร่ในวงกว้าง ทําให้ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยเป็นรากฐานของชาติไทย และตามหลักฐานจารึกแผ่นศิลาว่าด้วยการปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร ครั้งรัชกาลที่ 3 จ.ศ. 1193 ตรงกับวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2374

ตามหลักฐานจารึกแผ่นศิลาว่าด้วยการปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร และได้ทอดพระเนตรเห็นพระอุโบสถ พระวิหาร พระระเบียง กุฏิเสนาสนะต่าง ๆ ชำรุดปรักหักพังมาก จึงมีพระราชศรัทธาจะปฏิสังขรณ์และขยายพื้นที่ให้มากกว่าเดิมและมีพระบรมราชโองการให้รื้อพระอุโบสถเดิม และก่อเสนาสนะสงฆ์ต่าง ๆ มีการจารึกตำราการแพทย์แผนไทยติดประดับไว้ตามศาลาราย เช่น แผนฝีดาษ ฝียอดเดียว แผนชัลลุกะ แผนลำบองราหู แผนกุมารและแม่ซื้อ อีกทั้ง มีการจัดสร้างรูปฤๅษีดัดตน ตั้งไว้ศาลาละ 4-5 รูป รวม 16 หลัง 

ซึ่งองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้ประกาศรับรองให้ศิลาจารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2554 นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ทำให้การแพทย์แผนไทยมีความเจริญ รุ่งเรือง เกิดคุณูปการแก่ประชาชนในวงกว้าง ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติและแสดงถึงความกตัญญูกตเวที กระทรวงสาธารณสุขจึงเห็นสมควรถวายพระราชสมัญญา 'พระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทย' แด่ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า และกำหนดให้วันที่ 29 ตุลาคม ของทุกปี เป็น 'วันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติ'

เจาะ Model สามองค์กรคล้ายแชร์ลูกโซ่ ? ใช้การตลาดนำ แต่ตั้งอยู่บนความว่างเปล่า

(25 ต.ค. 67) กระแสข่าวในช่วงที่ผ่านมาคงไม่มีใครสามารถหลบความมาแรงของข่าว บอส...บอส ของ The iCon Group ได้พ้น 

เพราะอานิสงส์จากคดีนี้แทรกไปในทุกวงการไม่ว่าจะเป็น วงการบันเทิง วงการการเมือง วงการสีกากี หรือแม้กระทั่งวงการสงฆ์

หัวใจของกลเกมจาก The iCon Group ไม่ใช่เรื่องที่ลึกล้ำอะไรมากนัก เพราะธุรกิจของกลุ่มนี้ล้วนทำมาหากินบน ‘อคติ 4’ อันประกอบด้วย ‘รัก โลภ โกรธ หลง’ ที่เป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์

ถ้าพูดตามตำรา MBA แล้วต้องบอกว่าธุรกิจนี้สามารถจี้ไปยัง Pain Point ของลูกค้าได้อย่างตรงจุด ไม่ว่าจะเป็นกระตุ้นความโลภ ให้ทุกคนอยากรวยไปด้วยกัน โดยใช้เทคนิคทางการตลาดต่าง ๆ หว่านล้อม

แต่สุดท้าย พอถึงเวลาอันสมควร สิ่งที่กลวงเปล่าขององค์กรก็ปรากฏตัวขึ้น บนความเสียหายมหาศาล ที่เพิ่งเห็นข่าวสารผ่านตาว่ามีผู้เสียหายไม่น้อยกว่า 8,000 คน

ดูละครแล้วย้อนดูตัว 

การตลาดนำโดยจี้ไปที่ Pain Point ในสังคมไทย สังคมโลก ‘The iCon’ เป็นแค่หนึ่งในผู้ที่ฉกฉวยเอาเทคนิคนี้มาใช้เท่านั้น 

ในวงการการเมือง พรรคสีส้ม ๆ บางพรรคก็ได้ใช้การตลาดนำ จี้ไปที่ความต้องการของผู้คน เช่น บำนาญผู้สูงอายุ 3,000 บาทต่อเดือน, รวมถึง ‘นโยบายทุ่มเงิน’ ภายใต้ชุดที่ถูกเรียกว่า ‘รัฐสวัสดิการ’ 

เพราะจากสถานการณ์ปัจจุบัน 10,000 บาทของเพื่อไทย กว่าจะสามารถทำได้ก็ต้องออกแรงเข็นกันจนเลือดตาแทบกระเด็น 

หากใช้มุมมองแบบ Bird Eyes View กว้างออกไปสุดลูกหูลูกตา ประเทศพี่ใหญ่ที่ตั้งอยู่บนทวีปอเมริกาก็คงไม่ต่างกัน 

ไม่ว่าจะเป็นภาพลวงตาที่ชื่อว่า ‘ประชาธิปไตย’ หรือ ‘สิทธิมนุษยชน’ ที่ส่งออกไปยังหลายประเทศ โดยมีบางประเทศถึงระดับ ‘รัฐล้มเหลว’ จนสุดท้ายแหล่งทรัพยากรถูกแทรกแซงโดยบริษัทต่างชาติที่ปฏิบัติการภายใต้หน้ากากทุนนิยม ไม่ใช่พวกเดียวกับ ประชาธิปไตย 

หรือแม้กระทั่งเงินดอลลาร์ที่ตนเองใช้อำนาจและบารมีบีบคั้น จนไม่ต้องผูกกับอะไรนอกจาก ‘พันธบัตร’ ที่ออกโดยรัฐบาลสหรัฐฯ

ทำให้ทุก ๆ ปีต้องมีการออกพันธบัตรใหม่เพื่อใช้หนี้พันธบัตรเก่าอยู่ไม่รู้จบ และจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามอัตราดอกเบี้ย 

ละครเรื่อง The iCon ยังไม่จบ ละครในวงการการเมืองไทย และการเมืองโลกก็ยังไม่จบเช่นกัน

โปรดติดตามโดยใจระทึกพลัน 

ครบรอบ 5 ปี เซ็นสัญญารถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เมกะโปรเจกต์เชื่อมโยงอีกหลายโครงการ ที่ถึงเวลาต้องตัดสินใจ

(25 ต.ค. 67) จังหวะเวลาช่างเหมาะเจาะเหลือเกินที่ช่วงนี้กำลังมีข่าวสารเกี่ยวกับการแก้ไขสัญญาสัมปทานรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เพราะวันนี้เมื่อ 5 ปีที่แล้ว คือ วันที่มีการลงนามในสัญญาฉบับนี้ระหว่างเอกชน กับการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) แบบพอดิบพอดี 

สำหรับปฏิกิริยาล่าสุดจากทางสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะที่กำกับดูแล รฟท. โดยตรงได้ออกมาให้สัมภาษณ์เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา(22 ต.ค. 67) ว่า

การแก้ไขสัญญา เกิดจากเอกชนและภาครัฐผิดสัญญา จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของชุดไวรัสโควิด​- 19 ทำให้โครงการเกิดความล่าช้า รัฐบาลไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ให้กับเอกชนได้ ขณะที่เอกชนก็ไม่สามารถดำเนินการได้ จึงเป็นต่างคนต่างผิดสัญญา จึงต้องพิจารณาใหม่

แม้จะตอบได้อย่างชัดเจน แต่อย่างไรก็ตามยังเกิดข้อครหาตามติดมาว่าเอื้อประโยชน์ให้เอกชนหรือไม่ 

สำหรับในประเด็นนี้นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ตอบออกมาว่า ร่างสัญญาจะถูกตรวจสอบโดยสำนักงานอัยการสูงสุดอยู่แล้ว ประเด็นนี้จึงไม่น่าเป็นห่วง 

สำหรับประเด็นร้อนประเด็นนี้ โดยเฉพาะเมื่อผ่านตา ‘ทีมคมนาคม’ ที่นำโดยสุริยะ ที่แม้ท่าทีจะเงียบ ๆ แต่ผลักดันแทบทุกโครงการจนสัมฤทธิ์ผล 

นอกจากนี้พ่อบ้านของกระทรวงคมนาคมอย่าง ‘ชยธรรม์ พรหมศร’ ปลัดกระทรวงคมนาคม ที่เติบโตจากสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ทำให้สามารถมองเห็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศได้อย่างเป็นภาพรวม 

และมีเสียงลือจากกระทรวงคมนาคมว่า ปลัดคนนี้นี่เองที่เคยทำงานอยู่ในทีมสมัยแรกที่ ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ นั่งเจ้ากระทรวง

ด้วยสรรพกำลังภายในกระทรวงที่เพียบพร้อมเช่นนี้ ข้อกล่าวหาว่าเอื้อประโยชน์เอกชนคงจะจางหายไปบ้าง

อย่างที่กล่าวไปในย่อหน้าแรก ว่าโครงการนี้ค้างคามาไม่น้อยกว่า 5 ปีแล้ว โอกาสของประเทศที่สูญเสียไปไม่ทราบเหมือนกันว่ามีเท่าไหร่กันแน่ 

และนอกจากนี้โครงการดังกล่าวยังเกี่ยวเนื่องกับอีก 2 โครงการโดยตรง!!

สำหรับโครงการแรก คือ เมืองการบินอู่ตะเภา ที่จะพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา เป็นสนามบินเชิงพาณิชย์สนามบินหลักแห่งที่ 3 ของประเทศ 

ขยายศักยภาพสนามบินหลักเดิม 2 แห่งที่ปัจจุบันรองรับเที่ยวบินจำนวนมหาศาลจนทำให้การจราจรทางอากาศติดขัดเป็นบางช่วงเวลา 

แต่ก็ต้องยอมรับว่าจุดหมายปลายทางหลักคงไม่ใช่อู่ตะเภาเท่านั้นเพราะ ‘กรุงเทพ’ เมืองฟ้ายังเป็นจุดหมายปลายทางหลัก

ดังนั้นการทำให้การเดินทางเชื่อมต่อกันโดยง่ายจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ‘รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน’ คือคำตอบเดียว 

หากไฮสปีดสามสนามบินล่าช้าออกไปอีก คงทำให้อีกโครงการล่าช้าต่อเนื่องไปด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้ 

สำหรับโครงการที่ 2 จะออกนอกพื้นที่ EEC คือโครงการที่มีชื่อว่า ‘รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา’

สำหรับเหตุผลว่าเรื่องนี้ทำไมล่าช้า เพราะในช่วงทับซ้อนของโครงการดังกล่าวคือช่วงบางซื่อ-สนามบินดอนเมือง ทั้งสองโครงการจะใช้ระบบรางเดียวกัน โดยผู้ที่ดำเนินการก่อสร้างคือเจ้าของโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน

ดังนั้น หากยังไม่สามารถปลดล็อกการพัฒนาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินไปได้ นอกจากการก่อสร้างบางช่วงที่ติดปัญหาของรถไฟไทย-จีน แล้ว จะมาติดล็อกของโครงการรถไฟ 3 สนามบินอีกด้วย 

และยังไม่รวมถึงโครงการหลักอย่าง EEC หรือ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ที่เสน่ห์เย้ายวนจะหายไปเพียงใด หากการพัฒนารถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินสะดุด 

ด้วยเหตุผลทั้งหมดที่ผ่านมาจึงไม่แปลกใจนักหากรัฐบาลพร้อมที่จะเดินหน้าแก้ไขสัญญา เพราะในบางครั้งต้องมีการยอมกลืนเลือดไปเสียบาง เพื่อรักษาผลประโยชน์โดยรวม 

และดูเหมือนว่าครั้งนี้กระทรวงคมนาคมจะเดินหน้าเต็มกำลัง เพราะหลังจากกลับมารับตำแหน่งใน ครม. ชุดแพทองธาร ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ ก็จัดการยึดอำนาจกำกับ รฟท. มาไว้ที่ตนเอง พร้อมกับที่ชื่อ ‘วีริศ อัมระปาล’ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย 

ทั้งหมดย่อมหนีไม่พ้นการแสดงออกว่าราชรถ 1 อย่างสุริยะ ‘เอาจริง’ กับการพัฒนาระบบรางของประเทศไทยอย่างแน่นอน

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม 2567 : ‘ทำไม? ต้องเวียนว่ายตายเกิด’

จากช่องติ๊กต็อก @dhamma_tv ได้เผยแพร่คำสอนเรื่อง ‘ทำไม? ต้องเวียนว่ายตายเกิด’ จากรายการ ‘ธรรมะทำไม’ โดย ‘พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์ (หลวงพ่อโกวิท)’ รองเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา เจ้าอาวาสวัดด่านใน

คำถาม : ไม่ได้ใส่บาตรด้วยอาหารหวานคาว แต่ทำบุญด้วยปัจจัยวันละ 20 บาท จะได้บุญหรือไม่

พระครูศรีปริยัติวิสุทธิ์  (หลวงพ่อโกวิท) : ได้บุญอยู่แล้ว เพราะว่าจิตที่ตั้งใจถวายนั้น มาจากจิตที่ดี จิตที่เอื้อเฟื้อเห็นประโยชน์ อย่าไปยึดติดตรงจํานวนให้ถือเอาเจตนาความตั้งใจว่า เพื่อความอนุเคราะห์พระภิกษุ สามเณร

เรื่องนี้ก็มีการถกกันในวงกว้างพอสมควรในเรื่องถวายปัจจัยพระใส่บาตรพระ ว่าเป็นบาปหรือไม่ บางท่านก็บอกว่าเป็นบาป บางท่านก็บอกว่าไม่เป็น ซึ่งเรื่องนี้ก็คงจะต้องถกกันไปอีกนาน แต่อยากให้สังคมรับทราบว่า ผู้ที่มาบวชพระเพื่อศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมนั้น ไม่ได้มาจากครอบครัวร่ำรวย แต่มาจากคนชั้นกลางกับคนจน และหลาย ๆ ที่จบการศึกษาในระดับสูง ๆ นั้น ก็ล้วนแต่มาจากพระผู้น้อย-เณรผู้น้อยทั้งนั้น แล้วที่อยู่ได้ก็เพราะโยมใส่บาตร 10 บาท 20 บาท นั่นเอง

และท่านก็ไม่ได้รับมาเพื่อสร้างความร่ำรวย และท่านก็ไม่ได้บวช เพื่อจะบรรลุพระอรหันต์วันนี้พรุ่งนี้ แต่ท่านก็ปฏิบัติธรรมปฏิบัติ รักษาพระวินัย ตามคําสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งท่านก็ได้นำปัจจัยนั้นไปใช้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นค่าพาหนะ ยารักษาโรคยามเจ็บป่วยเป็นต้น

ฉะนั้น ท่านผู้ฟังทั้งหลายที่มีความเป็นกลางขอให้เข้าใจในบริบทของสังคมว่าเราอยู่กันได้เป็นสังคมเป็นปึกแผ่นมาจากความอุปถัมภ์ของอุบาสกอุบาสิกา ญาติโยมถวายเท่านี้ ก็ถือเป็นบุญของโยมและเป็นสิ่งที่ดีแล้ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top