มีเราไม่มีแล้ง!! ครม.เท 4 พันล้าน!! เพิ่มประสิทธิภาพ การบริหารจัดการน้ำไม่ให้แล้ง!!
#จดหมายเหตุลุงตู่ #8ปีที่เปลี่ยนไป #ยุบสภา

#จดหมายเหตุลุงตู่ #8ปีที่เปลี่ยนไป #ยุบสภา
นายกฯ เผย ประวิตร นำครม.อวยพรวันคล้ายวันเกิด ให้มีความสุข สุขภาพแข็งแรง ยืนยันไม่ขัดแย้งกับใคร ชมครม.ชุดนี้อยู่กันนาน เกิดความรักความผูกพัน ด้านอนุทินโผกอดนายกฯ ยืนยันสัมพันธ์แน่น
(21 มี.ค.66) ภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรีแล้วเสร็จ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง บรรดารัฐมนตรีได้นำแจกันดอกไม้ พวงมาลัย เข้าอวยพรวันคล้ายวันเกิด พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ห้องสีเหลืองตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล
จากนั้นพลเอกประยุทธ์ เปิดเผยว่า พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีนำคณะรัฐมนตรี อวยพรวันคล้ายวันเกิดให้กับตนเอง เป็นประจำทุกปี ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมของคนไทยด้วยกันอยู่แล้ว และคณะรัฐมนตรีชุดนี้อยู่ด้วยกันมายาวนาน จึงเกิดความรักและความผูกพันกันเป็นอย่างมาก และมากกว่าอย่างอื่น ดังนั้นหลายเรื่องขออย่านำไปโยงให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกัน ซึ่งพลเอกประวิตรอวยพรให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง ประสบความสำเร็จ
และยืนยันว่าตนเองมีความสุขทุกวันกับการทำงานร่วมกับ ครม. เนื่องจากไม่เคยมีปัญหาใดๆ กับคณะรัฐมนตรี และทุกพรรคการเมืองถ้าไม่รักกันก็จะทำงานไม่สำเร็จ ดังนั้นในห้วงเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมา ย้ำว่าก็เพราะร่วมมือกัน รักกัน ไม่ขัดแย้งกันจึงสำเร็จ
ส่วนการประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้มีวาระการพิจารณาน้อย โดยเน้นหนักไปที่การทำความเข้าใจกฎระเบียบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ว่าตามกฎหมายแล้วมีสิ่งใดที่ทำได้หรือทำไม่ได้บ้าง ซึ่งบางโครงการอาจทำได้ แต่จำเป็นต้องขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้งเห็นชอบก่อน เพราะเป็นช่วงเวลาของการเมืองที่เดินหน้าเข้าสู่การเลือกตั้ง แต่ขณะเดียวกันก็ต้องบริหารราชการแผ่นดินควบคู่ไปด้วย โดยรัฐมนตรีทุกคนรับทราบแนวปฏิบัตินี้แล้วทุกเรื่อง
'ชัยวุฒิ' เผย นายกฯ ไม่กำชับ รมต.-ส.ส. หวั่นผิดระเบียบ กกต. บอกทุกคนรู้อยู่แล้ว เชื่อพรรคร่วมรัฐบาลอยากจะทำงานร่วมกันต่อ บอกขัดแย้งกัน รัฐบาลล้มไปแล้ว
(21 มี.ค.66) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ หรือ พปชร.เปิดเผยภายหลังเข้าอวยพร พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในวันเกิดอายุครบ 69 ปี ว่า นายกฯ ขอให้ทุกคนทำงานราบรื่นประสบความสำเร็จ ให้รักและสามัคคีกันไว้ เป็นพรรคร่วมรัฐบาลทำงานมาดูกัน 4 ปีไม่มีความขัดแย้งอยู่แล้ว รักกัน สามัคคีกันอยู่แล้ว ก็น่าจะทำงานด้วยกันต่อไป
เมื่อถามว่า นายกฯ ยังคาดหวังว่าจะทำงานร่วมกันต่อกับพรรค พปชร.ใช่หรือไม่ นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรกัน แต่การเมืองก็เป็นเรื่องของการเลือกตั้ง ก็ว่าไปตามพื้นที่และบริบทของผู้สมัคร การแข่งขันตามระบบประชาธิปไตย ส่วนการจัดตั้งรัฐบาล ผมก็เชื่อว่าทุกคนอยากจะทำงานร่วมกันต่อไป พร้อมยืนยันว่าไม่มีการขัดแย้งกันถึงเดินหน้ามาได้ 4 ปี ถ้ามันขัดแย้งกันก็คงล้มไปแล้วรัฐบาล
อัครา รีซอร์สเซส เจ้าของเหมืองทองรายเดียวในไทย ได้ฤกษ์กดปุ่มเดินเครื่องถลุงแร่แล้ว 20 มี.ค. 2566 ที่ผ่านมา หลังต่อสู้ยาวนานกว่า 6 ปี ลุยสร้างงาน สร้างอาชีพ ระบบเศรษฐกิจในท้องถิ่นกลับมาคึกคัก พร้อมส่งเงินเข้า 4 กองทุนตามเงื่อนไขของกฎหมาย
นายเชิดศักดิ์ อรรถอารุณ ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายความยั่งยืนขององค์กร บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 15 มี.ค. 2566 บริษัทได้รับหนังสือจากสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดพิจิตร แจ้งให้ทราบว่า ได้ออกใบอนุญาตการเปิดการทำเหมืองและการประกอบโลหกรรมให้แก่บริษัทแล้ว
และต่อมาวันที่ 16 มี.ค. 2566 บริษัทก็ได้รับหนังสืออนุญาตเปิดการทำเหมืองสำหรับประทานบัตรฝั่งเพชรบูรณ์ จากสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดเพชรบูรณ์เช่นเดียวกัน
ซึ่งส่งผลให้บริษัทสามารถเปิดดำเนินกิจการได้เต็มรูปแบบ โดยคงมาตรฐานการประกอบการในระดับสากล ภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง และยึดหลักธรรมาภิบาลที่ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคม
ทั้งนี้ บริษัทมุ่งหวังเป็นส่วนสำคัญในการสร้างงาน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพื่อประโยชน์ของชุมชนโดยรอบและประเทศ
โดยเมื่อวันที่ 20 มี.ค. 2566 นายวรงค์ สราญฤทธิชัย ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายบริหารองค์กร ร่วมกับนายเชาว์ลิต ทองคำ หัวหน้างานอาวุโสฝ่ายผลิต อาศัยอยู่ที่หมู่ 3 บ้านเขาดิน ตำบลเขาเจ็ดลูก อำเภอทับคล้อ จังหวัดพิจิตร ซึ่งทำงานกับบริษัทมากว่า 22 ปี เป็นตัวแทนพนักงานกดปุ่มเดินเครื่องจักร และได้กล่าวกับเพื่อนพนักงานว่า
“กว่า 6 ปีที่เราสู้ด้วยกันมาตลอด เพื่อพาพี่น้องของเรากลับบ้าน วันนี้พวกเราทำสำเร็จแล้ว ชุมชนของพวกเราจะไม่เงียบเหงาอีกต่อไป”
โดยบรรยากาศเต็มไปด้วยความปลื้มปีติของพนักงานที่มาร่วมเป็นสักขีพยานในการกดปุ่มเดินเครื่องจักรอีกครั้ง และทันทีที่เรากดปุ่มเดินเครื่องจักร เท่ากับเป็นการกดปุ่มเดินหน้านำเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในทันที โดยบริษัทต้องสมทบเงินเข้ากองทุนจำนวน 4 กอง คิดเป็น 21% ของค่าภาคหลวงแร่ที่บริษัทชำระให้กับรัฐบาล หรือรวมแล้วต้องไม่น้อยกว่า 65 ล้านบาทต่อปี ตามกรอบนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคํา ซึ่งส่งผลให้มีเม็ดเงินจากกองทุนไปใช้ในการขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนและสาธารณประโยชน์ต่าง ๆ ในพื้นที่
(21 มี.ค.66) แกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) นำโดยนายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะทำงานนโยบาย และประธานกรรมการด้านเศรษฐกิจ พรรคพท. นายกิตติ ลิ่มสกุล รองหัวหน้าพรรค นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด ประธานคณะกรรมการประสานงานด้านการเมืองพื้นที่กรุงเทพฯ นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ประธานภาคกรุงเทพฯ นายวราวุฒิ ยันต์เจริญ กรรมการประสานงานด้านการเมืองพื้นที่กรุงเทพฯ นายดนุพร ปุณณกันต์ ประธานคณะกรรมการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง กรุงเทพฯ นายจักรพงษ์ แสงมณี นายทะเบียนพรรคและคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ พรรคพท.น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ ส.ส.หนองคาย พรรคพท.ร่วมหารือแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกับหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
นายเศรษฐา กล่าวว่า ปัญหาเศรษฐกิจเป็นแนวทางที่ทุกพรรคการเมืองให้ความสำคัญ พรรคพท.ซึ่งดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจในอดีต สร้างความพึงพอใจให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตสำหรับคนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไป จะกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ส่วนจำนวนเงินจะบอกอีกครั้ง ไม่ใช่ 500-600 บาทแน่นอน ซึ่งจะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนทางเศรษฐกิจได้เป็นทวีคูณ
นอกจากนี้จะใช้นโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามปรัชญา ‘นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้’ เพิ่มการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ สร้างรายได้ต่อไร่ให้กับเกษตรกร 3 เท่า เพิ่มแหล่งกักเก็บน้ำในทุกพื้นที่ หากพรรคพท.ได้รับโอกาสจากประชาชน เราจะดำเนินการตามนโยบายโดยไม่เสียวินัยการเงินการคลัง สร้างเม็ดเงินภาษีสู่ประเทศแม้จะเป็นกลุ่มชายขอบของสังคมหรือกลุ่มรายได้น้อย
ทั้งนี้ 8 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยบอบช้ำไปมาก เรายินดีปรับปรุงแก้ไข ขอให้ภาคเอกชนสบายใจได้ สิ่งที่ดีเราจะสานต่อและพร้อมฟื้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้น
นพ.พรหมินทร์ กล่าวว่า หลักการของพรรคพท.ในการผลักดันเศรษฐกิจมี 3 ด้านหลัก ๆ คือ
1.ภาครัฐจัดเก็บภาษีจากกำไรในการประกอบธุรกิจของภาคเอกชน 20% ดังนั้นภาครัฐถือเป็นหุ้นส่วนกับประชาชนในการนำเงินภาษีมากระตุ้นเศรษฐกิจ
2.เพิ่มกำลังซื้อและเพิ่มอำนาจการจับจ่ายของประชาชน ผ่านการยกฐานเศรษฐกิจด้านล่างขึ้น ค้าขายจะดีขึ้น กำลังซื้อเพิ่ม การผลิต การจ้างงานจะเพิ่มขึ้น การจัดเก็บภาษีจะเพิ่มขึ้นเพื่อมาดูแลประชาชนได้ดีขึ้น