Sunday, 18 May 2025
ค้นหา พบ 48168 ที่เกี่ยวข้อง

'เลขาฯ สุริยะ' ขีดเส้นตาย 7 วัน จี้!! 'เวียตเจ็ท' เร่งเข้าชี้แจง ปมปฏิเสธกลุ่มคนพิการขึ้นเครื่อง ยัน!! เอาเรื่องให้ถึงที่สุด

'สรวุฒิ' เข้ารับหนังสือร้องเรียนเหตุสายการบินไทยเวียตเจ็ทปฏิเสธกลุ่มคนพิการขึ้นเครื่องบิน พร้อมมอบหมาย กพท. เรียกสายการบินไทยเวียตเจ็ทเข้ามาชี้แจง ให้เส้นตาย 7 วัน หากไร้ความคืบหน้าจะพิจารณาการต่อใบอนุญาตการบิน

(28 ก.พ. 67) นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า วันนี้ได้เข้ารับหนังสือร้องเรียนกรณีสายการบินไทยเวียตเจ็ทปฏิเสธกลุ่มคนพิการขึ้นเครื่องบิน พร้อมมอบหมายให้สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) เรียกสายการบินไทยเวียตเจ็ทเข้ามาชี้แจง รายละเอียดภายใน 7 วัน พร้อมหาแนวทางแก้ไข และปรับปรุงการให้บริการต่อกลุ่มคนพิการและคนทั่วไปอย่างเท่าเทียม และภายหลังจากนั้นให้มีการนัดประชุมเพื่อหาข้อสรุปต่อไป แต่หากสายการบินไทยเวียตเจ็ทยังคงเมินเฉยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะพิจารณาเรื่องการต่อใบอนุญาตประกอบกิจการการบินต่อไป

"หากการส่งหนังสือตักเตือนครั้งนี้ไม่คืบหน้าภายใน 1 อาทิตย์ และหากยังคงนิ่งเฉยจะเอาเรื่องถึงที่สุด โดยทางกระทรวงคมนาคมพร้อมดูแลประชาชนทุกภาคส่วน แต่ขอเวลาสักครู่เพื่อรอคำตอบจากสายการบินไทยเวียตเจ็ทเสียก่อน" นายสรวุฒิ กล่าว

พร้อมกันนี้ยังได้กำชับให้ทุกสายการบินทบทวนกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคำสั่งอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางทางอากาศยานของผู้โดยสารที่เป็นคนพิการให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และมาตรฐานขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization : ICAO) โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นการปฏิเสธการรับขนส่งผู้โดยสารที่เป็นคนพิการ จากเดิมตามกฎหมายนั้นทุกสายการบินต้องไม่ปฏิเสธการให้บริการผู้โดยสาร เว้นแต่กรณีที่มีความเสี่ยงต่อความปลอดภัย

โดยตามนโยบายของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ได้ให้ความสำคัญกับทุกเสียงสะท้อนของประชาชนไม่ว่าจะเป็นคนทั่วไปหรือกลุ่มคนพิการ กระทรวงคมนาคมใส่ใจในทุกปัญหาของประชาชนทุกภาคส่วน และพร้อมนำปัญหาไปแก้ไขปรับปรุงและพัฒนาระบบขนส่งทุกมิติ เพื่อให้มีความสะดวกปลอดภัย สามารถให้บริการกับทุกคนได้อย่างเท่าเทียม

'ผอ.ททท.ประจวบฯ' สยบดรามา 'หัวหินเงียบเหงา'  ยกเม็ดเงินปี 66 สะพัดกว่า 44,000 ล้าน สยบมโน

(28 ก.พ.67) นายอาชวันต์ กงกะนันทน์ ผอ.ททท.สำนักงานประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า จากกระแส ‘เบื่อรถติดพระราม 2’ เป็นสาเหตุที่ทำให้หัวหินเงียบเหงา นักท่องเที่ยวน้อยลง กำลังเป็นไวรัลที่ถูกพูดถึงอยู่ขณะนี้ เรื่องนี้ยืนยันว่า “ไม่เป็นความจริง หัวหิน ไม่เคยเงียบเหงา” ข่าวมีการคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ดูจากสถานการณ์การท่องเที่ยวในภาพรวมและสถิติการท่องเที่ยวหลังจากสถานการณ์โควิดได้สงบลงตั้งแต่ปี 2565 - 2566 ในปี 2565 จ.ประจวบฯ มีนักท่องเที่ยวมาเยือนอยู่ที่ 9.75 ล้านคน ในปี 2566 มีนักท่องเที่ยวอยู่ที่ประมาณ 11.14 ล้านคน ตัวเลขนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ประมาณ 1.4 ล้านคน รายได้จากการท่องเที่ยวในปี 2565 อยู่ที่ราว 33,000 ล้านบาท ในปี 2566 อยู่ที่ประมาณ 44,000 ล้านบาท ซึ่งรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นประมาณ 11,000 - 12,000 ล้านบาท นี่คือสิ่งที่ยืนยันถึงสถานการณ์จากสถิติการท่องเที่ยวว่า จ.ประจวบฯ โดยเฉพาะพื้นที่ของหัวหินซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางหลักของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ยังมีสถานการณ์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องสะท้อนให้เห็นถึงพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของประจวบฯ การส่งเสริมตลาดการท่องเที่ยว นี่เป็นภาพรวมของสถิติและสถานการณ์การท่องเที่ยวหลังจากสถานการณ์โควิดได้สงบลง

สถานการณ์การท่องเที่ยว อ.หัวหิน ล่าสุดในช่วงวันหยุดยาววันมาฆบูชาที่ผ่านมา 3 วันนี้จะพบว่าอัตราการจองพักของภาคเอกชนอยู่ที่ระดับ 85 - 100% เลยทีเดียว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหัวหินยังคงคึกคัก แล้วก็ดูจากสถานการณ์ของการท่องเที่ยวตามร้านอาหารตามชายหาดก็ยังคงมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ททท.สำนักงานประจวบฯ ก็ได้จัดงาน Hua Hin Yoka festival 2024 ซึ่งได้รับการตอบรับจากนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะกลุ่มชาวต่างชาติมาร่วมกิจกรรมเป็นร้อยคน สร้างความคึกคักและสร้างเศรษฐกิจให้กับ อ.หัวหิน และพื้นที่ใกล้เคียงได้เป็นอย่างดี ผมยืนยันได้ว่า “หัวหิน ไม่เคยเงียบเหงา” และก็ยังเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและชาวต่างประเทศอยู่ ซึ่งก็ได้รับการยืนยันจากภาคเอกชนด้วยเช่นกัน

“สำหรับในเรื่องราคาที่พักหัวหิน มีให้เลือกหลายระดับ หลายราคา ทำเลที่ตั้ง ถ้าเป็นโรงแรมที่ติดชายทะเลหรือโรงแรมระดับห้าดาวก็อาจจะมีราคาสูง เนื่องจากว่าเป็นที่ต้องการของนักท่องเที่ยวชาวไทย เพราะกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทยมีความต้องที่จะพักโรงแรมที่ติดชายหาด แต่สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติกลุ่มที่อยู่ระยะยาว อยู่หลายเดือน อาจจะพักโรงแรมสี่ดาวหรือสามดาวก็ได้ ซึ่งนักท่องเที่ยวเขาจะบริหารงบประมาณได้ในการพำนักระยะยาวได้อย่างสะดวกกว่านักท่องเที่ยวคนไทย นักท่องเที่ยวคนไทยบางส่วนอาจจะจองโรงแรมแบบกระชั้นชิดหรืออาจจะเป็นช่วงพีคซีซั่น ไฮซีซั่น ซึ่งหัวหินในช่วงนี้ก็อยู่ในช่วงไฮซีซั่น ผู้ประกอบการเองก็มีนักท่องเที่ยวอยู่แล้วค่อนข้างเยอะ อันนี้ก็อาจจะส่งผลให้จำนวนห้องพักที่รองรับตลาดนักท่องเที่ยวคนไทยน้อยลง ด้วยกลไลในการบริหารจัดการก็จะส่งผลให้ปริมาณห้องพักที่มีอยู่น้อยลงในช่วงเวลาที่มีความต้องการสูง ทำให้ราคาสูงกว่าปกติอย่างที่เรารับทราบกันอยู่

อย่างไรก็ตาม อยากให้มองในประเด็นมาตรฐานการให้บริการ ความคุ้มค่า มาตรฐานของโรงแรมและที่พักของหัวหิน ที่ให้บริการกับนักท่องเที่ยวด้วยความประทับใจและเป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับ และในเมื่อช่วงไฮซีซั่นได้หมดระยะลง นักท่องเที่ยวต่างชาติก็จะเดินทางกลับประมาณในช่วงเดือนมีนาคม โรงแรมสี่ดาว ห้าดาว ก็จะปรับลดราคาลงบวกกับการทำโปรโมชั่น เพื่อขายให้กับตลาดนักท่องเที่ยวคนไทยมาเที่ยวในช่วงปิดเทอมก็คือเดือนเมษายน - พฤษภาคม หลังจากนั้นโรงแรมก็จะปรับราคาลงมาเข้าสู่ในช่วงโลซีซั่นไปจนถึงเดือนตุลาคมก็จะวนไปในฤดูกาลท่องเที่ยวของแต่ละปี ส่วนในเรื่องของทางแก้ อาจจะต้องให้นักท่องเที่ยวให้วางแผนการเดินทางในระยะยาว เช่น ในเรื่องของการจองที่พักก็คล้ายๆ กับเวลาเราซื้อตั๋วเครื่องบิน ถ้าเราซื้อในช่วงกระชั้นชิดก็จะมีราคาที่สูงกว่าปกติ ในเรื่องของการมีโปรโมชั่นต่าง ๆ จากผู้ประกอบการภาคเอกชนแต่ละแห่ง หัวหิน มีโรงแรมหลายระดับ หลายราคา ซึ่งเป็นทางเลือกให้กับนักท่องเที่ยว อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ทาง ททท.สำนักงานประจวบฯ อยากจะฝากไปยังพี่น้องประชาชนและนักท่องเที่ยว” นายอาชวันต์ กงกะนันทน์ กล่าวในตอนท้าย

‘น้ำ รพีภัทร’ โพสต์เตือน!! หลังเจอ ‘เพจปลอม’ สร้างเรื่อง กุข่าวรักร้าว-โปรโมตเว็บพนัน วอนแฟนๆ ช่วยกดรีพอร์ต

(28 ก.พ. 67) ทำเอาเเฟนคลับพากันแตกตื่น หลังจากที่เฟซบุ๊ก ‘น้ำ รพีภัทร - Nam Rapeepat’ ที่มียอดกดไลก์หลักพัน ยอดผู้ติดตามหลักแสน ซึ่งไม่ใช่เฟซฯ หลักของ ‘น้ำ รพีภัทร เอกพันธ์กุล’ ที่มียอดผู้ติดตามกว่า 1.5 ล้าน ได้ออกมาโพสต์ภาพ ‘น้ำ รพีภัทร’ กับภรรยาสาว ในวันแต่งงาน พร้อมเขียนเเคปชันระบุว่า “ปัญหาที่สะสมมานาน สุดท้ายมันก็ไปกันไม่ไหวแบบนี้ก็แยกกันไปถูกแล้ว”

แต่ที่ทำแฟน ๆ พากันสะดุดเห็นจะเป็นการแปะลิงก์เว็บพนันนี่แหละ เลยทำให้แฟน ๆ พากันแคปภาพดังกล่าวไปแจ้งข่าวในเพจใหญ่ของ ‘น้ำ รพีภัทร’ เพื่อให้จัดการหากเป็นเฟซบุ๊กปลอม แถมบอกแฟนคลับให้ช่วยกันรีพอร์ตอีกด้วย

ล่าสุด น้ำ รพีภัทร ได้นำโพสต์ดังกล่าวมาประกาศพร้อมวอนช่วยกันรีพอร์ต โดยระบุว่า…

"เพจปลอมสร้างเรื่องอีกแล้วครับ วุ่นวายแต่เช้าเลย นอกจากโพสต์เรื่องไม่จริงแล้ว ยังมีการแปะลิงก์เว็บพนันด้วย ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและสร้างความเสียหายกับเพจจริง และคนที่หลงเชื่อ
เพจปลอมคนตาม 1.2 แสน กดรีพอร์ตได้เลยนะครับ เพจจริงติดตาม 1.5 ล้านแล้ว ฝากด้วยนะครับพี่น้อง"

‘สาวนักกินจุ’ ร้อง!! กินหมดไวกว่า แต่ดันแพ้ที่ 1 อ้าง!! ลีลาไม่ดี ซ้ำ!! ถูกหน่วยงานรัฐโทรมาขู่ฟ้อง ชาวเน็ตสงสัยมีนอกมีใน?

(28 ก.พ.67) ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ได้ออกมาโพสต์ขอความเป็นธรรม หลังจากไปร่วมการแข่งขันกินเร็วอาหารญี่ปุ่น ที่จัดโดยหน่วยงานราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เธอกินหมดเป็นคนแรกแต่ได้ที่ 2 เพราะลีลาสู้คนได้ที่ 1 ไม่ได้

ซึ่งเธอได้ลงคลิปวิดีโอในช่วงของการแข่งขันและตอนที่ประกาศรางวัล โดยมีเสียงพิธีกรพูดว่า “น้องตั้งใจกินมาก แต่เสียดายไม่เก่งเรื่องลีลา”

ทำเอาคนแห่พุ่งเป้าว่าแบบนี้มีนอกมีในกันรึเปล่า เพราะตามประกาศการแข่งขันก็ไม่ได้มีการบอกกฏว่าแข่งกินเร็วต้องใช้ลีลาร่วมด้วย แต่มาเพิ่มกฎภายหลัง

หลังจากเรื่องราวกลายเป็นไวรัล เธอก็ได้ออกมาโพสต์เพิ่มเติมว่า “วันนี้ทางผอ.ผู้จัดมีการโทรมาคุยนะคะ แต่ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีเลยค่ะ บอกว่าแข่งเอาความสนุกไม่ได้ซีเรียสขนาดนี้

ทำไมเราต้องทำลายชื่อเสียงขององค์กร? และมีการต่อว่า ว่าจะฟ้องร้องที่เราลงคลิปการแข่งขันทั้งหมดด้วย ทุกคนคิดว่าไงคะ???”

ชาวเน็ตหลายคนคิดตรงกันว่า ผลค้านสายตา แข่งกินเร็ว กินหมดคนแรกก็ควรได้ที่ 1 อีกทั้งกฎการแข่งขันที่ประชาสัมพันธ์ก็บอกเพียงว่า “การแข่งขันกินเร็วอาหารญี่ปุ่น ไม่จำกัดเพศ ไม่จำกัดอายุ ชิงเงินรางวัล”

บางคนวิจารณ์แรงว่า “เขียนว่าการแข่งขันกินเร็ว ก็เพื่อหาคนกินเร็วที่สุด ถ้าเขียนว่าการแข่งขันเอาความสนุก ไม่เน้นกินเร็วก็ค่อยตัดสินตามนั้น เป็นผู้กำหนดกติกา แต่ดันทำตัดสินผิดกติกาที่ตัวเองตั้งไว้เอง อันนี้ว่ากันจากที่เห็นตามคลิปและป้ายจัดงานนะคะ”

นอกจากการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมของตัวผู้ชนะการแข่งกินจุแล้ว ยังลามไปถึงหน่วยงานราชการที่มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบโดยตรงอย่างรุนแรงอีกด้วย เช่น “คุณภาพราชการไทย ไม่ต่างอะไรจากคอลเซนเตอร์”, “องค์กรที่น่าเลื่อมใส”, “เรื่องปกติของกะลาแลนด์” ฯลฯ

‘NARIT’ ชี้!! ดวงอาทิตย์อาจเข้าสู่ ‘Solar Maximum’ กลางปีนี้ ‘ดาวเทียมนอกโลก-นักบินอวกาศ’ ต้องระวัง ส่วนนักล่าแสงเหนือได้เฮ

(28 ก.พ. 67) เพจสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ โพสต์ระบุว่า ภาพถ่ายดวงอาทิตย์ผ่านแผ่นกรองแสงเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2024 เวลา 10:56 น. ตามเวลาประเทศไทย แสดงให้เห็นจุดบนดวงอาทิตย์ (sunspot) ขนาดใหญ่บริเวณซีกเหนือของดาว รวมถึงจุดขนาดเล็กอีก 6-7 จุด ซึ่งมีแนวโน้มที่จะพบจุดมากขึ้นเรื่อย ๆ เตรียมเข้าสู่ช่วง ‘Solar Maximum’ ตั้งแต่ช่วงกลางปีนี้เป็นต้นไป

ดวงอาทิตย์มีการปลดปล่อยพลังงานที่แตกต่างกันในแต่ละช่วง บางช่วงมีการปลดปล่อยพลังงานมาก และบางช่วงมีการปลดปล่อยพลังงานที่น้อย เกิดเป็นวัฏจักรที่มีคาบประมาณ 11-12 ปี เรียกว่า ‘วัฏจักรสุริยะ (Solar Cycle)’ กล่าวคือ เป็นวัฏจักรที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ ส่งผลให้แต่ละช่วงดวงอาทิตย์ปลดปล่อยพลังงานแตกต่างกัน โดยช่วงที่ดวงอาทิตย์ปลดปล่อยพลังงานมากที่สุด เรียกว่า ‘Solar Maximum’ จะเป็น ช่วงที่มี sunspot บนพื้นผิวมากที่สุด และในทางตรงกันข้ามช่วงที่ดวงอาทิตย์ปลดปล่อยพลังงานน้อย (เงียบสงบ) และแทบจะไม่มี sunspot บนพื้นผิวเลย เรียกว่า ‘Solar Minimum’

ขณะนี้ ดวงอาทิตย์กำลังอยู่ในช่วงที่มี sunspot เพิ่มมากขึ้น และจากข้อมูลเชิงสถิติโดย National Oceanic and Atmospheric Administration หรือ NOAA [1] คาดการณ์ไว้ว่า ดวงอาทิตย์จะเข้าสู่ช่วง Solar Maximum ในช่วงกลางปีนี้ ดวงอาทิตย์จะมี sunspot เพิ่มมากขึ้น เกิดพายุสุริยะบ่อยและรุนแรงมากขึ้น ซึ่งช่วงพีคของ Solar Maximum ในรอบนี้คาดว่าจะกินเวลาไปจนถึงปลายปี 2025 หลังจากนั้นจำนวน sunspot จะค่อย ๆ ลดลง แล้วไปน้อยลงที่สุดในช่วงปี 2033

ทั้งนี้ แม้จะเป็นช่วงที่ดวงอาทิตย์ปลดปล่อยพลังงานออกมามากขึ้น แต่ก็ไม่ได้ส่งผลอันตรายร้ายแรงต่อมนุษย์โลกแต่อย่างใด เนื่องจากสนามแม่เหล็กและชั้นบรรยากาศที่หนาแน่นของโลก จะสามารถป้องกันอนุภาคและรังสีพลังงานสูงจากดวงอาทิตย์เอาไว้ได้ แต่สำหรับดาวเทียมที่โคจรอยู่นอกโลก อาจเกิดความเสียหายต่อระบบวงจรไฟฟ้าได้ รวมถึงนักบินอวกาศที่ปฏิบัติภารกิจอยู่นอกโลก ก็อาจได้รับปริมาณรังสีและอนุภาคพลังงานสูงเพิ่มมากขึ้น

อย่างไรก็ดี ในช่วง Solar Maximum นี้ เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการออกตามล่า ‘แสงออโรรา (Aurora)’ เนื่องจากเมื่ออนุภาคที่มีประจุจากดวงอาทิตย์เดินทางมาถึงโลก สนามแม่เหล็กโลกจะเบี่ยงทิศทางของอนุภาคเหล่านี้ให้พุ่งไปยังบริเวณขั้วทั้ง 2 ด้านของสนามแม่เหล็กโลก จากนั้นอนุภาคจะปะทะเข้ากับแก๊สในชั้นบรรยากาศโลก แล้วเกิดการปลดปล่อยแสงสว่างออกมาเป็นสีสันต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับชนิดของแก๊ส โดยบริเวณขั้วของสนามแม่เหล็กโลกจะอยู่ใกล้กับขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ ทำให้แสงสว่างที่เกิดขึ้นจากกระบวนการนี้ พบได้เฉพาะพื้นที่ใกล้ขั้วโลกเท่านั้น เป็นที่มาของแสงออโรรา หรือ ‘แสงเหนือ-แสงใต้’ ดังนั้น การที่ดวงอาทิตย์อยู่ในช่วง Solar Maximum ก็จะมีอนุภาคจากดวงอาทิตย์มาปะทะกับโลกในอัตราที่สูงขึ้น ในช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่มีโอกาสเกิดแสงออโรรามากกว่าช่วงอื่นนั่นเอง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top