Monday, 19 May 2025
ค้นหา พบ 48202 ที่เกี่ยวข้อง

‘ดนุพร’ ฟาด ‘พิธา’ มุมมองไม่ลึก-ข้อมูลไม่ครบ  ทำให้ปชช.เข้าใจผิด ยืนยันไทยพร้อม เป็นศูนย์กลาง การบินของภูมิภาค

(3 มี.ค.67) นายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่ากรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อและประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ระบุว่านายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประกาศศักยภาพของประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาคว่าเป็นเรื่องดี แต่ต้องคิดว่าทำเพื่อใคร ถ้าทำให้แค่นายทุน ชาวต่างชาติ มีคนมาลงทุนมากมาย แต่ไม่เคยไหลลงมาสู่แรงงานไทยว่า ถือเป็นคำวิจารณ์แบบผิวเผิน ด้วยมุมมองที่ไม่ลึกพอที่จะเข้าใจถึงแก่นแท้ของวิสัยทัศน์ และไม่ได้มองในมิติภาพใหญ่ที่เชื่อมโยงกัน 

นายดนุพร กล่าวว่า รัฐบาลที่นำโดยนายเศรษฐา รวมถึงพรรคเพื่อไทยไม่มีนโยบายกีดกันการลงทุน ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่รัฐบาลกำลังดำเนินการ คือการอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ ขจัดอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจให้กับภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ การทำงานอย่างมีเป้าหมาย ตั้งเป้าที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค การเดินทางที่จะขนทั้งคน ทั้งของและการบริการ คือการสร้างรายได้ให้กับธุรกิจต่อเนื่อง เช่น ท่าอากาศยานนานาชาติอันดามัน หรือสนามบินอันดามันที่ จ.พังงา จะรองรับผู้โดยสารสูงสุดที่ 40 ล้านคนต่อปี จำนวนผู้โดยสารที่มี หมายถึงเม็ดเงินที่ไหลเข้าสู่พื้นที่ ประชาชนขายของได้ โรงงานต้องผลิตเพิ่ม แรงงานมีงานทำ ภาพรวมทั้งระบบเติบโตสอดคล้องกัน

นายดนุพร กล่าวอีกว่า ส่วนที่นายพิธา กล่าวถึงการให้สิทธิประชาชนเช่าที่ราชพัสดุ 3 ปีแล้วจะเรียกคืน โดยกล่าวว่า รัฐบาลให้สิทธิในการเช่าแค่ 3 ปี อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นกรรมสิทธิ์ ผมจะทำร้านก๋วยเตี๋ยว ทาสียังไม่แห้ง เขาจะเอาคืนก็ได้ ความมั่นคงในชีวิตมันไม่มีนั้น เป็นการฉวยโอกาสทางการเมืองให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน จนอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดได้ ที่ผ่านมาการจัดสรรที่ดินทำกินในกลุ่มพื้นที่ราชพัสดุ เช่น หนองวัวซอโมเดล เป็นการมอบสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุ ไม่ใช่กรรมสิทธิ์ตามที่นายพิธากล่าวอ้าง สำหรับที่ราชพัสดุหนองวัวซอ เป็นระบบสิทธิการเช่า 3 ปี ประชาชนที่เช่าอยู่เดิม ต่อสัญญาได้ตลอดและต่อเนื่อง หากจะเช่าเกิน 3 ปีก็ทำได้ แต่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิการเช่าจำนวนมาก การต่อสัญญา 3 ปีครั้งเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกับประชาชน 

“รัฐบาลนายเศรษฐาเพิ่งลงพื้นที่มอบสัญญาเช่าที่ดินในโครงการหนองวัวซอโมเดลไปเมื่อวันที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมา และรัฐบาลจะเดินหน้าเพิ่มที่ดินทำกินให้ประชาชนต่อเนื่องในหลายวิธีการ ซึ่งหนองวัวซอโมเดลรัฐบาลทำมาระยะหนึ่งแล้ว และนายกฯ ก็มีความตั้งใจในเรื่องนี้มาก ขอตำหนินายพิธาหากต้องการทำการเมืองใหม่อย่างสร้างสรรค์อย่างที่ก้าวไกลอยากเป็น ควรเริ่มที่การให้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนกับประชาชน”  นายดนุพร กล่าว

'อ.พงษ์ภาณุ' ชี้!! 3 ตัวแปร ที่ทำให้ 'แบงก์ชาติ' ยังไม่ยอมลดดอกเบี้ย 'เข้าใจบทบาทตนเองผิด-เกรงใจสถาบันการเงิน-กฎหมายล้าหลัง'

(3 มี.ค.67) อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ได้กล่าวถึงประเด็นที่แบงก์ชาติยังไม่ลดดอกเบี้ย ไว้ว่า...

หลายท่านคงสงสัยว่าทำไมแบงก์ชาติจึงดื้อรั้นไม่ยอมลดดอกเบี้ย ทั้ง ๆ ที่ประเทศไทยมีเงินฝืด (Deflation) ติดต่อกันมา 5 เดือน และเศรษฐกิจไทยอาจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) ในไม่ช้า 

ประเด็นนี้ได้ลุกลามใหญ่โตเป็นวิวาทะทางการเมืองระดับชาติระหว่างรัฐบาล ซึ่งรับผิดชอบนโยบายการคลัง กับธนาคารแห่งประเทศไทยและลิ่วล้อที่ทำหน้าที่เป็นองครักษ์พิทักษ์แบงก์ชาติ 

วิวาทะหรือความขัดแย้งเช่นนี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติเลย และน่าจะมีข้อยุติได้หากเราเข้าใจธรรมชาติของธนาคารกลางและบทบาทที่ควรจะเป็น

ในโลกปัจจุบัน เป็นที่ยอมรับว่าธนาคารกลางมีหน้าที่หลักในการรักษาเสถียรภาพของระดับราคา (Price Stability) แต่บางทีรัฐบาลบางประเทศก็มอบหน้าที่รองให้ ซึ่งรวมถึง การรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงของสถาบันการเงิน การสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ การรักษาระดับการจ้างงาน เป็นต้น

ประเทศที่พัฒนาแล้วยึดถือเป็นหลักการว่าธนาคารกลางต้องมีความเป็นอิสระในการดำเนินนโยบายการเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพของระดับราคา ซึ่งส่วนใหญ่ก็ยึดหลัก Inflation Targeting ซึ่งมีความเป็นอิสระในเชิงเครื่องมือ (Instrumental Independence) แต่ต้องอยู่ในกรอบอัตราเงินเฟ้อที่ตกลงกับรัฐบาล หากเงินเฟ้อจริงเบี่ยงเบนไปจากกรอบนี้ ต้องถือว่าความเป็นอิสระนั้นจบลง

ส่วนบทบาทอื่น โดยเฉพาะการกำกับดูแลและพัฒนาสถาบันการเงินนั้น หลายประเทศ ทั้งสหรัฐอเมริกา, ยุโรป และญี่ปุ่น มีหน่วยงานเฉพาะรับผิดชอบ และอยู่นอกบทบาทหลักตามกฎหมายของธนาคารกลาง 

ดังนั้นความเป็นอิสระของธนาคารกลาง จึงจำกัดอยู่ที่การดำเนินนโยบายการเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพของราคา การแบ่งแยกอำนาจหน้าที่ดังกล่าวได้ช่วยหลีกเลี่ยงความขัดแย้งเชิงผลประโยชน์ (Conflict of Interest) และป้องกันความขัดแย้งกับนโยบายการคลังได้เป็นอย่างดี

ฉะนั้น จึงสามารถตอบคำถามว่าทำไมแบงก์ชาติไม่ลดดอกเบี้ยได้ด้วยเหตุผล 3 ประการ...

ประการแรก แบงก์ชาติกลัวหนี้ครัวเรือนสูงขึ้นจนเป็นฟองสบู่ ในหลายประเทศการแก้ไขปัญหาหนี้ไม่ใช่เป็นหน้าที่ธนาคารกลาง แต่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลและหน่วยงานกำกับดูแลสถาบันการเงิน

ประการที่สอง การที่แบงก์ชาติทำหน้าที่กำกับดูแลสถาบันการเงิน ทำให้เกิดความสนิทสนมในฐานะผู้กำกับและผู้ถูกกำกับ ความสนิทสนมดังกล่าวนานเข้าจะนำไปสู่ความเกรงใจเจ้าของและผู้บริหารของสถาบันการเงินนั้น ๆ แน่นอนการลดดอกเบี้ยนโยบายย่อมนำไปสู่การลดดอกเบี้ยแบงก์ ซึ่งจะทำให้แบงก์มีกำไรลดลง

ประการสุดท้าย กฏหมายธนาคารแห่งประเทศไทย แก้ไขครั้งสุดท้ายกว่า 20 ปีมาแล้วภายหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง จึงได้มีการนำเป้าหมายทางการเงินหลายอย่างมากระจุกรวมไว้ในบทบาทหน้าที่ของแบงก์ชาติ ดังนั้น การใช้เครื่องมือนโยบายการเงินที่มีอยู่จำกัดไปรับใช้เป้าหมายหลาย ๆ เป้าหมาย ย่อมทำให้งานหลักของธนาคารกลางขาดประสิทธิภาพ และนำมาซึ่งความขัดแย้งเชิงผลประโยชน์ดังกล่าว

ขอเรียกร้องให้รัฐบาลแก้กฎหมายธนาคารแห่งประเทศไทยอย่างรีบด่วน โดยลดบทบาทของแบงก์ชาติ และให้มุ่งเน้นในเรื่องนโยบายการเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาเพียงเรื่องเดียว จนกว่าจะแก้กฎหมายเสร็จในระหว่างนี้ก็ขอให้แบงก์ชาติและลิ่วล้อยุติการเรียกร้องความเป็นอิสระ และหยุดการโยนความผิดของตนไปให้ผู้อื่น รวมทั้งหยุดวิวาทะที่บั่นทอนความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจไทย

‘เจอโรนิโม’ วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของชาวอินเดียแดง  ผู้ยอมมอบตัว เพื่อปกป้องรักษา ชีวิตของคนทั้งเผ่า 

(3 มี.ค. 67) รองศาสตราจารย์ ดร. สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ ชีวประวัติ ของ เจอโรนิโม วีรบุรุษผู้ยอมอดกลั้นทุกอย่าง เพื่อรักษาชีวิตของคนทั้งเผ่า โดยระบุว่า ...

การตัดสินใจ "ไม่ทำสงคราม" มีความสำคัญพอๆหรือสำคัญยิ่งกว่าการตัดสินใจ "ทำสงคราม" ด้วยซ้ำ สิ่งนี้สะท้อนวุฒิภาวะของผู้นำ ที่การตัดสินใจของเขามีอนาคตของเผ่าพันธุ์หรือประเทศของตนเป็นเดิมพัน ในมุมมองของผู้นำทัพสูงสุด สงครามมีแค่สองประเภทเท่านั้น คือ "สงครามที่ไม่ทำสงคราม" กับ "สงครามที่ทำสงคราม"

เครซี่ ฮอร์ส (1840-1877) รู้จักแต่สงครามประเภทหลังเท่านั้น ชีวิตของเขาจึงต้องจบสิ้นตั้งแต่วัยฉกรรจ์

กษัตริย์พม่าพระองค์สุดท้ายก็ทรงรู้จักแต่สงครามประเภทหลังเท่านั้น จึงต้องเสียท่าแก่จักรวรรดินิยมอังกฤษ และทำให้สถาบันกษัตริย์ถึงแก่การล่มสลายในพม่าไปตลอดกาล

ขณะที่กษัตริย์ไทยในราชวงศ์จักรีทรงมีพระปรีชาญาณและวิสัยทัศน์ที่มองการณ์ไกล จึงทรงรู้จักสงครามทั้งสองประเภท คือ "สงครามที่ไม่ทำสงคราม" กับ "สงครามที่ทำสงคราม" ทำให้สามารถนำพาบ้านเมืองรอดจากปากเหยี่ยวปากกามาได้ไม่ต้องตกเป็นเมืองขึ้น ... เกาะกูดยังเป็นของไทยก็เพราะเหตุนี้ด้วย

เกริ่นมาเสียยืดยาว ก็เพื่อที่จะแนะนำให้ผู้อ่านได้รู้จักเรื่องราวของ "เจอโรนิโม" หนึ่งในสี่ของนักรบชาวพื้นเมืองอเมริกาผู้ยิ่งใหญ่ และสงครามทั้งสองประเภทของเขา 
ในปี ค.ศ. 1858 เจอโรนิโม (1829-1909) ผู้เป็นนักรบอาปาเช่เพิ่งเดินทางกลับจากการไปแลกเปลี่ยนสินค้าที่เม็กซิโก เขาพบว่าแม่ เมีย และลูกทั้งสามคนของเขาถูกพวกทหารสเปนชาวผิวขาวจากเม็กซิโกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม ป่าเถื่อน 

คนขาวเหล่านั้นกระทำกับผู้หญิง คนแก่และเด็กราวกับสัตว์ป่ากระหายเลือด หลังจากนั้นมา เจอโรนิโมได้สาบานกับตัวเองว่าเขาจะฆ่าคนขาวให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และมันก็เป็นจริงตามนั้น

หลังจากนั้นเจอโรนิโมจะใช้ทุกโอกาสที่มีเข้าโจมตีและฆ่าทหารของกองทัพของเม็กซิโก เจอโรนิโมโดนทหารเม็กซิกันจับได้หลายครั้ง แต่เขาก็ใช้ความสามารถเฉพาะตัวหลบหนีออกมาได้ทุกครั้ง และกลับไปล้างแค้นต่อ จนคนขาวเข็ดขยาดในความเก่งกาจและโหดเหี้ยมของนักรบอาปาเช่

อาปาเช่เป็นภาษาของเผ่าชิริคาฮัว ... "อาปาเช่" มีความหมายว่า "คนปากกว้าง" 
เจอโรนิโมเป็นวีรุบุรุษผู้กล้าหาญและหัวหน้าเผ่าชิริคาฮัว อาปาเช่ ในศตวรรษที่ 19 ที่กล้าเปิดสงครามต่อสู้กับทหารอเมริกันและทหารเม็กซิโกที่พยายามขยายดินแดนล่วงล้ำเข้าไปยังดินแดนของอาปาเช่ จนรู้จักกันในชื่อของ "สงครามอาปาเช่" 

เจอโรนิโม (Geronimo) หรือโกยาทเล เกิดเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 1829 ในเผ่าอาปาเช่ (Apache) สาขาเบดอนโคเฮ (Bedonkohe) ในดินแดนที่เป็นรัฐนิวเม็กซิโกในปัจจุบันนี้ 
ในเวลานั้น สหรัฐอเมริกากำลังทำสงครามกับเม็กซิโกเพื่อขยายดินแดนไปทางตะวันตก และพยายามขับไล่กวาดล้างชาวพื้นเมืองอเมริกา (อินเดียนแดง) ออกไปจากพื้นที่ดังกล่าว ทำให้ชาวพื้นเมืองบางส่วนต้องลุกขึ้นต่อสู้เพื่อปกป้องดินแดนของตนจากผู้รุกราน โดยการดักปล้นเสบียงและอาวุธจากฝ่ายอเมริกา

จุดเริ่มต้นที่ทำให้เจอโรนิโม (โกยาทเล) กลายมาเป็นนักรบนั้นเกิดขึ้นในปี 1858 ตอนเขาอายุ 29 ปี ขณะที่เขาและผู้ชายชาวอาปาเช่บางส่วนได้เดินทางไปทำการค้าขายในเมืองอยู่นั้น ปรากฏว่ามีกองทหารเม็กซิโกเข้าโจมตีค่ายของอาปาเช่และสังหารคนในค่ายจนหมด ถึงรวมถึงแม่ ภรรยาและลูก ๆ ของเจอโรนิโมด้วย จึงทำให้ชาวเผ่าอาปาเช่สาขาต่าง ๆ ได้แก่ เบดอนโคเฮ โชโกเนน (Chokonen) และเน็ดนี (Nedni) ประกาศร่วมมือกันเพื่อทำสงครามตอบโต้เม็กซิโกตั้งแต่ปี 1859 เป็นต้นมา 

ซึ่งเจอโรนิโมก็ได้เป็นหนึ่งในผู้นำของชาวอาปาเช่ในการเข้าโจมตีและปล้นสะดมชาวเม็กซิโกอย่างต่อเนื่องโดยที่รัฐบาลเม็กซิโกไม่สามารถจับกุมตัวได้ และในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นเอง พวกชาวเม็กซิโกก็ตั้งฉายาของโกยาทเลว่า “เจอโรนีโม” ซึ่งกล่าวกันว่าเกิดจากคำอุทานของทหารเม็กซิกันที่มักจะขอความกรุณาจากเซนต์เจโรม (Jerome) นั่นเอง

เจอโรนิโม คือชายผู้ไม่ยอมแพ้แก่อเมริกันชนผู้มาปล้นชิงแผ่นดินเกิด โดยอินเดียแดงบางเผ่าถึงกับถูกคนขาวฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จนไม่เหลือใครสักคนเดียว

ในช่วงปลายสงคราม เหลือชาวอินเดียนแดงอยู่แค่ไม่กี่เผ่าเท่านั้น พวกเขายังคงใช้ชีวิตต่อสู้กับชาวยุโรปตลอดมา และหนึ่งจำนวนนั้นคือ เจอโรนิโม หัวหน้าเผ่าอาปาเช่ ชายที่ใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตในการปกป้องผืนแผ่นดินบ้านเกิด 

เจอโรนิโมเป็นชาวอินเดียนแดงที่สหรัฐและเม็กซิโกต้องการจับตัวมากที่สุด ต้องการขนาดยอมร่วมมือกันเพื่อออกตามล่าตัวเจอโรนิโมอย่างเร่งด่วน เพราะเจอโรนิโมเป็น 1 ในแกนนำของ 3 ชนเผ่าอย่างที่ได้รวมตัวกัน เพื่อต่อสู้ทำสงครามอาปาเช่กับสหรัฐและเม็กซิโกอย่างถึงที่สุด 

สงครามอาปาเช่นี้เริ่มต้นในปี 1859 จนถึงปี 1862 มีแกนนำหลายคนเสียชีวิตและถูกจับกุมตัว แต่มีเพียง เจอโรนิโมเท่านั้นที่ยังคงหยัดยืนเป็นแกนนำหลักของทั้ง 3 เผ่าทำสงครามอาปาเช่อย่างไม่หยุดหย่อน จนกลางปี 1862 สหรัฐและเม็กซิโกได้เสนอการทำสนธิสัญญาสันติภาพเพื่อขอสงบศึกกับทั้ง 3 เผ่าอินเดียนแดง 

หัวหน้าเผ่าทุกคนยอมรับข้อเสนอดังกล่าว แต่ทั้งนี้มีข้อแม้ว่าหัวหัวหน้าเผ่าโชโกเนนจะไม่เดินทางไปทำสนธิสัญญาด้วย จะมีเพียงหัวหน้าเผ่าของเบคอนโคเฮกับหัวหน้าเผ่าเน็ดนีเดินทางไปเท่านั้น

ตัวแทนจากทั้ง 2 เผ่าออกเดินทางไปทำสนธิสัญญา และก็เป็นไปตามคาดคณะของหัวหน้าเผ่าทั้งสองที่ยกไปทำสนธิสัญญาสงบศึกได้ถูกลอบสังหารจนหมดสิ้น
จากนั้นยังกองทหารสหรัฐ-เม็กซิโกยังยกทัพไปกวาดล้างชนเผ่าอาปาเช่ต่อ
ครั้นพอทราบข่าวหัวหน้าเผ่าโชโกเนน เขาจึงฝากฝังเจอโรนิโมให้พาเด็กและสตรีหลบหนีไปก่อน ส่วนเขาได้ยกพวกเข้าต่อสู้กับทหารอเมริกันจนเสียชีวิตในสนามรบ
ทำให้เจอโรนิโมกลายเป็นหัวหน้าเผ่าของอาปาเช่เพียงคนเดียวที่เหลือรอดอยู่ในปี 1862 ตอนนั้นเจอโรนิโมอายุ 33 ปี

ภารกิจหนึ่งเดียวที่เหลือหลังจากนั้นของเจอโรนิโมในฐานะผู้นำสูงสุดของเผ่าอาปาเช่ คือต้องดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อปกป้องชนเผ่าที่เหลือให้อยู่รอดให้จงได้ 
เจอโรนีโมต้องพาคนในเผ่าของเขาการอพยพย้ายที่อยู่บ่อยครั้ง เพื่อหนีการตามไล่ล่าของพวกทหารผิวขาว

เจอโรนีโมได้พยายามปกป้องชาวอาปาเช่ที่ยังหลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดอย่างกล้าหาญ แม้จะต้องอพยพหลบหนีภัยสงครามอยู่หลายครั้ง ทำให้ฝ่ายเม็กซิโกและอเมริกาที่ต้องการจับตัวของเจอโรนีโมต้องใช้เวลาตามล่าและพบกับความสูญเสียไปไม่น้อย กว่าที่นายพลเนลสัน ไมลส์ จะนำกำลังเข้าล้อมจับชาวอาปาเช่ได้ที่สเกเลตัน แคนยอน รัฐอริโซนา เมื่อปีกันยายน ปี 1886 ขณะนั้นเจอโรนิโมอายุ 57 ปี

ถึงจะรบไม่เคยแพ้ แต่เจอโรนิโม กลับยอมมอบตัว แต่โดยดี
เจอโรนีโมจำต้องยอมให้ทหารอเมริกันจับกุมตัวเพื่อรักษาชีวิตของชาวอาปาเช่ที่เหลือทั้งหมด ... นี่คือ "สงครามที่ที่ไม่สู้สงคราม" ของเจอโรนิโม

เมื่อนายพลเนลสัน ไมลส์ ให้สัญญาลมๆ แล้งๆ ว่า จะได้กลับไปอยู่ร่วมกับครอบครัวใหม่และสมาชิกในเผ่า ซึ่งถูกบังคับให้ต้องเดินทางไกลย้ายถิ่นฐานจากเขตสงวนในรัฐอริโซนาไปที่รัฐฟลอริดา อันเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางของน้ำตาและความตาย 

แต่แล้วกองทัพสหรัฐก็กลืนน้ำลายตัวเอง ไม่ได้รักษาคำสัญญานั้น กลับจับวีรบุรุษผู้กล้าของอาปาเช่อย่างเจอโรนิโมไปขังคุกในฐานะเชลยสงคราม แถมยังขยันย้ายคุกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นว่าเจอโรนิโมแก่ตัวไร้พิษสงและเขี้ยวเล็บแล้วจึงถูกย้ายไปอยู่ที่ฟอร์ท ฮิลล์ รัฐโอคลาโฮมาเป็นแห่งสุดท้าย 

เจอโรนีโมได้ถูกนำตัวออกแสดงต่อสาธารณชนที่ต้องการชมหัวหน้าชาวอาปาเช่ผู้มีชื่อเสียงอยู่หลายครั้ง รวมถึงในปี 1905 เจอโรนีโม ยังได้เขียนบันทึกอัตชีวประวัติของตัวเขาเองเอาไว้เกี่ยวกับประวัติชีวิตและยุทธวิธีในการรบของเขา

เจโรนิโม ปล่อยให้ชีวิตผ่านไปวันๆ อย่างดีก็แค่ไปร่วมงานฉลองเล็กๆ น้อยๆ ของอินเดียนแดง ระหว่างนั้นเขาเคยปรารภหลายครั้งว่าสิ่งเดียวที่เสียใจที่สุดในชีวิตก็คือการหลงเชื่อน้ำคำของนายพลอเมริกันจนสมัครใจยอมแพ้แล้วถูกหักหลัง ทำให้ตัวเขาไม่ได้ตายในสนามรบอย่างกล้าหาญ 

สิ่งเดียวที่ปลอบประโลมใจเขาไว้ได้ คือการที่เขาสามารถรักษาชีวิตของคนในเผ่าอาปาเช่ที่เหลืออยู่น้อยนิดไม่ให้ถูกกวาดล้างจนสิ้นเผ่าพันธุ์ได้ เพราะเขาเลือกที่จะไม่ต่อสู้จนตัวตายในสนามรบเอง

และแล้ววันหนึ่งในปี 1909 ขณะขี่ม้ากลับบ้าน เจอโรนิโม ผู้ชราในวัย 80 ปีก็ถูกม้าสลัดตกต้องนอนกลางดินท่ามกลางความหนาวเย็นถึงหนึ่งคืนกว่าจะได้รับการช่วยเหลือ แต่เจอโรนิโม ก็เสียชีวิตหลังจากนั้นด้วยโรคปอดบวม หลังจากที่ต้องอยู่ในฐานะนักโทษของอเมริกาเป็นเวลากว่า 23 ปี เป็นการปิดตำนานของนักรบผู้ปกป้องพื้นแผ่นดินชาวอินเดียนแดงคนสุดท้ายแต่เพียงเท่านี้

เครซี่ ฮอร์ส เป็นนักรบอินเดียนแดงที่ยิ่งใหญ่ เพราะไร้พ่ายก็จริง
แต่เจอโรนิโม เป็นนักรบที่ยิ่งใหญ่กว่าเครซี่ ฮอร์ส อีก 
เพราะ เขา ‘ปกป้องชีวิต’ และ ‘รักษาชีวิต’ ของเผ่าพันธุ์เอาไว้ได้ ด้วยการทำ ‘สงครามที่ไม่สู้สงคราม’

แถมยังสามารถเขียนบันทึกอัตชีวประวัติของตนเองให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ถึงความโหดร้ายและความยากลำบากชนิดเลือดตาแทบกระเด็นของการปกป้องแผ่นดินเกิดและการรักษาเผ่าพันธุ์

นิยามของวีรบุรุษ มี 2 แบบ วีรบุรุษระห่ำที่ไม่กลัวตาย ไม่เสียดายชีวิต กับวีรบุรุษผู้ยอมอดกลั้นทุกอย่างเพื่อความผาสุกของคนทั้งหมด

ผู้มีปัญญาย่อมรู้เองว่า วีรษรุษแบบไหนคือวีรบุรุษที่แท้จริง

ด้วยจิตคารวะ

สุวินัย ภรณวลัย

'รมว.ปุ้ย' เดินหน้า 'Green Win' วินสองล้อพลังงานสะอาดพิฆาตฝุ่นพิษ นำร่อง กทม. ก่อนขยายผลต่อทั่วประเทศ ด้าน ก.อุตฯ หนุนเต็มที่

(3 มี.ค.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานและสักขีพยานในพิธีลงนามความร่วมมือในโครงการ Green Win เพื่อลดปัญหามลพิษ PM 2.5 ระหว่างสมาคมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างแห่งประเทศไทย โดยนายเฉลิม ชั่งทองมะดัน นายกสมาคมฯ กับ บริษัท สตรอมไทยแลนด์ จำกัด และ บริษัท ออสก้า โฮลดิ้ง จำกัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฯ โดยมีนายดนัยณัฏฐ์ โชคอำนวย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม, นายเอกภัทร วังสุวรรณ, นายบรรจง สุกรีฑา, นายใบน้อย สุวรรณชาตรี, นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงานในครั้งนี้ด้วย ณ ห้อง อก.1 ชั้น 2 และ ห้องโถง ชั้น 1 และอาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม

รมว.พิมพ์ภัทรา กล่าวว่า นับเป็นความก้าวหน้าที่ทุกคนได้ร่วมมองไปข้างหน้าเพื่อหาทางออกและร่วมกันแก้ไขปัญหา PM 2.5 ที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ และนี่คือโอกาสที่ผู้พัฒนาเทคโนโลยีต้องร่วมกันพัฒนาในทิศทางพลังงานสะอาด เนื่องจากการใช้รถจักรยานยนต์พลังงานไฟฟ้าเป็นทางเลือกที่สำคัญ โดยเฉพาะผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างในกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีส่วนเชื่อมโยงการขนส่งและการเดินทางโดยระบบขนส่งสาธารณะ และเป็นกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดสู่การใช้จักรยานยนต์ไฟฟ้า ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน และค่าซ่อมบำรุง ซึ่งเป็นจุดแข็งสำหรับทางเลือกของผู้ประกอบอาชีพจักรยานยนต์รับจ้างไม่เฉพาะใน กทม.เท่านั้น แต่ยังสามารถขยายผลไปได้ทั่วประเทศ ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมพร้อมสนับสนุนในทุกด้าน 

“การทำให้อากาศบริสุทธิ์ ไม่ใช่ภาระของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นความร่วมมือของประชาชน ผู้ประกอบการ และรัฐบาล ในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรมได้ส่งเสริมเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง โดยคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ได้มีการขับเคลื่อนมาตั้งแต่ปี 2564 ตั้งเป้าผลิตและการใช้ยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ การส่งเสริมการลงทุนสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (มาตรฐาน EV3 และ EV3.5) การกำหนดมาตรฐานการใช้งานและความปลอดภัย โดยกระทรวงอุตสาหกรรม มุ่งมั่นอย่างเต็มที่เพื่อเป็นหนึ่งในผู้นำของการพัฒนาสู่การเปลี่ยนผ่านในภูมิภาคนี้ ด้วยการเดินหน้าสู่ยุคพลังงานสะอาดเพื่อส่งต่ออากาศบริสุทธิ์ให้กับลูกหลานต่อไป” นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าว  

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กล่าวขอบคุณทุกหน่วยงานที่เล็งเห็นความสำคัญและร่วมกันสนับสนุน 'โครงการ Green Win' (วินเขียว กทม.) เพื่อลดปัญหามลพิษ PM 2.5 ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อร่วมกันหาทางแก้ไขปัญหา PM 2.5 และสร้างโอกาสในการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อให้โครงการสำเร็จและเป็นประโยชน์แก่ประเทศต่อไป

นักท่องเที่ยว - ปชช. ที่โคราช วิ่งหนีตาย แตกตื่น อลหม่าน เพราะเข้าใจว่า เกิดเหตุ กราดยิง ซ้ำรอยในอดีต ขึ้นอีกครั้ง

ช่วงค่ำวานนี้ (2 มี.ค.67) เกิดเหตุยิงกันบริเวณหน้าศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 จ.นครราชสีมา ทำให้ประชาชนซึ่งอยู่ภายใน ต่างวิ่งหลบหนีตามจุดต่างๆ หลังเกิดเหตุ ตำรวจ และหน่วยกู้ภัยเมตตา ได้เข้าตรวจสอบ

พบผู้บาดเจ็บ 1 คน คือ นายณัฐดนัย เหล็กกล้า อายุ 30 ปี ถูกยิงด้วยอาวุธปืนลูกซองสั้นไทยประดิษฐ์ บริเวณคาง และไหล่ขวา ก่อนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล นายณัฐดนัย บอกว่า ตัวเองเป็นฝ่ายรักษาความปลอดภัยของโรงแรมแห่งหนึ่ง

ก่อนหน้านี้ เห็น นายศุภพรพงษ์ ซึ่งเป็นเชฟของโรงแรมเดียวกัน นำสุราเข้าไปดื่มภายในที่ทำงาน 2-3 ครั้ง จึงได้ตักเตือน และรายงานให้หัวหน้างานทราบ ทำให้นายศุภพรพงษ์ ถูกไล่ออกจากงาน และมีปากเสียงกับตัวเอง จากนั้นผู้ก่อเหตุได้กลับไปที่ห้องพักซึ่งอยู่ด้านหลังศูนย์การค้าฯ ก่อนนำปืนลูกซองสั้น มายิงตัวเองได้รับบาดเจ็บ แล้วขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไปทาง บขส.นครราชสีมา แห่งที่ 2 ซึ่งขณะนี้ตำรวจ อยู่ระหว่างติดตามตัว

สำหรับศูนย์การค้าแห่งนี้ เป็นที่เดียวกับเหตุการณ์ที่มีทหารนายหนึ่ง ได้มาซ่อนตัวหลังก่อเหตุยิงผู้บังคับบัญชาเสียชีวิตจากปมขัดแย้งเรื่องบ้านพักทหาร เมื่อวันที่ 8 ก.พ.2563 เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต รวม 30 คน และบาดเจ็บอีก 58 คน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top