Thursday, 19 June 2025
ค้นหา พบ 48889 ที่เกี่ยวข้อง

สรุปสถานการณ์ตลาดน้ำมันสัปดาห์ที่ 6 - 10 ก.พ. 66 จับตาปัจจัย ‘บวก-ลบ’ พร้อมแนวโน้ม 13 - 17 ก.พ.66

ราคาน้ำมันดิบ ICE Brent และ NYMEX WTI เฉลี่ยสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้น จากความกังวลว่าอุปทานน้ำมันดิบมีแนวโน้มตึงตัว หลังนาย Alexander Novak รองนายกรัฐมนตรีรัสเซีย เผยแผนลดการผลิตน้ำมันดิบในเดือน มี.ค. 66 ลง 0.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือประมาณ 5% ของปริมาณการผลิตของรัสเซีย เพื่อตอบโต้ชาติตะวันตกที่ออกมาตรการตั้งเพดานราคาน้ำมัน (Price Cap) จากรัสเซียซึ่งขนส่งทางทะเล ตั้งแต่วันที่ 5 ธ.ค. 65 พร้อมทั้งกล่าวย้ำว่าจะไม่จำหน่ายน้ำมันให้แก่ชาติที่เข้าร่วมมาตรการ Price Cap น้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปจากรัสเซียทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งนี้ รัสเซียผลิตน้ำมันดิบและคอนเดนเสทในช่วงสัปดาห์แรกของเดือน ก.พ. 66 อยู่ที่ 10.93 ล้านบาร์เรลต่อวัน (ผลิตคอนเดนเสทประมาณ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน)

ในขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นจากคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันโลกมีแนวโน้มฟื้นตัว โดยธนาคาร Australia and New Zealand Banking Group Ltd. (ANZ) ของออสเตรเลียชี้ว่าอุปสงค์น้ำมันของจีนที่ฟื้นตัว หลังยกเลิกมาตรการ Zero-COVID ที่ดำเนินการอย่างเข้มงวดมานานกว่า 3 ปี จะเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาน้ำมันโลกในปีนี้ ทั้งนี้ ANZ คาดการณ์อุปสงค์น้ำมันของจีนในปี 66 จะเพิ่มขึ้น 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากปีก่อนหน้า หรือประมาณ 50% ของอุปสงค์โลกซึ่งจะเพิ่มขึ้น 2.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากปีก่อนหน้า ขณะที่เลขาธิการ OPEC นาย Haitham al-Ghais คาดว่าอุปสงค์น้ำมันโลกในปี 66 จะอยู่ที่ 102 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งสูงกว่าระดับก่อนการแพร่ระบาดของ COVID-19 และจะเติบโตสู่ 110 ล้านบาร์เรลต่อวัน ภายในปี 68

สัปดาห์นี้คาดว่าราคา ICE Brent จะเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 83 - 88 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล โดยนาย Haitham al-Ghais คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบ ICE Brent จะแตะระดับ 100 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในปี 66 ขณะที่นาย Afshin Javan ผู้แทนอิหร่านประจำ OPEC คาดว่าราคาน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 100 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในช่วงครึ่งหลังของปี 66

'พระพยอม' ให้ข้อคิดเนื่องใน 'วันวาเลนไทน์' เตือนสติวัยรุ่น ระวังถูกหลอก แนะรักอย่างถูกวิธี

(13 ก.พ. 66) เมื่อเวลา 15.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในวันพรุ่งนี้ก็จะเข้าสู่เทศกาล 'วันแห่งความรัก' หรือ 'วันวาเลนไทน์เดย์' (Valentine's Day) เป็นวันที่ 14 ก.พ. 66 นี้ ของทุก ๆ ปี ที่จะมีหนุ่มสาวและอีกหลายผู้คนทั่วโลก ออกมาแสดงสื่อถึงการบอกรักกัน หรือมอบสิ่งที่ดี ๆ ให้แก่กันและกัน เพื่อเเสดงออกถึงวันแห่งความรัก เป็นสากลกันทั่วโลกในวันนี้

'พระราชธรรมนิเทศ' หรือ 'พระพยอม กัลยาโณ' พระนักเทศน์ชื่อดัง เจ้าอาวาสแห่งวัดสวนแก้ว จังหวัดนนทบุรี ได้เทศน์ฝากเตือนสติหนุ่มสาวในวันแห่งความรัก หรือวันวาเลนไทน์เดย์นี้ 

"ช่วงวาเลนไทน์ อยากจะเตือน น้อง ๆ สาว ๆ รุ่น ๆ อย่าหมกหมุ่นกับวันวาเลนไทน์ แบบเสื่ยมเสีย แบบเสียหาย เขาเรียกว่า วันหิวกระหายเสียตัว อย่าให้กิเลสตัณหา ความเป็นเสือหิว เรื่องเพศนี้เข้ามาผลักไส จนเราเข้าสู่มุมอับของชีวิต สุดท้ายถูกหลอก จากภาพหนุ่มหล่อ ๆ สาวสวย ๆ หรือของแบรนด์เนมฝรั่งหรู ๆ อะไรแบบเนี่ย มาล่อลวงติดต่อเรา ทั้งที่จริงบางทีคนติดต่อลวงเรา อาจไม่สวย หล่อ ตรงปกเหมือนภาพที่ส่งให้เราดูแต่แรก ในเมื่อก่อนวันวาเลนไทน์ ผลเสียมีไม่มาก 

แต่ช่วงนี้มีการเปลี่ยนมาจับทิศทางการหลอกลวงทางเทคโนโลยี มันวิวัฒนการไปสู่ความวินาศทางเพศ ข้อสำคัญฝากไว้ อย่าลืมหลัก ถ้าคิดจะมีรัก ต้องมีรู้ มีรักค่อยมีลูก ถ้าเรียนยังไม่ถึงไหนเลย ม.1-ม.2 ไปมีรักแล้ว รู้ก็ยังไม่รู้เลย หากพลาดพลั้งมีลูก ต้องดรอปเรียนอีก ระวังกันด้วยพวกที่อยู่ในวัยเรียน ควรจะพรากเพียรศึกษาก่อน รักรอได้ แต่ระวังอย่าให้รักเป็นต่อขึ้นตา ที่เขาว่ากัน รักทำให้คนตาบอด

พี่ยุ สาวรอรักแท้ ลุ้นนอนไม่หลับ รอหนุ่มอีสานด้วยความตื่นเต้น มาขอความรัก 1,200 กก. พรุ่งนี้ ขณะนักข่าวญี่ปุ่นขอสัมภาษณ์ งานอีเว้นท์ติดต่อ เพียบ

(13 ก.พ. 66) สาวสตูลผู้รอรักแท้จากหนุ่มอีสานที่เดินทางไกลด้วยเท้า 1,200 กิโลโดยใช้เวลา 1 เดือนเพื่อมาขอรับรักสาวในวันพรุ่งนี้ที่จะครบตามคำมั่นสัญญานั้น โดยสาวสตูลหรือที่รู้จักในนามพี่ยุ หม้ายสาวใหญ่แม่ค้าออนไลน์ (นางสาวธนาภา เขียวอ่อน) อายุ 56 ปี บ้านเลขที่ 132 หมู่ที่ 8 ตำบลทุ่งหว้า อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล ยอมรับกับสื่อมวลชนว่าได้เฝ้ารอวันเวลาที่จะมาถึงในวันพรุ่งนี้อย่างตื่นเต้น เพราะตลอดระยะเวลาที่รู้จักกันมาทางติ๊กต็อกไม่เคยพบหน้าเห็นตากันมาก่อน ยอมรับว่าต้องรู้สึกเขินและอายเหมือนกัน พี่ก็จะบอกอาการไม่ถูก

ซึ่งในวันพรุ่งนี้ก็มีเซอร์ไพรเล็ก ๆ ต้อนรับพี่แมว หรือ (นายสุเทพ พร้อมจิต อายุ 52 ปี ชาวยโสธร) โดยมีการทำเสื้อสีชมพู ข้อความ “พิสูจน์รักแท้ 1,200 กก.” สวมใส่ภายในงาน โดยคนที่มาร่วมงานในวันดังกล่าวจะสวมเสื้อสีชมพูกันทุกคนให้พี่แมว ที่เดินทางมาถึงที่ว่าการอำเภอทุ่งหว้า ตามหาว่าคนไหนคนพี่ยุ (พูดพลางหัวเราะ) พี่ยุ บอกด้วยว่า การพิสูจน์รักในครั้งนี้ของพี่แมว ทำให้ตนยอมรับและรับรักเพราะนี่คือบทพิสูจน์ที่ใครหลายคนมักมองว่า การคบหรือรู้จักกันผ่านโซเซียลสุดท้ายอยู่ที่การกระทำมากกว่า ว่าเขารักและจริงใจกับเรามากแค่ไหน หลังจากจดทะเบียนสมรสกันแล้ว มีคนติดต่อให้มาออกงานอีเว้น ในอำเภอทุ่งหว้า และอำเภอละงู เพื่อโปรโมทรักแท้จังหวัดสตูลให้เป็นที่รู้จัก ซึ่งความรักในครั้งนี้ยังได้รับความสนใจนอกจากสื่อในประเทศแล้ว สื่อต่างแดนอย่างประเทศญี่ปุ่นก็ติดต่อมาขอสัมภาษณ์ ที่จะบอกรักให้คนทั่วโลกรับรู้ว่านี่คือการพิสูจน์รักแท้ ของคนไทยที่มีต่อกัน ส่วนอนาคตวางแผนจะมีบุตรด้วยกันหรือไม่นั้น  พี่ยุ บอกด้วยน้ำเสียงตกใจและหัวเราะลั่นว่า ไม่เอาบุตรแน่นอน เพราะพี่ยุก็มีลูกติดแล้วถึง 4 คนเช่นเดียวกันกับพี่แมวก็มีลูกติดเหมือนกัน ซึ่งอนาคตหลังจากนี้จะไปจัดงานแต่งที่บ้านของพี่แมว และจะตระเวนท่องเที่ยวอย่างที่ใจของเราทั้งสองวางแผนไว้

มสส.ร่วมกับสสส.ถก 'สางปม บุหรี่ไฟฟ้า' ชี้สุดอันตรายและไม่ช่วยเลิกบุหรี่มวน

มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.)ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)จัดประชุมโฟกัสกรุ๊ปเรื่อง 'สางปม บุหรี่ไฟฟ้า... หลากปัญหา รอวันแก้'

(13 ก.พ.66) มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ(มสส.)ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)จัดประชุมโฟกัสกรุ๊ปเรื่อง "สางปม บุหรี่ไฟฟ้า... หลากปัญหา รอวันแก้" ณ โรงแรมแกรนด์ ฟอร์จูน กรุงเทพ รัชดา โดยมีศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ นายเลิศศักดิ์ รักธรรม ผู้อำนวยการส่วนบังคับคดี หัวหน้าชุดปฏิบัติการพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ร่วมพูดคุย พร้อมด้วยนายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ สื่อมวลชนอาวุโส เป็นผู้ดำเนินรายการ

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่ากฎหมายไทยกำหนดให้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าต้องห้ามทั้งการนำเข้า จำหน่ายหรือให้บริการ ในปี 2564 มี 32 ประเทศทั่วโลกที่ประกาศใช้กฎหมายห้ามเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าจากที่ในปี 2557 มีเพียง 13 ประเทศ เท่านั้น สะท้อนให้เห็นว่าทั่วโลกตระหนักถึงพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้าเพราะมีข้อมูลชัดเจน เช่น เด็กมัธยมปลายอเมริกันสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มจาก 1.5%ในปี2554 เป็น19.6%ในปี 2563 ประเทศนิวซีแลนด์เด็กอายุ14-15 ปี สูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มจาก 1.9%ในปี 2560เป็น9.6 %ในปี 2564 ส่วนเด็กมัธยมต้นของไทยอายุ13-15 ปีสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มจาก3.3% ในปี2558 เป็น8.1%ในปี 2564 

รายงานการวิจัยเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าทั่วโลกส่วนใหญ่สรุปว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นอันตรายต่อหลอดเลือดและระบบทางเดินหายใจเพราะละอองลอยมีสารโลหะหนักหลายชนิด เช่น เหล็ก ทองแดง นิกเกิล สังกะสี โครเมี่ยม และตะกั่วที่กระตุ้นให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจ นอกจากนี้ยังพบว่าสารนิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้าเป็นอันตรายต่อพัฒนาการของสมองเด็กและวัยรุ่น บุหรี่ไฟฟ้าหลายยี่ห้อมีสารนิโคตินเท่ากับสูบบุหรี่ 20 มวน และบางยี่ห้อมีสารนิโคตินเท่ากับการสูบบุหรี่ถึง50 มวน          

ส่วนข้ออ้างที่ว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นผลิตภัณฑ์ในการช่วยเลิกบุหรี่มวนนั้น ก็ไม่เป็นความจริง ในปี 2564 องค์การอนามัยโลกระบุว่าหลักฐานที่บอกว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นผลิตภัณฑ์ช่วยเลิกบุหรี่ยังสรุปไม่ได้ ส่วนองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกายืนยันเมื่อปี 2565 ที่ผ่านมาว่าไม่เคยรับรองให้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นผลิตภัณฑ์ช่วยเลิกบุหรี่ เช่นเดียวกับกระทรวงสาธารณสุขออสเตรเลียก็ระบุว่ายังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะสนับสนุนให้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าช่วยเลิกบุหรี่ สอดคล้องกับงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในปี 2564-2565 ไม่มีข้อสรุปว่าบุหรี่ไฟฟ้าช่วยเลิกบุหรี่ได้ หนำซ้ำยังพบว่า 60 %ของคนสูบบุหรี่ไฟฟ้าช่วยเลิกบุหรี่กลับมาสูบบุหรี่ชนิดมวนใหม่ 

ซึ่งองค์การอนามัยโลกระบุชัดเจนว่าปัญหาใหญ่สุดของบุหรี่ไฟฟ้าคือทำให้เด็กที่ไม่เคยสูบบุหรี่เข้ามาสูบบุหรี่ไฟฟ้าและเด็กที่เริ่มต้นสูบบุหรี่ไฟฟ้ามีความเสี่ยงที่จะสูบบุหรี่ธรรมดามากกว่าเด็กที่ไม่สูบบุหรี่ไฟฟ้า 2-4 เท่า รวมทั้งคนที่เลิกสูบบุหรี่ธรรมดาไปแล้วจะกลับมาสูบบุหรี่ไฟฟ้าแทน ดังนั้นสื่อมวลชนต้องช่วยกันเผยแพร่ความรู้ที่ถูกต้อง หาแนวทางการสื่อสารรูปแบบใหม่ๆที่เข้าถึงเด็กและเยาวชนอย่างมีประสิทธิภาพ มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ควบคุมการโฆษณาในสื่อสมัยใหม่ทุกรูปแบบเพราะบริษัทบุหรี่ไฟฟ้ามักใช้สื่อออนไลน์และสนับสนุนเงินในการจัดกิจกรรมดึงดูดกลุ่มเยาวชน

นายเลิศศักดิ์ รักธรรม ผู้อำนวยการส่วนบังคับคดี หัวหน้าชุดปฏิบัติการพิเศษ สคบ. กล่าวว่า พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภคมีหมวดที่ว่าด้วยความปลอดภัยของสินค้าและบริการทำให้มีการออกคำสั่งของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคที่ 9/2558 เรื่อง ห้ามขายหรือห้ามให้บริการสินค้า “บารากู่ บารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า หรือตัวยาบารากู่ น้ำยาสำหรับเติมบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า” ดังนั้น ผู้ใดขายหรือให้บริการ โดยมีค่าตอบแทนรวมถึงการซื้อมาเพื่อขายต่อ มีความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 600,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ  นอกจากนี้ผู้นำเข้าบุหรี่ไฟฟ้ายังมีความผิดตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้บารากู่ และบารากู่ไฟฟ้า หรือบุหรี่ ไฟฟ้า เป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2557 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับเป็นเงิน 5 เท่าของราคาสินค้า หรือทั้งจำทั้งปรับ กับให้ริบบุหรี่ไฟฟ้า รวมทั้งสิ่งที่ใช้บรรจุและพาหนะใดๆ ที่ใช้ในการบรรทุกสินค้าบุหรี่ไฟฟ้านั้นด้วย และยังมีความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 244 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ  

‘เสี่ยเฮ้ง’ สั่งตรวจเข้ม ‘ต่างชาติแย่งอาชีพคนไทย’ ย้ำ!! ตรวจเจอ จับดำเนินคดี ไม่มีข้อยกเว้น

(14 ก.พ. 66) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ห่วงคนไทยถูกแรงงานต่างชาติแย่งงาน แย่งอาชีพ จึงสั่งการให้กระทรวงแรงงานบริหารจัดการแรงงานต่างชาติในประเทศไทยอย่างรอบคอบ เป็นระบบ และบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานต่างชาติที่แย่งอาชีพคนไทย ซึ่งตนในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานไม่เคยนิ่งนอนใจ ได้กำชับให้กรมการจัดหางานติดตามตรวจสอบและดำเนินคดีแรงงานต่างชาติที่ทำงานผิดกฎหมายหรือแย่งอาชีพคนไทยอย่างใกล้ชิด ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 - 13 กุมภาพันธ์ 2566 มีการเข้าตรวจสอบสถานประกอบการที่จ้างแรงงานต่างชาติทั่วประเทศแล้ว จำนวน 14,104 แห่ง ดำเนินคดี 500 แห่ง และตรวจสอบคนต่างชาติ จำนวน 196,402 คน แยกเป็นสัญชาติเมียนมา 145,764 คน, กัมพูชา 32,916 คน, ลาว 10,181 คน, เวียดนาม 103 คน และสัญชาติอื่น ๆ 7,438 คน มีการดำเนินคดีทั้งสิ้น 1,143 คน แยกเป็นสัญชาติเมียนมา 629 คน, กัมพูชา 175 คน, ลาว 187 คน, เวียดนาม 49 คน, และสัญชาติอื่น ๆ 103 คน ซึ่งพบเป็นการแย่งอาชีพคนไทย ทั้งสิ้น 600 คน แยกเป็นสัญชาติเมียนมา 264 คน, กัมพูชา 121 คน, ลาว 97 คน, เวียดนาม 39 คน, อินเดีย 51 คน และสัญชาติอื่น ๆ 28 คน โดยอาชีพที่พบคนต่างชาติแย่งอาชีพมากที่สุด ได้แก่ งานเร่ขายสินค้า งานตัดผม งานขับขี่ยานพาหนะ และงานนวด ตามลำดับ

“พระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ระบุว่า คนต่างด้าวที่ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือสิทธิที่จะทำได้ มีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 - 50,000 บาท และนายจ้าง/สถานประกอบการ ที่รับคนต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตทำงานเข้าทำงาน หรือให้คนต่างด้าวทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิ มีโทษปรับตั้งแต่ 10,000 - 100,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หากกระทำผิดซ้ำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 - 200,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน และห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี ซึ่งกระทรวงแรงงานจะดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดโดยไม่มีข้อยกเว้น” รมว.แรงงาน กล่าว

ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำ มีทั้งสิ้น 40 งาน เป็นงานห้ามคนต่างด้าวทำเด็ดขาด 27 งาน ตามบัญชีที่ 1 ได้แก่ 
1.งานแกะสลักไม้ 
2.งานขับขี่ยานยนต์ ยกเว้นงานขับรถยก (Forklift) 
3.งานขายทอดตลาด 
4.งานเจียระไนเพชร/พลอย 
5.งานตัดผม/เสริมสวย 
6.งานทอผ้าด้วยมือ 
7.งานทอเสื่อ หรืองานทำเครื่องใช้ด้วยกก หวาย ฟาง ไม้ไผ่ ขนไก่ เส้นใย ฯลฯ 
8.งานทำกระดาษสาด้วยมือ 
9.งานทำเครื่องเขิน 
10.งานทำเครื่องดนตรีไทย 
11.งานทำเครื่องถม 
12.งานทำเครื่องทอง/เงิน/นาก 
13.งานทำเครื่องลงหิน 
14.งานทำตุ๊กตาไทย 
15.งานทำบาตร 
16.งานทำผ้าไหมด้วยมือ 
17.งานทำพระพุทธรูป 
18.ทำร่มกระดาษ/ผ้า 
19.งานนายหน้า/ตัวแทน 
20.งานนวดไทย
21.งานมวนบุหรี่ 
22.งานมัคคุเทศก์ 
23.งานเร่ขายสินค้า 
24.งานเรียงอักษร 
25.งานสาวบิดเกลียวไหม 
26.งานเลขานุการ 
และ 27.งานบริการทางกฎหมาย 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top