Sunday, 18 May 2025
ค้นหา พบ 48181 ที่เกี่ยวข้อง

‘คนกาก้าวไกล’ ชี้ ‘ด้อมส้ม’ ไม่ต่างจาก ‘สลิ่ม’ เพราะประชาธิปไตยแบบด้อมส้ม = ‘ห้ามเห็นต่าง’

(19 ก.ค. 66) จากกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ไม่ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี จากจุดยืนจะเสนอแก้ไขมาตรา 112 ภายหลังจากนั้นก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั่วโลกออนไลน์ และเกิดกระแสหากใครเห็นต่าง ‘ด้อมส้ม’ หรือกองเชียร์ของพรรคก้าวไกลจะเข้ามารุมต่อว่าทันที

ล่าสุดก็มีผู้ใช้งานโซเชียลรายหนึ่งได้เผยแพร่คลิปวิดีโอ อ้างว่าตัวเองเป็น 1 ใน 14 ล้านเสียงที่เลือกพรรคก้าวไกล แต่มองว่าในตอนนี้ ‘ด้อมส้ม’ กำลังจะกลายเป็น ‘สลิ่ม’ เพราะประชาธิปไตยพรรคก้าวไกล เท่ากับห้ามคิดต่าง

ผู้ใช้โซเชียลรายดังกล่าวระบุในวิดีโอว่า “ผมเป็น 1 ใน 14 ล้านเสียงที่กาก้าวไกลนะ แต่คุณเชื่อไหมว่าต่อไป ประชากรสลิ่มจะเติบโตขึ้น เพราะอะไร? มาลองฟังเหตุผล”

“คนที่เห็นด้วยกับนโยบายพรรคก้าวไกล จะมีตั้งแต่เห็นด้วย 100% 90% 80% 70% ผมเรียกคนที่เห็นด้วย 100% ว่า ติ่ง ติ่งก็คือเขาจะทำอะไร จะเลี้ยวไปทางไหนก็คือถูกหมด คนอื่นห้ามเห็นต่าง ประชาธิปไตยของพรรคส้มไม่มีแบบว่า ผมเคารพความคิดคุณนะ เคารพความเห็นคุณนะที่เห็นต่างจากผม เราอยู่ร่วมกันได้ เรามีสิทธิคนละ 1 สิทธิ์ 1 เสียงนะ ไม่มีอะไรแบบนี้นะ ห้ามคิดต่าง!! ห้ามคิดไม่ตรงกับกู แบบนี้คือพวก 100%”

“ที่นี้พวกที่เห็นด้วย 90% 80% 70% ไม่เห็นด้วยในบางนโยบาย อย่างผมไม่เห็นด้วยเรื่องนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด ก็จะโดนพวกเห็นด้วย 100% ว่าแล้วว่า ห้ามเห็นต่าง ต้องเห็นตรงกับเขา นี่คือประช่าธิปไตย ดังนั้นจะทำให้คนไปเป็นสลิ่มมากขึ้น และจะกัดกินแบรนด์ส้มจากภายในเรื่อย ๆ กัดกินแบบธรรมชาติ เหมือนพวกหัวคะแนนธรรมชาติที่ตอนนี้ค่อยๆ ล้มหายตายจากไปทีละคน”

ผู้ใช้โซเชียลรายนี้ยังทิ้งท้ายไว้ว่า “คุณลองไปลองดูนะ คุณลองคิดต่างและแหย่เข้าไปในด้อมส้มนี้ดู ลองทำแล้วดูว่าเป็นจริงไหม”

ยกย่อง!! ‘ครูกฤศ’ ครูผู้เป็นทุกอย่างแห่ง รร.บ้านหนองเหียง ปฏิบัติหน้าที่ด้วยใจแน่วแน่ ตั้งแต่สอนหนังสือยันงานภารโรง

(19 ก.ค. 66) เพจ ‘ฅนจริงใจไม่ท้อ’ ได้เผยแพร่ข้อความในหัวข้อ ‘ครู’ ผู้เป็นทุกอย่าง ระบุว่า…

‘ครู’ ผู้เป็นทุกอย่าง
“จะทิ้งเขาไปได้ไง ถ้าทิ้งไป เด็กก็ไม่มีครูสอน ผมอยากอยู่ช่วยเหลือเขาอย่างเต็มที่จนครบวาระของผม” 

เสียงยืนยันอันหนักแน่นของ กฤศ จอมพระ หรือ ‘ครูกฤศ’ ครูหนุ่มผู้มีจิตวิญญาณของการเป็นครู ที่พร้อมจะอยู่และทำหน้าที่ทุกอย่างเพื่อเด็กนักเรียน แม้ในวันที่ทั้งโรงเรียนจะเหลือเขาเป็น ‘ครู’ เพียงคนเดียว
เป็นเวลากว่า 4 ปี แล้วที่ ‘ครูกฤศ’ ได้ตัดสินใจเลือกมาสอนหนังสือที่โรงเรียนบ้านหนองเหียง ต.เขาหินซ้อน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา (โรงเรียนที่เคยตกเป็นข่าวโด่งดัง จากกรณี ครูผู้เป็นทุกอย่าง ตั้งแต่รักษาการผู้อำนวยการ ไปจนถึง พ่อครัว นักการภารโรง) โรงเรียนขนาดเล็กที่เปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงชั้นป.6 มีจำนวนเด็กนักเรียนทั้งหมด 21 คน

“ผมมาสอนที่นี่เมื่อปี 62 ที่เลือกมาที่นี่เพราะว่า เมื่อ 6-7 ปีก่อนที่ผมจะมาสอนที่นี่ ผมเคยผึกสอนที่โรงเรียนขนาดเล็กมาก่อน เลยทำให้รู้ว่าเด็กที่มาเรียนโรงเรียนแบบนี้ ครอบครัวเขาจะมีฐานะยากจน บางคนไม่มีรองเท้า ไม่มีเสื้อผ้าใส่มาโรงเรียนเลย ก็มาย้อนนึกถึงตัวเองในสมัยเด็กที่บ้านก็มีฐานะยากจน และเคยได้รับการช่วยเหลือจากครูมาก่อน เลยทำให้มีแรงบันดาลใจมาเรียนจนจบได้มาเป็นครู…เลยเลือกมาที่นี่ อยากช่วยเหลือเด็กที่ด้อยโอกาสเหล่านี้ครับ”

‘ครูกฤศ’ เชื่อว่า ด้วยความรู้และประสบการณ์ที่เขามีสั่งสมในช่วงที่ผ่านมา จะช่วยสร้างประโยชน์ให้กับโรงเรียนเล็ก ๆ แห่งนี้ได้ แม้บนเส้นทางข้างหน้าจะต้องเผชิญกับอุปสรรคที่มากมายสักเพียงใดก็ตาม

“ผมมาวันแรก เห็นโรงเรียนแล้วตกใจ เพราะสภาพทรุดโทรม ทั้งอาคารเรียนก็เก่า หญ้าขึ้นเต็มไปหมด แต่ในใจตอนนั้นก็คิดว่า นี่เป็นโอกาสที่เราจะได้รับประสบการณ์ที่มีค่า เพราะถ้าเราไปอยู่ที่สบายคงไม่ได้ประสบการณ์ที่เข้มข้น”

‘ครูกฤศ’ ได้เริ่มต้นทำงานโรงเรียนบ้านหนองเหียงแห่งนี้ ด้วยตำแหน่งครูผู้ช่วย ซึ่งในขณะนั้นที่นี่ มีบุคลากรทั้งหมด 4 คน งานไหนที่ครูอื่นทำไม่ได้ ‘ครูกฤศ’ จะอาสาทำหมด

“โรงเรียนนี้มีแต่ครูผู้หญิง ผอ.ก็ผู้หญิง ครูธุรการก็ผู้หญิง ครูประจำการก็ผู้หญิง ผมมาตอนนั้นผมเป็นผู้ชายคนเดียวเลย ผมเข้ามาก็ได้รับหน้าที่สอนชั้น ป.3 และงานพัสดุ งานอื่น ๆ ที่ต้องใช้แรงผมก็จะขออาสาทำหมด”

แต่เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งต่าง ๆ ก็เปลี่ยนแปลงตาม ทำให้โรงเรียนแห่งนี้เหลือ ‘ครูกฤศ’ ที่เป็นผู้ทำหน้าที่ทุกอย่างในโรงเรียนนี้เพียงคนเดียว

“พอมาช่วงโควิด ครูธุรการเขาก็ขอลาออกไป ไปทำงานโรงงานเพราะใกล้บ้านและได้เงินดีกว่า แล้วตำแหน่งนี้ส่วนกลางเขาไม่มีนโยบายรับเพิ่ม ก็ทำให้เหลือกันแค่ 3 คน แต่พอถึง ตุลา 65 ผอ.ผู้หญิงท่านก็เกษียณไปอีกคน คราวนี้เลยเหลือผมกับครูผู้หญิงแค่ 2 คน ผมก็เอาอนุบาลมาสอน พร้อมกับดูแล ป.4-5-6 ส่วนครูผู้หญิงก็ดูแล ป.1 ถึง 3 แต่พอมาถึงมกรา 66 ครูผู้หญิงเขาก็มาบอกว่า เขาอยากย้ายไปสอนใกล้บ้านเพื่อจะได้อยู่ดูแลลูก และครอบครัว ก็เลยทำเรื่องย้ายออกไปอีก ผมก็เข้าใจว่าความจำเป็นก็ไม่ได้ว่าอะไร ซึ่งต่อมาเขาก็ได้ย้ายไปจริง ๆ ในช่วงกลางเดือนพฤษภา 66 ทำให้ช่วงนั้นผมต้องอยู่คนเดียว”

ด้วยข้อจำกัดทางด้านบุคลากรที่ขาดแคลน ทำให้ ‘ครูกฤศ’ ต้องรับบทบาทของ ‘ครู’ ผู้เป็นทุกอย่างเพียงคนเดียว ซึ่งนั่นคือ บทพิสูจน์หัวใจความเป็น ‘ครู’ ของ ‘ครูกฤศ’ ที่ไม่เคยคิดย่อท้อ

“พอเหลือผมอยู่คนเดียว ผมก็คิดว่าไม่เป็นไร เราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด (ในแต่ละวันครูต้องอยู่คนเดียว วัน ๆ ครูทำอะไรบ้าง?) จริง ๆ งานดูเด็ก ๆ ที่ผมรับผิดชอบก็มีหลายอย่างครับ ทั้งดูแลการเรียนการสอนให้กับเด็กทั้ง 8 ชั้นเรียน ในแต่ละวันก็ต้องทำกับข้าวให้เด็กกินเอง ละก็ยังงานธุรการ งานเอกสาร ตัดหญ้า ทำความสะอาด จ่ายตลาดทำเองหมด พอเลิกเรียนก็ขับรถไปส่งเด็กกลับบ้านอีก กว่าจะกลับถึงบ้านที่บางคล้าก็ทุ่มกว่า ๆ ละครับ”

หลัง ‘ครูกฤศ’ ได้ทำหน้าที่เพียงลำพังอยู่ไม่นาน เรื่องราวของครูก็ได้ถูกเผยแพร่ออกไปยังสังคมวงกว้าง จากสื่อสารมวลชนและโชเชียล ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น

“หลังที่ออกข่าวไปก็มีแรงสนับสนุนในหลายด้าน ทั้งสิ่งของ น้ำดื่ม อาหาร เสื้อผ้า อุปกรณ์การเรียน เข้ามามากมายเลย และตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน ทางการก็ได้ส่งครูผู้ช่วย มาช่วยสอน 1 คน…เข้ามาก็ช่วยกันทำงาน ทำให้เบาไปเยอะเลยครับ (ถามจริงครูก็เป็นข้าราชการ เด็กที่นี่ก็ไม่เยอะ ไม่คิดจะย้ายไปสอนที่อื่นหรือใกล้บ้านครูเหรอ?) ผมจะทิ้งเขาไปได้ไง ถ้าทิ้งไปเด็กก็ไม่มีครูสอนผมอยากอยู่ช่วยเหลือเขาอย่างเต็มที่จนครบวาระของผม”

ต้องการช่วยเหลือหรือสนับสนุนโครงการพัฒนาโรงเรียนบ้านหนองเหียง 
ติดต่อ ครูกฤศ ได้ที่ โทร 080-638-5719

‘คลอดีน อทิตยา’ เปิดใจหลังเก็บตัวจัดการชีวิต 2 เดือน บอก “ยังไม่รีบมีรักครั้งใหม่ ขอโสดให้นานที่สุด”

อดีตนักแสดงวัยรุ่น ‘คลอดีน อทิตยา เครก’ อดีตแฟนซุปตาร์สาวรุ่นพี่ ‘พลอย เฌอมาลย์’ เปิดใจครั้งแรก ไปพักใจ 2 เดือน จากนี้คิดจะโสดให้นานที่สุด เผยเรื่องที่รับไม่ได้ที่สุดในความสัมพันธ์ คือ การนอกใจ

ล่าสุด ‘คลอดีน อทิตยา’ เปิดเผยในรายการ ‘ยังไงไหนเล่า’ EP. 73 ว่า รายการเคยติดต่อไปเมื่อ 2 เดือนก่อนแต่ยังไม่พร้อม “ตอนนั้นไม่พร้อม ร่างกายพังมาก ไม่ดูแลตัวเอง อยากให้เวลา ฮีลลิ่งตัวเอง ตอนนี้กลับมาล่ะ”

“ไปอยู่ภูเก็ตมา 2 เดือน เพราะว่าตอนนั้นรู้สึกจัดการชีวิตตัวเองไม่ค่อยได้ นอนไม่ตรงเวลา กินข้าวไม่ตรงเวลา สมองมันคิดมากตลอดเวลาก็เลยอยากไปเข้าแคมป์ดีท็อกซ์ ทำสมาธิ โยคะ อะไรแบบนี้สัก 2 เดือน มันจะได้รีเซ็ตตัวเองใหม่”

>>ตอนนี้อยากมีความรักไหม ?
“ตอนนี้คลอดีนคิดอยู่ว่าอยากจะโสดให้นานที่สุด เท่าที่จะโสดได้ เพราะเวลาที่เรามีความสัมพันธ์กับใคร เราก็อยากจะให้เขามากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ แล้วถ้าเราให้ทั้งหมดนั้นไม่ได้ เราก็จะรู้สึกไม่ดี เราก็เลยอยากพร้อมก่อน เพราะตอนนี้ยังรู้สึกไม่พร้อม ทั้งด้านอารมณ์ ด้านจิตใจ ด้านร่างกายด้วย เราอยากจะเป็น ตัวเราในแบบที่ดีที่สุดก่อน ก่อนจะเริ่มมีความสัมพันธ์ แต่ถ้ามันจะมาก็มา ก็ต้องรอดูกันต่อไป”

>>อะไรเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ที่สุดในความสัมพันธ์ ?
“การนอกใจ แค่นั้น นอกจากนั้นไม่มีอะไรมาก”

>>จริงๆ เราชอบผู้หญิงหรือผู้ชาย ?
“ตั้งแต่เด็กเหมือนมีแววจะชอบผู้หญิง แต่ก็ชอบผู้ชายด้วยนะ (ขึ้นอยู่กับเขาเป็นคนยังไง ?) Yes personality and Energy”

‘นครเซินเจิ้น’ นำร่องใช้ ‘กระเป๋าเงินหยวนดิจิทัล’ ที่แรกในจีน รองรับการชำระเงินรอบด้าน เผย ยอดใช้งานทะลุ 35 ล้านใบแล้ว

เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, เซินเจิ้น รายงานว่า มหานครเซินเจิ้นทางตอนใต้ของจีน ซึ่งเป็นเมืองนำร่องด้านการใช้สกุลเงินดิจิทัลแห่งแรกของจีน มีการเปิดใช้งาน ‘กระเป๋าเงินดิจิทัลของจีน’ หรือ ‘เงินหยวนดิจิทัล’ (e-CNY) จำนวน 35.94 ล้านใบ เมื่อนับถึงสิ้นเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้นจากช่วงต้นปี 7.6 ล้านใบ

ธนาคารประชาชนจีน สาขากลางของเมืองเซินเจิ้น ระบุว่า ปัจจุบันกิจการในเซินเจิ้นมากกว่า 2.1 ล้านราย ได้รองรับการชำระเงินสกุลเหรินหมินปี้ (RMB) แบบดิจิทัล ครอบคลุม 6 ด้านหลัก ได้แก่ การบริโภคประจำวันในห้างสรรพสินค้าส่วนใหญ่ ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหารและโรงแรม ค่าสาธารณูปโภค ค่าเดินทางโดยรถประจำทางและรถไฟใต้ดิน และค่าจอดรถและค่าเชื้อเพลิง

ทั้งนี้ เซินเจิ้นได้ออกแผนงานในเดือนกรกฎาคม ซึ่งเสนอการร่วมมือกับเขตบริหารพิเศษฮ่องกงทางตอนใต้ของจีน เพื่อดำเนินงานนำร่องการชำระเงินด้วยสกุลเงินเหรินหมินปี้ข้ามพรมแดน ด้านเขตความร่วมมืออุตสาหกรรมการบริการสมัยใหม่เฉียนไห่ เซินเจิ้น-ฮ่องกง จะถูกสร้างเป็นเขตสาธิตการใช้สกุลเงินหยวนดิจิทัลข้ามพรมแดน

‘จาตุรนต์’ ชี้!! ไม่ควรยึดหลักเสียงส่วนใหญ่จากในสภาฯ เพราะบางเสียงไม่ได้มาจากการเลือกของ ปชช.

(19 ก.ค. 66) นายจาตุรนต์ ฉายแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคเพื่อไทย กล่าวในรัฐสภาฯ ระบุว่า…

“เราไม่อาจตีความในทางที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ไม่อาจตีความในทางที่จะเอาเสียงส่วนใหญ่ของรัฐสภา ที่อาจจะประกอบไปด้วยผู้ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง มาหักล้างเจตนารมณ์ของประชาชนที่แสดงออกในการเลือกตั้ง”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top