Friday, 16 May 2025
ค้นหา พบ 48149 ที่เกี่ยวข้อง

‘น็อต วิศรุต’ เล่นใหญ่!! เหมาโรงหนังเพื่อ ‘ชมพู่ อารยา’ ยกทัพพนักงานมาดูหนังที่ภรรยาคนสวยเล่นเป็นนางเอก

(16 ก.ค. 66) เผลอแป๊บเดียว ซุป'ตาร์สาวอย่าง ‘ชมพู่ อารยา’ ก็แต่งงานใช้ชีวิตครอบครัวกับสามีนักธุรกิจ ‘น็อต วิศรุต’ มาเป็นเวลากว่า 8 ปีแล้ว อีกหนึ่งครอบครัวที่สุดแสนเพอร์เฟค แถมครองใจแฟน ๆ กันได้ทั้งบ้านเลย ด้วยความน่ารักและเจื้อยแจ้วของพี่แฝด ‘สายฟ้า-พายุ’ และความน่าเอ็นดูของน้องสาวคนสุดท้อง ‘แอบิเกล’ ที่มาเพิ่มเติมสายใยความผูกพันให้อบอุ่นมากยิ่งขึ้น รวมถึงความเป็นแฟมิลี่แมนของ ‘พ่อน็อต’ ที่ทำให้หลายคนอดชื่นชมไม่ได้ บอกเลยครอบครัวนี้ทั้งอบอุ่นและน่ารักมากจริง ๆ

ล่าสุด เพจเฟซบุ๊ก มนุษย์ตุ๊ด ได้เผยโมเมนต์ที่ ‘พ่อน็อต’ ทั้งรักและซัพพอร์ตเมียแบบทุ่มสุดตัว ลงทุนเหมาโรงหนังพาพนักงานในบริษัทไปดูภาพยนตร์ Long Live Love! ลอง ลีฟ เลิฟว์ ที่นำแสดงโดยแม่ชม และพระเอกหนุ่ม ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์

พร้อมแคปชันว่า "ผัวที่ดีคือผัวที่ซัพพอร์ตเมีย ล่าสุดพ่อน็อตเหมาโรงหนังให้พนักงานที่โรงงาน
มาดูหนังที่แม่ชมเล่น แบบฉ่ำ ๆ ช่วยเมียทำมาหากินแล้วหนึ่ง!! น่ารักกกก"

‘ตร.ไซเบอร์’ ร่อนหมายเรียก ‘4 อินฟลูเอนเซอร์’ รับทราบข้อหา เหตุชักชวนเล่นพนันออนไลน์ ผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย

(16 ก.ค. 66) มีรายงานว่า พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท., พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ไพโรจน์ สุขรวยธนโชติ รอง ผบช.สอท พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบช.สพฐ.ตร. ปฎิบัติราชการบช.สอท และพล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ผบก.สอท.2 ได้สั่งการให้ชุดสืบสวนบช.สอท.สืบสวนหาข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ตามแพลตฟอร์มต่าง ๆ เกี่ยวกับความผิดในเรื่องของการพนันออนไลน์ เบื้องต้นพบมีเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ได้ประกาศโฆษณาชักชวนบุคคลทั่วไปให้เข้าเล่นการพนันออนไลน์ ผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก ในลักษณะการประกาศจูงใจเพื่อให้มีผู้เข้าไปเล่น จัดโปรโมชันให้เครดิตต่าง ๆ 

ทางพนักงานสอบสวนบช.สอท. ได้ออกหมายเรียกอินฟลูเอนเซอร์ มาแจ้งข้อกล่าวหา ซึ่งประกอบไปด้วย นายนิพนธ์ หรือ ปอน จิตกล้า ศิลปินเจ้าของเพลงดัง Timemachine ซึ่งมียอดวิวในยูทูปกว่า 129 ล้านวิว หลังโพสต์เฟซบุ๊กเปิดสาธารณะชวนแอดไลน์พนัน @sboteam และ @sbopremier, น.ส.จิรนันท์ หรือ ปู ทองเกลี้ยง แฟนปอน นิพนธ์ อินฟลูเอ็นเซอร์ที่มีผู้ติดตามเฟซบุ๊กกว่า 4 แสนคน และยังมียอดวิวติดตามการคัฟเวอร์เพลงหลายล้านวิว หลังโพสต์เฟซบุ๊กเปิดสาธารณะชวนแอดไลน์พนัน @sure999 และ @htk999 

นอกจากนี้ยังมี น.ส.ปภาวี ชัยมงคล หรือ ออย รอยจูบ หลังโพสต์เฟซบุ๊กเปิดสาธารณะชวนแอดไลน์พนัน @htk999 และ @bz888 รวมทั้งนายกฤษดา ชนะขันธ์ ผู้จัดการของ น.ส.ลฎาภา รัชตะอมรโชติ หรือ เชอร์รี่ สามโคก ซึ่งได้ดูแลเฟซบุ๊ก ‘เชอร์รี่ สามโคก official’ โพสต์เฟซบุ๊กเปิดสาธารณะชวนแอดไลน์พนัน @sbopremier 

อย่างไรก็ตามพนักงานสอบสวนบช.สอท.ได้ออกหมายเรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหา ม.12 พรบ.การพนัน พ.ศ.2478 "ผู้ใดช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันฯ ระวางโทษจำคุก 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ" ที่ บช.สอท. ในเวลา 10.00 น. 

‘สุวินัย’ ชี้!! ‘เพื่อไทย’ อยู่ในสถานะได้เปรียบ ‘ก้าวไกล’ ทุกประตู เชื่อ!! หากจับมือ ‘ขั้วรัฐบาลเดิม’ จะเป็นผลดีในระยะยาว

เมื่อวานนี้ (15 ก.ค. 66) ดร.สุวินัย ภรณวลัย นักเขียน นักวิชาการสถาบันทิศทางไทยและผู้บำเพ็ญในวิถีบูรณาการ ได้ออกมาโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Suvinai Pornavalai’ โดยระบุว่า…

‘เศรษฐา’ : ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 จากเพื่อไทย?

ข้อมูลล่าสุดที่ผมทราบจาก ‘แหล่งข่าว’ จากพรรคเพื่อไทย คือ
1.) คุณอุ๊งอิ๊ง ยังไม่พร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีในสถานการณ์นี้ และครอบครัว คุณทักษิณก็เห็นตรงกัน
2.) แต่คุณเศรษฐาเองก็ไม่ได้เป็นที่พอใจของคนในพรรคเพื่อไทยนัก แถมเจ้าตัวยังไม่มี สส.ในมือเลยสักคนเดียว นี่ยังไม่นับเรื่องทุกครั้งคุณเศรษฐาที่ออกมาพูดจะดึงเรตติ้งของพรรคตกเสมอ
3.) ถึงกระนั้นพรรค​เพื่อไทยก็จำเป็นต้องเสนอชื่อ​ ‘เศรษฐา’ แต่เจ้าตัวกลับมีเงื่อนไขว่า ถ้าเป็นเขาจะต้องมี ‘ก้าวไกล’​ ร่วมรัฐบาลด้วย ซึ่งสอดคล้องกับข้อเสนอของจตุพร พรหมพันธุ์ (แต่ล่าสุดเขาออกมาปฏิเสธข่าวลือนี้ทางทวิตเตอร์แล้ว)

ทางเลือกของพรรคก้าวไกล ตามทฤษฎีเกม

- ถ้ายังยืนกรานจะชูพิธาเป็นนายกฯ อีกครั้งในวันที่ 19 กรกฎาคม ผลลัพธ์น่าจะเหมือนเดิม มิหนำซ้ำคะแนนที่โหวตให้น่าจะน้อยลงกว่าครั้งก่อนแน่นอน ดีไม่ดีพรรคเพื่อไทยอาจจะไม่โหวตให้ด้วยซ้ำ

- แต่ถ้าพรรคก้าวไกลประกาศว่าจะขอเป็นฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทยจะชิงเสนอชื่อ ‘เศรษฐา’ เป็นนายกฯ ค่อนข้างแน่ แต่จะจับขั้วกับพรรคไหนเพื่อตั้งรัฐบาล อันนั้นยังไม่แน่

แต่มีแนวโน้มว่าเพื่อไทยไม่อยากจับมือกับก้าวไกลตั้งรัฐบาล เพราะก้าวไกลยังยืนกรานเป็นกระต่ายขาเดียวว่า จะชูนโยบายแก้ ม. 112 เป็นนโยบายหลักของพรรค ซึ่งอาจทำให้เหล่า สว.ไม่โหวตให้เศรษฐาเป็นนายกฯ ถ้าเศรษฐายังยืนกรานว่าจะดึงก้าวไกลมาร่วมรัฐบาลด้วย

- พรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายเสนอ ‘เศรษฐา’ เป็นนายกฯ เสียเอง ความเป็นไปได้ค่อนข้างต่ำ ถ้าพิจารณาจากอัตตาและตัวตนของก้าวไกลที่เป็นประเภท ‘ยอมหักไม่ยอมงอ’

‘หมากมือนำ’ ของพรรคเพื่อไทย

- ตอนนี้พรรคเพื่อไทยอยู่ในสถานะที่ ‘ได้เปรียบ’ พรรคก้าวไกลทุกประตู แถมยังถือ ‘หมากมือนำ’ ในการกำหนดเกมอำนาจ เพื่อจัดสรรผลประโยชน์ในระยะยาวต่อจากนี้ได้ พร้อมกับ ‘ทางเลือกทางการเมือง’ มากมาย

- พรรคเพื่อไทยรู้แก่ใจตนเองดีที่สุดว่า พรรคก้าวไกลคือคู่แข่งคนสำคัญที่สุดของตน และน่าจะเป็น ‘ว่าที่ศัตรูหลักในอนาคต’ ของพรรคเพื่อไทยด้วย การเดิน ‘หมากมือนำ’ ของพรรคเพื่อไทย จึงควรเป็นการเดินหมากที่ทำให้พรรคก้าวไกลกลายเป็นฝ่ายค้านและฝ่ายแค้น รวมทั้ง ‘ทำลายพิษสง’ ของพรรคก้าวไกลไปพร้อม ๆ กัน

- ม็อบด้อมส้มที่จะลงถนนเพื่อต่อต้าน ‘รัฐบาลพรรคเพื่อไทย’ ที่กำลังจะเกิดขึ้น พรรคเพื่อไทยน่าจะไม่รู้สึกหนักใจหรือวิตกกังวลเลยแม้แต่น้อย เพราะในอดีตเพื่อไทยเคยเจอทั้งม็อบพันธมิตรฯ และม็อบกปปส. มาแล้ว ซึ่งทั้งอึดกว่าและทรงพลังกว่าม็อบด้อมส้มมาก

- เมื่อเป็นเช่นนั้น ‘การร่วมจับมือกับขั้วรัฐบาลเดิม’ น่าจะเป็นผลดีกับพรรคเพื่อไทยในระยะยาวมากกว่า ในแง่การทำงานบริหารประเทศ ที่พูดภาษาเดียวกันรู้เรื่องทางการเมือง

- ขณะที่พรรคก้าวไกลจะกลายมาเป็นพรรคฝ่ายค้านที่ทรงพลังในรัฐสภาอย่างแน่นอน ในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย

ข้างต้น เป็นบทวิเคราะห์ของผม ถูกผิดประการใด ผมขอน้อมรับคำชี้แนะด้วยจิตคารวะ

‘สถานีกลางบางซื่อ’ นำเก้าอี้คลาสสิกกลับมาใช้ใหม่ งานนี้ชาวเน็ตเสียงแตก มอง!! สวยแบบผิดที่ผิดทาง

เมื่อวานนี้ (15 ก.ค. 66) งานนี้คอมเมนต์กันสนั่น! เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งได้โพสต์ภาพในกลุ่ม ‘รถไฟไทย TrainThailand’ เผยให้เห็นเก้าอี้ไม้สุดคลาสสิกสีน้ำตาล ถูกวางเรียงรายไว้ให้ประชาชนเข้ามาใช้บริการ โดยผู้โพสต์ได้ระบุแคปชันอธิบายไว้ว่า…

"สถานีกลางบางซื่อ วันนี้นำเก้าอี้ Classic มาปรับปรุงใช้ใหม่ ไม่ทิ้งเสียเปล่า สร้างบรรยากาศที่คุ้นเคย มาติดตั้งลงที่สถานี ถ้าสังเกตดี ๆ แต่ละตัวจะไม่เหมือนกันเป๊ะครับ แล้วแต่ช่างแต่ละที่ทำ แต่แบบจะเหมือนกัน แต่ละตัวน่าจะผ่านผู้คนและความทรงจำดี ๆ มาเยอะมากและทรุดโทรม (มาจากยะลาครับ) ตอนนี้ช่วยเขาให้มีชีวิตใหม่มีค่ากลับมา (คล้ายพลายศักดิ์สุรินทร์) ขอบคุณ ภาพจาก คุณ ..... ครับ"

ทำให้โพสต์นี้มีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นแบ่งเป็นสองฝ่ายว่าเห็นด้วยที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของสถานีรถไฟ, เก๋ไปอีกแบบ มี story, สวยดี ชอบ ร่วมสมัย ไม่ทิ้งกลิ่นการรอคอยใครแบบในอดีต คือยังไม่มาก็นอนรอได้, สวย ชอบ มองมาแล้วรู้สึกถึงวัยเด็ก 

ขณะที่หลายคอมเมนต์ที่ไม่เห็นด้วยกับบอกว่า มันไม่เข้ากับสถานีกลางบางซื่อที่ใหญ่โต มันไม่เข้าอะ สร้างสถานีใหญ่โต อันเก่าน่าจะเอาไปให้สถานีรายทาง, เก้าอี้มันดีก็จริง แต่อยู่ผิดที่ไปหน่อย, อะไรเอ่ย ไม่เข้าพวก, เหมือนปลูกบ้านใหม่ทรงโมเดิร์น แล้วใครสั่งตั่งมาตั้งในบ้านอะ มันไม่สวยก็คือไม่สวย ไม่ต้องมาคลาสสิกอะไรหรอกค่ะ เป็นต้น

‘รศ.ดร.เจษฎ์’ ชี้ ควรให้ระบบรัฐสภาจัดระเบียบโหวตนายกฯ ลั่น!! อยากเห็น 14 ล้านเสียงที่เลือก ‘ก้าวไกล’ ลงถนน

เมื่อไม่นานนี้ รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก เป็นนักวิชาการทางกฎหมาย และพิธีกรรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับประเด็นทางบ้านเมือง สังคม ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ ‘คมชัดลึก’ ทางช่อง Nation online เมื่อวันที่ 12 ก.ค. ที่ผ่านมานั้น รศ.ดร.เจษฎ์ได้กล่าวถึงความคิดเห็นต่อการโหวตนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ โดยเมื่อถามว่า รศ.ดร.เจษฎ์ ว่ามีความคิดเห็นอย่างไร กับการเคลื่อนไหวของมวลชน หลังผลโหวตนายกรัฐมนตรีออกมาว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่ผ่านด่าน ส.ว.ในรอบแรก รศ.ดร.เจษฎ์ ตอบว่า…

“ผมคิดว่า มีความน่าใจ และผมอยากเห็นคนทั้ง 14 ล้านคนที่เลือกคุณพิธา ลงถนนเพื่อสนับสนุนพรรคก้าวไกล และผมก็อยากเห็นคนอีก 27-28 ล้านคน ที่ไม่ได้เลือกพรรคก้าวไกล มาลงถนนด้วยกัน”

รศ.ดร.เจษฎ์ ยังกล่าวต่อว่า หากบอกว่าประชาธิปไตยคือการเดินเข้าสภาฯ คือการไปเลือก คือการ ‘บังคับ’ ให้ ส.ว. ต้องลงมติให้กับพรรคก้าวไกล ซึ่งได้คะแนนเลือกตั้ง 14 ล้านเสียง จากประชาชนที่มาเลือกตั้งกว่า 41-42 ล้านคน การที่ไปรวบรวมเอาคะแนนจากพรรคเพื่อไทยมาด้วย แล้วบอกว่าเป็นคะแนนของตัวเอง ตนก็ยังมีความแปลกใจอยู่ไม่น้อย ว่าสิ่งนี้คือประชาธิปไตยแบบไหน การลงถนนก็ถือเป็นการแสดงออกเชิงประชาธิปไตย ก็ลงถนนได้ และหากจะเรียกร้องเสรีภาพ โดยอ้างว่าต้องการใช้เสรีภาพ การจะด่ากันก็ถือเป็นเสรีภาพนะ การฆ่ากันก็เป็นเสรีภาพ แต่หากพูดในแง่ของกรอบสิทธิมนุษยชน ซึ่งต้องพูดในแง่ของกฎหมาย ก็อาจทำให้เสรีภาพถูกตัดรอนด้วยเสรีภาพซึ่งกันและกันได้

“ถ้าเราใช้คำว่า ‘เสรีภาพ’ มาอ้างในการทำสิ่งต่างๆ อาจได้เกิดการฆ่ากันตายแน่นอน แต่ถ้าหากเรามาพูดในกรอบสิทธิ มันจึงมีหน้าที่เข้ามาด้วย แล้วเรามีหน้าที่อะไรล่ะ? เรามีหน้าที่ต่อประเทศชาติร่วมกัน ถูกไหมครับ ท่านจะเชียร์ 14 ล้านเสียง ก็ช่างของท่าน หรือท่านจะไม่เชียร์ 14 ล้านเสียง ก็ช่างของท่าน แต่ในเมื่อเราต้องอยู่ร่วมกันในประเทศนี้ การที่ท่านเอาความชัง เอาความชอบส่วนตัวมาเป็นที่ตั้ง มันย่อมเป็นปัญหาแน่นอน การกดดันกัน และใช้วิธี ‘บังคับให้เลือก’ อย่างเช่น การบอกว่า พรรคก้าวไกล ได้คะแนน 14 ล้านเสียง แต่จะมามาบังคับให้ทุกคนเลือกตัวเองให้หมด เพราะตัวเองได้คะแนนเสียงมากที่สุด” รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าว

รศ.ดร.เจษฎ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่พรรคไทยรักไทย เคยได้คะแนนเสียง 377 เสียง แต่สุดท้ายพรรคไทยรักไทยกลับถูกกดดันให้ยุบสภาฯ และเกิดการปฏิวัติ รัฐประหารในที่สุด

“มันดีไหม การปฏิวัติ รัฐประหาร มันไม่ดีหรอก มันไม่ควรทำ ไม่มีใครเห็นชอบหรอก แต่เนื่องจากสาเหตุหลายประการ อย่างในกรณีที่คุณอานนท์ นำภา บอกว่า หากพรรคก้าวไกล ถอยจากมาตรา 112 เมื่อไร ตนจะลุยพรรคก้าวไกลทันที และคนจำนวนหนึ่งก็เห็นด้วย ในขณะที่อีกจำนวนก็บอกว่า หากแตะมาตรา 112 เมื่อไร ก็จะลุยพรรคก้าวไกลเหมือนกัน และหากพรรคก้าวไกลก็ยังดึงดัน ยืนยันที่จะผลักดันให้แก้ไขมาตรา 112 เพราะมีเสียงสนับสนุน… หากสังคมยังอยู่กันแบบนี้ ผมว่าบ้านนี้ก็คงจะมีแต่การสู้กันตาย อาจเกิดสงครามการเมืองแบบสหรัฐอเมริกา หรือเหมือนฝรั่งเศสอย่างที่เห็นๆ กันอยู่ในตอนนี้ เพราะฉะนั้น ผมคิดว่า เราต้องถอยกลับมาที่ระบบรัฐสภา ระบบรัฐสภา คือการหาทางออกร่วมกัน และไม่ได้เป็นการบังคับกัน และตามที่ผมได้เคยบอกไปแล้วว่า ระบบรัฐสภา ที่เอา ส.ส.มาลงมติให้ ส.ส. เป็นระบบสากลที่ทั่วโลกใช้ ตรงนี้ผมไม่เถียง แต่พอเป็นประเทศไทย ซึ่งมีการเกิดคำถามเพิ่มเติมมา แล้วประชาชนก็ไปลงมติ โดยเสียงข้างมากบอกให้มีคำถามเพิ่มเติม มันก็ต้องยอมรับว่านี่คือระบบของประเทศไทย” รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าว

นอกจากนี้ รศ.ดร.เจษฎ์ ยังกล่าวต่ออีกว่า หากจะบอกว่าในตอนนั้นไม่สามารถที่จะออกมาผลักดันได้ ว่าให้เห็นต่างในเรื่องของคำถามเพิ่มเติม ให้เห็นต่างในเรื่องของร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อคนที่สนับสนุน สามารถพูดได้มากกว่า ตนมองว่า โดยรวมแล้วประชาชนที่ไปใช้สิทธิ เป็นคะแนนบริสุทธิ์มากกว่าด้วยซ้ำไป ประชาชนที่จะเอาแบบนี้ก็จะไปว่าแบบนั้น ประชาชนที่จะเอาแบบนั้นก็จะไปว่าแบบนี้ จนท้ายที่สุด ต้องนำกลับเข้าสู่ระบบรัฐสภา ว่าจะต้องมี ส.ว.มาลงมติด้วย ส่วนเหล่า ส.ว.จะฟังเสียงกดดันหรือไม่ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัว ส.ว.เอง หรือเสียงกดดันจะยิ่งทำให้เขาอยากที่จะลงมติอีกแบบหนึ่งก็เป็นได้

“ผมคิดว่าทั้งหมดนี้ หากใช้การลงถนนแล้วบอกว่า จะยกระดับ จะทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟ จะฆ่ากันตาย แล้วเอามาข่มขู่กัน ผมคิดว่าแบบนี้จะอยู่กันลำบาก และก็ไม่ใช่เพียงแค่ 14 ล้านคน เพราะหาก 14 ล้านคน สามารถลงถนนได้ อีก 27-28 ล้านคนก็ทำได้เช่นกัน มันก็กลายเป็นว่าเกิดการฆ่ากันตายทั้งบ้านทั้งเมือง แล้วทำไปเพื่ออะไร? ทำเพื่อกลุ่มหนึ่งที่อยากได้คุณพิธาเป็นนายกฯ คนอีกกลุ่มหนึ่งบอกว่าไม่อยากได้คุณพิธาเป็นนายกฯ เพียงแค่นี้ก็อาจทำให้บ้านเมืองพังได้” รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าว

โดยสรุปแล้ว รศ.ดร.เจษฎ์ มองว่า สมควรให้ระบบรัฐสภามาจัดการในตัวของมันไป หากพรรคอันดับ 1 ไม่ได้ จะสลับอันดับ สลับขั้ว หรือเลือกแคนติเดตใหม่ เพื่อให้ประเทศชาติสามารถเดินกันต่อไปได้ ก็ว่ากันไป ไม่จำเป็นที่จะต้องเอาพลังมวลชนจากท้องถนนมากดดัน

“อีกประเด็นหนึ่งคือ ใครจะชนะก็แล้วแต่ โปรดย่าลืมว่า เมื่อครั้งหนึ่ง ปี 2535 ล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 ได้ทรงเตือน พลตรีจําลอง ศรีเมือง และพลเอกสุจินดา คราประยูร ถ้าพวกท่านชนะ บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร? ใครจะเป็นคนพ่ายแพ้ ผมมองว่าต้องมานั่งคิดในประเด็นนี้ด้วย จะรักใคร ชังใคร มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง” รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top