Tuesday, 20 May 2025
ค้นหา พบ 48202 ที่เกี่ยวข้อง

ตม.จว.เชียงราย เปิดยุทธการ Lanna Force Check ตรวจสอบคนต่างด้าวขออยู่ต่อในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว เพื่อศึกษาในสถานศึกษามูลนิธิและองค์กรสาธารณะในพื้นที่รับผิดชอบของ ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงราย

วันที่ 15 มิถุนายน 2566ที่ผ่านมา  พ.ต.อ.เขมชาติ วัฒนนภาเกษม ผกก.ตม.จว.เชียงราย เป็นประธานในพิธีปล่อยแถวระดมตรวจสอบคนต่างด้าวขออยู่ต่อในสถานศึกษามูลนิธิและองค์กรสาธารณะตามยุทธการ “Lanna Force Check” ของ บก.ตม.5 โดยบูรณาการร่วม

กับ  ศึกษาธิการจังหวัดเชียงราย ,หน.ฉก.ตชด.327 (ชป.แม่สาย) , สว.ส.ทท.2 กก.2 บก.ทท.2 , สภ.แม่สาย , เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอแม่สาย ,กองบังคับการควบคุมผาทมิฬหน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก ทั้งนี้เพื่อให้การป้องกันปราบปรามบุคคลต่างด้าวที่อาจเข้ามาแล้วก่ออาชญากรรม กระทำความผิดต่างๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจ

สอบตามวงรอบแผนมาตรการควบคุมตรวจสอบบุคคลต่างด้าวที่เข้ามาขออยู่ต่อในราชอาณาจักรด้วยเหตุผลเพื่อการศึกษาในสถานศึกษาของรัฐและเอกชน มูลนิธิหรือสมาคม ณ บริเวณหน้าที่ทำการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงราย

สันติ วงศ์สุนันท์/ผู้สื่อข่าวเชียงราย

‘Kim Ung-Yong’ มนุษย์ที่ฉลาดที่สุดในโลก ที่ยังมีชีวิตอยู่ กับเส้นทางชีวิตที่เลือกจะขอมี ‘ความสุข’ มากกว่า ‘ความสำเร็จ’


‘Kim Ung-Yong’ เด็กชายอัจฉริยะที่ทำให้โลกต้องตะลึง!!


‘Kim Ung-Yong’ หรือ ‘คิม อุงยอง’ ชายชาวเกาหลีใต้ ผู้ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘มนุษย์ที่ฉลาดที่สุดในโลกที่ยังมีชีวิตอยู่’ โดย Guinness World Records นั้นได้บันทึกสถิติว่าชายผู้นี้เป็น ‘คนที่มี IQ สูงที่สุดในโลก’ โดย IQ ของเขาสูงถึง 210 เลยทีเดียว


คุณจะทำอย่างไร? ถ้าคุณเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในโลก อาจฟังดูเป็นเรื่องที่ไร้สาระ แต่คำถามนี้เป็นสิ่งที่คิม อุงยอง ต้องเผชิญอยู่เสมอมา

คิม อุงยอง เกิดมาพร้อมกับความถนัดโดยกำเนิด และเป็นความถนัดด้านการเรียนรู้ที่ไม่สามารถหาตัวจับได้ ความสามารถทางสติปัญญาของเขาเป็นที่ประจักษ์ตั้งแต่อายุยังน้อย ความอัจฉริยะของเขาเริ่มเด่นชัดมากยิ่งขึ้นก่อนที่เขาจะเดินได้ด้วยซ้ำ เรื่องราวของเขานั้น นับเป็นหนึ่งในเรื่องที่ไม่ธรรมดาเลย เพราะเขามีความสามารถที่เหนือความคาดหมายที่สุดของคนปกติ และประสบความสำเร็จทางสติปัญญาอย่างน่าทึ่ง น่าแปลกที่วันนี้แทบจะไม่มีใครรู้จักชื่อของเขาเลย เกิดอะไรขึ้นกับ ‘คิม อุงยอง’ เด็กอัจฉริยะจากเกาหลีใต้คนนี้? 


‘Kim-Ung Yong’ หรือ ‘คิม อุงยอง’ เป็นลูกชายของ ‘Kim Soo-Sun’ บิดาผู้เป็นศาสตราจารย์ฟิสิกส์ของ Hanyang University และ ‘Yoo Myung-Hyun’ มารดาผู้เป็นอาจารย์ที่ Seoul National University เพราะเหตุนี้ เขาจึงดูเหมือนจะถูกลิขิตให้ไปสู่ความยิ่งใหญ่ทางวิชาการตั้งแต่เริ่มต้น อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครสามารถจินตนาการได้ว่าสติปัญญาของเขาจะพัฒนาไปจนถึงขีดสุดได้อย่างไร


เขาเกิดเมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2505 ในกรุงโซล เมืองหลวงของเกาหลีใต้ คิมไม่เสียเวลาเติมพลังสติปัญญาเลย เมื่อคิมอายุเพียง 4 เดือน เขาก็เริ่มพูดได้ พอ 6 เดือน เขาก็สามารถพูดจาสื่อสารได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว เมื่ออายุ 1 ขวบ เขาก็มีความเชี่ยวชาญทั้งอักษรเกาหลีและอักษรจีนมากกว่า 1,000 ตัวแล้ว จากการเรียน Thousand Character Classic ซึ่งเป็นบทกวีจีนในศตวรรษที่ 6 ความสามารถทางสติปัญญาของเขามีความโดดเด่นตั้งแต่อายุยังน้อยมาก เขาสามารถอ่านและเขียนได้หลายภาษา อาทิ ญี่ปุ่น เกาหลี เยอรมัน และอังกฤษ ตอนอายุ 3 ขวบ เขาสามารถแก้โจทย์แคลคูลัสได้แล้ว นอกจากนี้ เขายังจัดพิมพ์หนังสือเรียงความ คัดลายมือ พร้อมภาพประกอบความยาว 247 หน้า ด้วยความช่วยเหลือจากพ่อแม่ของเขาได้อย่างน่าประหลาดใจ!!


สติปัญญาที่เหลือเชื่อของ คิม อุงยอง ดูเหมือนจะมีอยู่ตั้งแต่ตอนที่เขาเกิด และถึงแม้จะอายุน้อย แต่พรสวรรค์ของคิมก็ไม่อาจปฏิเสธได้ เด็กอัจฉริยะชาวเกาหลีใต้คนนี้ได้รับความสนใจจากนานาชาติอย่างรวดเร็ว เมื่อเอายุได้ 5 ขวบ เขาก็สามารถพูดภาษาต่างๆ ได้อย่างคล่องแคล่วถึง 5 ภาษา อาทิ เกาหลี ญี่ปุ่น อังกฤษ เยอรมัน และฝรั่งเศส เขาได้เข้าเรียนเป็นนักศึกษาพิเศษของภาควิชาฟิสิกส์ที่ Hanyang University ซึ่งมีบิดาของเขาเป็นอาจารย์อยู่ที่นั่นอีกด้วย เห็นได้ชัดตั้งแต่เริ่มแรกว่า ความสามารถอันโดดเด่นของคิมนั้นจะเปลี่ยนวิถีชีวิตของเขา และอาจเปลี่ยนกระทั่งความเป็นมนุษย์ไปตลอดกาล


Terence Tao บุคคลที่มี IQ 230 สูงที่สุดในโลกในปัจจุบัน


‘บุคคลที่มีไอคิวสูงที่สุดในโลก’ ความเฉลียวฉลาดอันน่าทึ่งและความสามารถพิเศษของคิมนั้น เปรียบเสมือนแม่เหล็กดึงดูดความสนใจมากมายตั้งแต่อายุยังน้อย เมื่ออายุ 4 ขวบ คิมสร้างความประหลาดใจด้วยการทำคะแนนแบบทดสอบ IQ ที่ออกแบบมาสำหรับเด็กอายุ 7 ขวบได้อย่างน่าทึ่งถึง 210 คะแนน ความสำเร็จที่น่าประทับใจนี้ทำให้เขาได้รับการบันทึกว่า ‘เป็นผู้ที่มี IQ สูงที่สุดในโลก’ โดย Guinness Book of World Records (Terence Tao เป็นเจ้าของสถิติ IQ ที่สูงที่สุดในโลกที่ 230 คะแนนในปัจจุบัน)


ชื่อเสียงของเขาเผยกระจายอย่างต่อเนื่อง เมื่อเขาได้แสดงความสามารถทางคณิตศาสตร์ทางโทรทัศน์ช่อง ‘Fuji TV’ ของญี่ปุ่น ขณะที่เขาอายุได้เพียง 4 ปี 8 เดือน คิมเคยออกรายการโทรทัศน์ แสดงความสามารถแก้โจทย์คณิตศาสตร์ชั้นสูง ที่เรียกว่า ‘สมการดิฟเฟอเรนเชียล’ (Differential Equation) ที่ซับซ้อนได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว (ซึ่งปกติจะมีเรียนในหลักสูตรวิศวกรรมศาสตร์ชั้นปีที่ 3) จนบรรดาผู้ชมต่างประหลาดใจ

ในที่สุดสติปัญญาที่ก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้งของคิม ก็ได้ดึงดูดความสนใจขององค์กรอวกาศที่มีชื่อเสียงที่สุดของโลก ความเฉลียวฉลาดที่ไม่ธรรมดาของ ‘คิม อุงยอง’ ทำให้เขาได้รับคัดเลือกจาก ‘NASA’ องค์การอวกาศที่มีชื่อเสียงระดับโลก ให้เข้าร่วมงานเมื่อเขาอายุได้ 8 ขวบ ครอบครัวเขาจึงคว้าโอกาสนั้นไว้ เขาทำงานให้กับ NASA ประมาณหนึ่งทศวรรษ ในช่วงเวลานี้ เขาทำให้เพื่อนร่วมงานประหลาดใจอย่างต่อเนื่องด้วยความจำอันยอดเยี่ยม และความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน


อย่างไรก็ตาม การทำงานที่ NASA นั้นไม่ใช่เพียงแค่ความฝันเท่านั้น และชีวิตใหม่ของเขาก็ไม่ง่ายเลย เขารู้สึกโดดเดี่ยวและเดียวดาย ไม่มีเพื่อนนอกจากผู้ใหญ่ที่เขาทำงานด้วย ซึ่งอายุมากกว่ามาก และยุ่งเกินกว่าจะมาสังสรรค์กับเขา แม้จะยังไม่ใช่วัยรุ่น แต่เขาก็ทำงานหนักอย่างเหลือเชื่อ และทำประโยชน์อันมีค่ามากมายให้กับองค์กร แต่ในที่สุดเขาก็ท้อแท้กับงานที่ทำอยู่ คิมรู้สึกว่างานวิจัยของเขาถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการทำลายล้าง และบรรดาเจ้านายของเขาต่างก็ได้รับเครดิตจากการทำงานหนักและความคิดของเขา คิมรู้สึกว่า ตัวเองไม่มีคุณค่า ซ้ำยังถูกตีราคาเป็นมูลค่า และไม่มีความสุขเลย จนกระทั่งในที่สุด คิมและครอบครัวตัดสินใจเดินทางกลับเกาหลีใต้ในปี พ.ศ. 2521 เมื่อเขาอายุได้ 16 ปี และได้เข้าเรียนต่อจนจบ เขาสำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐานที่จำเป็นทั้งหมด และได้รับประกาศนียบัตรเทียบเท่ามัธยมปลายในเวลาเพียง 2 ปี หลังจากนั้น เขาสมัครเข้าเรียนใน Chungbuk National University ในสาขาวิศวกรรมโยธาจนจบปริญญาเอก


Kim Ung-Yong ในวัยหนุ่ม

การตัดสินใจออกจากองค์การ NASA ของคิมนั้น ทำให้สังคมเกาหลีใต้เต็มไปด้วยความสงสัยและมีคำวิจารณ์จากผู้ที่เห็นว่า การออกจากองค์การ NASA ของเขาเป็นการเสียพรสวรรค์อันน่าทึ่งของเขาไปโดยเปล่าประโยชน์ แม้จะประสบความสำเร็จก่อนหน้านี้ทั้งหมด แต่ชีวิตที่เหลือ (หลังจากออกจากองค์การ NASA) ของเขาก็จะเต็มไปด้วยคำวิจารณ์ประเภทนี้ และใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในฐานะ ‘อัจฉริยะที่ล้มเหลว’

โดยหลังจากจบปริญญาเอกแล้ว คิม อุงยองเข้าทำงานอย่างเงียบๆ ในบริษัทเกาหลีใต้ที่ชื่อ ‘Chungbuk Development’ โดยทำงานเป็นผู้จัดการระดับกลาง แม้ว่า อดีตเด็กอัจฉริยะคนนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากบางคนว่าเป็น ‘อัจฉริยะที่ล้มเหลว’ เนื่องจากไม่ได้ใช้ชีวิตตามสติปัญญาอันน่าทึ่งที่เขามี ถึงกระนั้น เขายังคงมองโลกในแง่ดีและค่อนข้างพอใจกับชีวิตของเขา


Kim Ung-Yong เป็นอาจารย์พิเศษที่ Chungbuk University

ในปี พ.ศ. 2550 เขาทำงานเป็นอาจารย์พิเศษที่ Chungbuk University จนกระทั่งต่อมาในปี พ.ศ. 2557 ในที่สุดเขาก็สมหวัง เพราะความฝันตลอดชีวิตของเขาคือ ‘การเป็นอาจารย์’ เขาออกจากบริษัท Chungbuk Development เข้าเป็นอาจารย์ของ Shinhan University ได้รับตำแหน่งรองศาสตราจารย์ เมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2557 และยังรับตำแหน่งรองประธานของ North Kyeong-gi Development Research Center หลังจากเริ่มงานใหม่ คิมได้บอกกับสื่อต่างๆ ว่า เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างเหลือเชื่อ โดยกล่าวว่า “ผมจะอุทิศตัวเองเพื่อสอนคนรุ่นต่อไป” แม้ว่า ประวัติของเขาจะดูไม่ธรรมดา แต่ดูเหมือนว่า คิม อุงยอง จะตัดสินใจตั้งแต่อายุยังน้อยที่จะให้ความสำคัญกับ ‘ความสุข’ มากกว่า ‘สถิติโลก’ ทำให้เขาเลือกที่จะหันหลังให้กับ IQ ที่สูงมากๆ และ ‘ความสำเร็จ’ ในวัยเด็กของเขา


ปัจจุบัน Kim Ung-Yong เป็นศาสตราจารย์ของ Chungbuk University

บทเรียนที่ต้องเรียนรู้จากชายที่ฉลาดที่สุดในโลก ซึ่งหลาย ๆ คนอาจมองชีวิตของคิม อุงยอง ว่า น่าผิดหวัง หรือล้มเหลว แต่มีบทเรียนที่ดีกว่าให้เรียนรู้จากเรื่องราวชีวิตที่พลิกผันและน่าสนใจของเขา การตัดสินใจของ คิม อุงยอง เป็นตัวอย่างหนึ่งในการเลือกชีวิตที่สงบสุขและมีความสุขมากกว่าความรุ่งโรจน์ ความสำเร็จ หรือความมั่งคั่ง แม้ว่าเขาจะมีความสามารถพิเศษทางปัญญาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก แต่เขากลับไม่พบความสุขกับบทบาทของเขาในฐานะ ‘เด็กอัจฉริยะ’ จนกระทั่งเขาใช้ชีวิตอย่างสงบและสบายขึ้น เขาจึงพบว่า “ตัวเองมีความสุข”


Kim Ung-Yong สรุปถึงทางเลือกของตัวเขาเองว่า 
“ผมกำลังพยายามที่จะบอกกับคนอื่นๆ ว่า ผมมีความสุขในแบบที่ผมเป็น”

คิม อุงยอง มีส่วนในการช่วยเหลือสังคมมากมายตั้งแต่อายุยังน้อย บางทีหนึ่งในบทเรียนที่สำคัญที่สุดที่ได้จากเขาคือ การตระหนักถึงความสำคัญของการเลือกความสุข เขากล่าวว่า “ชีวิตของเขาเป็นของเขาเอง ไม่ใช่คนรอบข้าง หรือวิสัยทัศน์ของผู้คนที่เกี่ยวข้องกับลูกหลานของพวกเขา” และเขายังกล่าวสรุปถึงทางเลือกของตัวเขาเองว่า “ผมกำลังพยายามที่จะบอกกับคนอื่นๆ ว่า ผมมีความสุขในแบบที่ผมเป็น”

หวังว่าเรื่องราวของ คิม อุงยอง จะช่วยให้พ่อ-แม่ในสังคมไทยได้เข้าใจลูกๆ และปล่อยให้ลูกๆ ได้เป็นอย่างที่พวกเขาอยากเป็น เพียงแต่พ่อ-แม่ช่วยดูแลให้ลูกอยู่ในแนวทางที่มีความเหมาะสมและพอดี โดยพิจารณาด้วยเหตุและผลที่ถูกต้อง ซึ่งทั้งพ่อ-แม่ และลูกๆ ต่างฝ่ายต่างยอมรับได้

‘วรวุฒิ อุ่นใจ’ ชี้ ทางออกผู้ประกอบการไทย ในวันที่ Crisis ทั้งใน-ต่างประเทศล้อมชิด 

เศรษฐกิจจะไปอย่างไรต่อ? ผู้ประกอบการไทยควรต้องระวังอะไรในช่วงที่สถานการณ์โลกและในเมืองไทยยังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ? อะไรคือความเสี่ยง? อะไรคือทางรอดที่จะทำให้ไปต่อได้?

หลากคำถามที่กล่าวมาข้างต้น คุณวรวุฒิ อุ่นใจ อดีตผู้ก่อตั้งบริษัทออฟฟิศเมท และอดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีโอแอล จำกัด (มหาชน) หรือ COL ได้ให้มุมมองแนะนำต่อผู้ประกอบการไทยถึงการปรับตัวในยุคที่วิกฤติต่างๆ เริ่มถาโถมก่อนที่ธุรกิจนั้นๆ จะปิดตัวไปอย่างน่าเสียดายผ่านรายการ ‘NAVY TIME เรื่องดี ๆ ประเทศไทยยามเช้า’ ออกอากาศช่วงเช้า เวลา 07.00- 08.00 น. ทางสถานีวิทยุเสียงจากทหารเรือวังนันทอุทยาน (ส.ทร.วังนันทอุทยาน) FM93 และ THE STATES TIMES ไว้ว่า...

“ตอนนี้เศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงเปราะบาง เหมือนกับคนเพิ่งฟื้นไข้ เราป่วยเป็นโควิด ปิดบ้าน-ปิดเมือง ค้าขายไม่ได้ ค้าขายฝืดเคืองมา 3 ปี นักท่องเที่ยวไม่เข้าประเทศ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ของไทยตอนนี้ เหมือนคนที่เพิ่งจะเริ่มฟื้นไข้ เพราะฉะนั้นการผ่าตัดระบบเศรษฐกิจไทยด้วยเรื่องใหญ่ๆ อันตรายอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงระบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของระบบโครงสร้างการขึ้นค่าแรงต้องระวังให้มาก เพราะมันเหมือนกับร่างกายยังไม่แข็งแรง ดังนั้นหากให้ผมมองแล้ว การเลือกอัดฉีดเงินเข้าไปช่วยเหลือผู้ประกอบการอย่างเร่งด่วน จึงน่าจะเป็นเรื่องแรกๆ ที่ต้องทำก่อน”

คุณวรวุฒิ กล่าวต่อว่า “ไม่ว่าจะต้องผ่านเข้าสู่ยุครัฐบาลใด ผู้ประกอบการ ก็ต้องอยู่ให้ได้ทุกสภาวะ ฉะนั้นการปรับปรุงตัวเอง ปรับธุรกิจตัวเอง จึงเป็นทางเลือกและทางรอดที่หนีไม่พ้น พูดง่ายๆ ไม่ว่ารัฐบาลไหนจะมา รัฐบาลไหนจะไปเราก็ต้องดูแลตัวเอง”

ทั้งนี้ คุณวรวุฒิ ได้เปิดเผยถึงความเสี่ยงในโลกที่จะกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของเหล่าผู้ประกอบการไทยในยุคที่ต้องเท่าทันต่อสถานการณ์โลก ไว้อย่างน่าสนใจดังนี้...

1.) การถดถอยทางเศรษฐกิจโลก วันนี้เราก็ทราบกันดีว่าโลกกำลังเผชิญผลกระทบจากสภาวะของสงครามรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงเรื่องของแทรกแซงตลาดจีนโดยสหรัฐฯ ส่งผลให้เกิดการแบ่งขั้วอำนาจ และก่อเป็นสงครามการรบในโลกยุคใหม่ ที่มีทั้งสงครามทางเศรษฐกิจ ผสมผสานกับสงครามจริง ต่างจากสงครามยุคก่อนที่มุ่งรบกันด้วยอาวุธและไทยซึ่งเป็นประชาคมโลกก็ยากที่จะหลีกหนีจากภัยสงครามรูปแบบนี้ (สงครามเศรษฐกิจ)

2.) ภัยจากโรคระบาด วันนี้โควิด-19 ยังไม่หายไป และเราก็ไม่แน่ใจจะมีโควิดภาค2 กลายพันธุ์ไปอีกหรือเปล่า อันนี้ก็เป็นความเสี่ยงที่ประเทศเราต้องจับตาดู
.
3.) ความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ จะเห็นว่าวันนี้โลกกำลังประสบกับสภาวะ Global Warming หรือโลกร้อน ที่ส่งผลกระทบให้เกิดสารพัดภัยธรรมชาติที่รุนแรงและถี่ยิบกว่าในอดีตเมื่อเทียบกับ30-40 ปีก่อน สังเกตได้ว่าตอนนี้ภัยธรรมชาติหนักหนามากและเกิดถี่มากและเกิดขึ้นทุกภูมิภาคทั่วโลก ไม่ว่าเรื่องของน้ำแข็งขั้วโลกละลาย เรื่องของไฟป่า เรื่องของฝุ่นควัน หมอกควัน ฝุ่นพิษ PM 2.5” 

4.) ความเสี่ยงที่กล่าวมา คุณวรวุฒิ มองว่า เป็นตัวกดดันให้การทำธุรกิจในยุคปัจจุบันต้องเผชิญความเสี่ยงที่มากกว่าในอดีต เพราะทุกความเสี่ยงโยงใยต่อการกำหนดทิศทางธุรกิจ การบริหารจัดการต้นทุน รายได้ และกำลังซื้อเป็นอย่างมาก ดังนั้นหากผู้ประกอบการจะอยู่ให้รอดภายใต้ความเสี่ยงเหล่านี้ จะเป็นต้อง 1.ปรับตัว 2.ใช้นวัตกรรมต่างๆ มาประยุกต์กับธุรกิจ 

“ตัวอย่างที่ใกล้ตัวที่สุด คือ ในยุคนี้ถ้าใครไม่ใช้ออนไลน์ บอกเลยว่าธุรกิจของคุณจะเดินต่อได้ยาก เช่น ในเรื่องของยอดขาย จากสถิติล่าสุดออนไลน์มีสัดส่วนเท่ากับ 16% ของระบบการค้าไปแล้ว นี่ยังน้อยนะ อนาคตอันใกล้น่าจะเห็น 30-40% และมันจะยังเติบโตไปได้อีกเรื่อยๆ ฉะนั้นธุรกิจในภาคค้าปลีก ก็ต้องสวิตช์ตัวเองไปเป็นออนไลน์มากขึ้น แต่ถ้าผู้ประกอบการยังหวังพึ่งการขายแบบเดิมๆ โดยที่ยังไม่มีส่วนผสมของออนไลน์มาช่วย การแข่งขันในระยะยาวลำบากแน่นอน นี่คือตัวอย่างแรก

“ต่อมา คือ Innovation หรือ ‘นวัตกรรม’ เป็นสิ่งที่ขาดจากชีวิตไม่ได้อีกต่อไป เพราะผมเชื่อว่าวันนี้ทุกคนคงยอมรับถึงตัวแปรที่ทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไวในรอบ 20 ปี จากอินเตอร์เน็ต ที่สร้างแรงกระเพื่อมให้เกิดเทคโนโลยีใหม่ๆ ตามมา (Smart Device) จนเข้ามาเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค เปลี่ยนการกินอยู่ เปลี่ยนการบันเทิง เมื่อก่อนใครจะไปคิดว่าทีวีจะถูกทิ้งร้างแล้วหันมานั่งดูหนังผ่าน Steaming แทน เมื่อก่อนใครจะคิดว่าแผ่นซีดีหนัง เพลง จะสูญพันธุ์ 

“ใครจะคิดว่าโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็น Facebook / YouTube / Twitter / TikTok และในอนาคตอีกมากมาย จะเข้ามามีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิต ทั้งการเสพข่าวสาร เปิดโลกไลฟ์สไตล์ รสนิยมใหม่ๆ รวมถึงซื้อขายสินค้าในแพลตฟอร์มเหล่านี้ได้แค่นิ้วคลิก นี่คือ สิ่งที่ผมอยากจะฝากผู้ประกอบการวันนี้ให้ตระหนัก” 

“ถ้าเราไม่เปลี่ยนหรือไม่ปรับตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่เดินตามนวัตกรรมที่มาช่วยขับเคลื่อนชีวิตพวกเขา ธุรกิจของเราก็จะตายไปโดยปริยาย” คุณวรวุฒิ กล่าวทิ้งท้าย

‘นพ.รุ่งเรือง’ ขึ้นศาล จ.นนทบุรี เอาผิดคนป่วน กระทรวงสาธารณสุข ทำลายอนุสาวรีย์ สมเด็จย่า

เพจเฟซบุ๊ก โฆษกกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ได้โพสต์ ข้อความเกี่ยวกับที่  นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ หัวหน้าที่ปรึกษาระดับกระทรวง ได้ไปขึ้นศาลจังหวัดนนทบุรี เพื่อเอาผิดกับคนที่มาป่วนกระทรวงสาธารณสุข และทำลายอนุสาวรีย์ สมเด็จย่า โดยมีใจความว่า ...

ไม่มีใครอยากจะขึ้นศาลหรือเป็นคดีความ 

นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ หัวหน้าที่ปรึกษาระดับกระทรวง (นพ.ทรงคุณวุฒิ ระดับ 11) ผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ เปิดเผยว่า เช้าวันนี้ (15 มิถุนายน 2566) หมอมาขึ้นศาลจังหวัดนนทบุรี ในคดีที่มีกลุ่มคนมาทำลายพระบรมรูปอนุสาวรีย์ สมเด็จพระราชบิดา สมเด็จย่า กรมหลวงชัยนาทนเรนทร ด้วยการสาดสีแดง เอาเชือกดึงอนุสาวรีย์ท่านให้พังลงมา  และท่านเป็นศูนย์รวมดวงใจของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขทุกคน นอกจากนี้กลุ่มบุคคลดังกล่าว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเยาวชน และมีแกนนำ รวมถึงกลุ่มคนที่จัดตั้งขึ้นได้มาประท้วงทำลายข้าวของ ทำลายสถานที่กระทรวงสาธารณสุข ด้วยการสาดสีแดง

ในวันนั้น หมอออกไปรับม็อบพยายามเจรจาด้วยสันติวิธีแต่ไม่เป็นผล กลุ่มบุคคลดังกล่าวทั้งด่ากระทรวงสาธารณสุข ด่าผู้บริหารระดับสูง โจมตีด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หลอกลวงพี่น้องประชาชนให้หลงเชื่อ รวมถึงใช้คำหยาบคาย ด่าบิดามารดาของหมอ ด้วยคำหยาบคายมากๆ เช่น อวัยวะเพศ ซึ่งคดีดังกล่าว หมอได้ติดตามทำงานร่วมกับตำรวจ จนสามารถจับกุมคนร้ายได้ทั้งหมด และส่งฟ้องศาล เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างที่ไม่ดีแก่เยาวชน และพี่น้องประชาชน 

ในตอนนี้ สามารถบังคับใช้กฎหมายจนผู้กระทำผิดถูกลงโทษ (น่าจะถึงขั้น “จำคุก”) แม้ว่าจะเหนื่อยมากๆ นับตั้งแต่วันที่เริ่มรวบรวมพยานหลักฐาน ตามจับกุมผู้ต้องหา จนถึงส่งฟ้องศาล แต่ถ้าเราไม่ทำอะไรปล่อยให้คนผิดลอยนวล ต่อไปจะเป็นเยี่ยงอย่าง แล้วสังคมจะอยู่ได้อย่างไรหมอขอขอบคุณ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่มารักษาความปลอดภัยให้กับทางกระทรวงสาธารณสุข จนถูกทำร้ายร่างกายไปด้วย จนถึงการทำงานอย่างจริงจังของตำรวจ การรวบรวมพยานหลักฐาน และจับตัวผู้กระทำผิดส่งฟ้องศาลจนศาลลงโทษผู้กระทำผิด

แต่สำหรับหมอแล้ว การปราบคนพาล อภิบาลคนดี ดูแลส่งเสริมคนดี และอย่าให้คนชั่ว คนพาล มีอำนาจหรือลอยนวลจากการกระทำความผิดเป็นเรื่องที่ระลึกและต่อสู้มาโดยตลอดชีวิตข้าราชการตั้งแต่เป็นตำรวจจนมาเป็นหมอในปัจจุบัน ครับ

หมออยากฝากถึงทุกๆ ท่าน ตามพระบรมราโชวาทของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่หมอยึดมั่นปฏิบัติเสมอมา พระองค์ทรงพระราชทานไว้ว่า 

“ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้คนทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้...”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top