Friday, 20 June 2025
ค้นหา พบ 48919 ที่เกี่ยวข้อง

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สั่งรวบแก๊งเว็บพนันอุ้มวิศวกรรีดทรัพย์ ขยายผลเจ้าหน้าที่ค้นข้อมูลทะเบียนราษฎร์ส่งคนร้ายใช้ข่มขู่

จากกรณีเมื่อวันที่ 7 ก.พ.66 เพจสายไหมต้องรอดพร้อมด้วย นายเชิดเกียรติ ศักดิ์ศรี ผู้เสียหาย เข้าร้องขอความช่วยเหลือจาก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. จากเหตุถูกแก๊งเว็บพนันซึ่งมีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้อง อุ้มไปทำร้ายร่างกายอ้างว่าถูกผู้เสียหายโกงเงินหลักแสนบาท รวมทั้งปล้นเอาทรัพย์สินของผู้เสียหายไปหลายรายการ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 12 ม.ค.66 ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลได้นำเสนอไปแล้ว นั้น

กรณีดังกล่าว พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เร่งดำเนินการสืบสวนหาตัวกลุ่มผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีโดยเร็ว เนื่องจากเป็นคดีที่ได้รับความสนใจจากประชาชนและสื่อมวลชนอย่างมาก เพราะมีการให้ข้อมูลว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ดังกล่าว และยังมีการก่อเหตุอย่างอุกอาจ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนร่วมกับ สน.โชคชัย ซึ่งเป็นพื้นที่รับผิดชอบในคดีดังกล่าว เร่งสืบสวนติดตามผู้ก่อเหตุในคดีดังกล่าว จึงสั่งการให้นำตัวกลุ่มผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมายโดยเร็ว

จากการสืบสวนทราบว่า ผู้เสียหายทำงานเป็นแอดมินเว็บไซต์พนันออนไลน์มาแล้วประมาณ 5-6 ปี ทำหน้าที่คอยดูแลลูกค้าและให้คำแนะนำเรื่องฝากถอนเงิน โดยมีกลุ่มของผู้ก่อเหตุเป็นผู้ดูแลเว็บไซต์ ก่อนเกิดเหตุกลุ่มผู้ก่อเหตุตั้งข้อสงสัยว่า ผู้เสียหายโกงเงินไป เนื่องจากยอดเงินไม่ตรง จึงได้มีการนัดหมายเพื่อพูดคุยกัน โดยมีคนมารับผู้เสียหายไปเจอกลุ่มผู้ต้องหาที่ร้านกาแฟในเขต ต.เสม็ด อ.เมือง จ.ชลบุรี มีกลุ่มผู้ต้องหารออยู่ประมาณ 4-5 คน ได้มีการซักถามผู้เสียหายเกี่ยวกับเงินที่หายไป แต่ผู้เสียหายปฏิเสธ จึงถูกกลุ่มผู้ต้องหาเตะต่อยหลายครั้ง และได้หยิบเอาโทรศัพท์มือถือและแท็ปเล็ตของผู้เสียหายไป และได้กดโอนเงินจากบัญชีของผู้เสียหายไปจำนวน 25,000 บาท ระหว่างนั้นได้มีการแสดงข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของผู้เสียหายเพื่อข่มขู่ จากนั้นได้พาผู้เสียหายนั่งรถไปที่ห้องพักของผู้เสียหายในย่านลาดพร้าววังหิน แขวง/เขตลาดพร้าว กทม. โดยคนที่พาไปได้มีการเปิดให้เห็นว่ามีการพกอาวุธปืนมาด้วย ทำให้ผู้เสียหายตกใจกลัวและยินยอมไปด้วยดี เมื่อถึงห้องพักพบว่าแฟนสาวของผู้เสียหายอยู่ด้วย กลุ่มผู้ต้องหาได้หยิบเอาทรัพย์สินเป็นรองเท้า และนาฬิกาเพิ่มไปอีก จากนั้นได้ขับรถกระบะหลบหนีไป ผู้เสียหายจึงตัดสินใจร้องขอความช่วยเหลือในเวลาต่อมา

จากข้อมูลดังกล่าว ประกอบกับการรวบรวมพยานหลักฐาน พนักงานสอบสวน สน.โชคชัย จึงได้ขออนุมัติศาลออกหมายจับกลุ่มผู้ต้องหาจำนวน 7 ราย ประกอบด้วย

1. น.ส.พัชญ์วัญญ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 39 ปี เป็นคนซักถามและเอาโทรศัพท์ผู้เสียหายไปโอนเงิน

2. นายมนตรี (สงวนนามสกุล) อายุ 39 ปี เป็นคนซักถาม

3. นายชัยชนะ (สงวนนามสกุล) อายุ 32 ปี เป็นคนลงมือทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย (มอบตัว)

4. น.ส.รมิตา (สงวนนามสกุล) อายุ 32 ปี เป็นคนช่วยเช็คข้อมูลบัญชีของผู้เสียหาย (มอบตัว)

5. นายธเนศ (สงวนนามสกุล) อายุ 34 ปี เป็นคนลงมือทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย (มอบตัว)

6. นายกฤษฎา (สงวนนามสกุล) อายุ 32 ปี เป็นคนขับรถพาไปห้องผู้เสียหาย (มอบตัว)

7. นายสุทัศน์ (สงวนนามสกุล) อายุ 25 ปี เป็นคนขับรถพาไปห้องผู้เสียหาย (มอบตัว)

โดยจะดำเนินคดีในความผิดฐาน “ปล้นทรัพย์, ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ, ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพของผู้ถูกข่มขืนใจหรือผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น โดยมีอาวุธ, หน่วงเหนี่ยว กักขัง หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย, ทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัว หรือตกใจ โดยการขู่เข็ญ, กระทำด้วยประการใดๆ ต่อผู้อื่น อันเป็นการรังแก ข่มเหง คุกคาม ให้ได้รับความเดือดร้อน, มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต โดยไม่มีเหตุจำเป็นและเร่งด่วน” ล่าสุดผู้ต้องหาได้เข้ามอบตัวแล้วจำนวน 5 ราย เหลือติดตามจับกุม 2 ราย

นอกจากนี้ ในส่วนของการตรวจสอบข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของผู้เสียหายซึ่งกลุ่มผู้ต้องหานำมาข่มขู่นั้น จากการตรวจสอบพบว่า ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ความช่วยเหลือในการตรวจสอบข้อมูลดังกล่าว อยู่ในระหว่างการสืบสวนขยายผล หากพบว่าร่วมมือกับกลุ่มผู้กระทำความผิดจริง จะมีการดำเนินคดีถึงที่สุดต่อไป

ด้วยความห่วงใย ผบ.กองเรือยุทธการ นำคณะเยี่ยมและมอบสิ่งของกำลังพลและครอบครัวป่วยติดเตียง

เมื่อวันที่ 9 ก.พ.66 พลเรือเอก อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ และคุณกีรตา พันธุ์เอี่ยม ประธานชมรมภริยากองเรือยุทธการ พร้อมผู้แทนจากโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ และคณะเดินทางเข้าเยี่ยมให้กำลังใจมอบสิ่งของอุปโภคบริโภคที่จำเป็นยาและเวชภัณท์ ให้กับกำลังพลที่เป็นผู้ป่วยติดเตียง และผู้สูงอายุที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ที่พักอาศัยอยู่ในบ้านพักข้าราชการกองเรือยุทธการ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี พร้อมทั้งรับฟังปัญหาความต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติมพบว่า รายแรกที่บ้านพักของ จ่าเอกบุญชู ทัดสันเทียะ กำลังพลสังกัด เรือหลวงภูมิพล ที่ประสบอุบัติเหตุทางสมองและเป็นผู้ป่วยติดเตียงไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ 

โดยได้มอบเงินจำนวน 5,000 บาท เพื่อสนับสนุนเป็นเงินทุนเพื่อการศึกษาให้กับบุตรสาวของ จ่าเอกบุญชูฯ มอบเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ เช่น สายดูดเสมหะ ทิชชู่ม้วน และทิชชู่เปียก พร้อมทั้งสอบถามถึงความเป็นอยู่และอาการเจ็บป่วยด้วยความห่วงใย จากนั้นได้เดินทางเข้าเยี่ยมและมอบสิ่งของให้กับที่ผู้ป่วยติดเตียงที่มักขาดแคลนสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็น อาทิ ผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับผู้ใหญ่ (แพมเพิส) แผ่นรองปัสสาวะ กระดาษทิชชู่ อุปกรณ์ในการช่วยพยุงตามผนังจากปัญหาการเคลื่อนไหวไม่สะดวก รวมถึงข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำมันพืชและของใช้ในครัวเรือน รวม 3 ครอบครัว ในการดำเนินชีวิตประจำวัน

ขณะที่ผู้ป่วยติดเตียงและครอบครัวต่างรู้สึกซาบซึ้งที่กองเรือยุทธการ ดูแลอยู่ตลอดเวลาไม่เคยทอดทิ้ง ที่ผ่านมาได้มีการประสานงานให้แพทย์และพยาบาล จากโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ มาเยี่ยมเยียนให้กำลังใจอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอุ่นใจและมีความสุข เมื่อได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับผู้คนภายนอก ทำให้มีพลังแรงใจในการต่อสู้ชีวิตต่อไป

ซึ่งเป็นนโยบายของ ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ที่ต้องการให้กำลังพลตลอดจนญาติในครอบครัวได้รับการดูแลที่ดี เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานไม่มีห่วงอยู่ข้างหลัง สามารถทุ่มเทให้กับการทำงาน เพื่อกองทัพเรือและกองเรือยุทธการ ได้อย่างเต็มที่

และในโอกาสเดียวกันนี้ ยังได้เดินทางไปมอบต้นกล้าสมุนไพร อาทิ ต้นกระดูกไก่ดำ ต้นกระเจี๊ยบแดง หัวขมิ้น และหัวไพร สำหรับปลูกในโครงการ "ปลูกสุขภาพดีด้วยสมุนไพร" เพื่อนำไปปลูกตามบ้านในโซนต่างๆ ภายในกองเรือยุทธการอีกด้วย ที่ผ่านมาได้มอบให้นำไปปลูกแล้วจนสามารถเป็นอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ในครอบครัว อีกทางหนึ่งด้วย

สำหรับโครงการ "ปลูกสุขภาพดีด้วยสมุนไพร" เป็นหนึ่งในกิจกรรม "ครบรอบสิ้นพระชนม์ 100 ปี" พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระบิดาทหารเรือไทย (เสด็จเตี่ย) และเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “Good Home And Good Health” ที่ทางกองเรือยุทธการ ร่วมกับโรงพยาบาล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ ดำเนินโครงการและให้ความสำคัญมาโดยตลอด เพราะสุขภาพที่ดีของกำลังพลทุกคน เป็นสิ่งที่สำคัญ

11 กุมภาพันธ์ ของทุกปี ถือเป็น ‘วันเสื้อยืดขาว’ รำลึกการประท้วงจ้างงานไม่เป็นธรรม

รู้หรือไม่ เสื้อยืดขาวมีประวัติความเป็นมาสำคัญอย่างไร ทุกวันที่ 11 กุมภาพันธ์เป็นวันเสื้อยืดขาว (White T-Shirt Day) ซึ่งเป็นวันสำคัญของคนงานรถยนต์วันหนึ่ง เป็นวันที่รำลึกถึงการสิ้นสุดการประท้วงของคนงานรถยนต์เพื่อเรียกร้องสวัสดิการและการจ้างงานที่ไม่เป็นธรรมด้วยการสวมใส่เสื้อยืดขาวในการประท้วง

จุดเริ่มต้นของวันเสื้อยืดขาว เริ่มจากพนักงานของบริษัทเจอเนอรัลมอเตอร์ส (General Motors) ได้ก่อการประท้วงครั้งประวัติศาสตร์เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2480 เพื่อหวังเรียกร้องสวัสดิการและการจ้างงานที่ไม่เป็นธรรม หลังจากที่บริษัทเจอเนอรัลมอเตอร์ส บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชื่อดังต้องการลดต้นทุนและเลิกจ้างคนงาน โดยทำการยกเลิกโมเดลรถยนต์ที่ราคาแพงและจ้างคนงานในค่าแรงที่น้อยกว่าเดิม

'กรณ์' ชวนคนไทยเที่ยวชม Bangkok design week 2023 หนึ่งใน 'เศรษฐกิจเฉดสีเหลือง' ที่ 'ชพก.' อยากให้เห็นภาพตาม

ยิงนโยบายต่อเนื่อง!! 'กรณ์' เปิดมิติใหม่ 'เศรษฐกิจสร้างสรรค์' หนึ่งในเศรษฐกิจเฉดสีเหลือง หารายได้เข้าประเทศ ด้วยกองทุนสร้างสรรค์ พร้อมร่วมงาน Bangkok Design Week ยกเป็นตัวอย่างสำคัญในการพัฒนาย่านปากคลองตลาด

ในช่วงหัวค่ำของวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า พร้อมด้วย ทีมงาน และว่าที่ผู้สมัครกทม. เขต 1 พระนคร ป้อมปราบศัตรูพ่าย สัมพันธวงศ์ 'โน้ต-นันทพันธ์ ศุภณ์ภัทรพงศ์' เดินทางเข้าร่วมชมงาน 'Bangkok design week 2023' ในย่านปากคลองตลาด ซึ่งเป็นตลาดดอกไม้ที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในประเทศ ซึ่งปีนี้ปากคลองตลาดเข้าร่วมพื้นที่สร้างสรรค์ในคอนเซปต์ 'ปากคลอง Pop Up' ปลุกชีวิตคนปากคลองตลาดด้วยงานดีไซน์ โดยมี 'อ.หน่อง' ผศ.ดร.สุพิชชา โตวิวิชญ์ และนักศึกษา จากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปกร เป็นแม่งานหลัก ออกแบบเปิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับความงามดอกไม้ ตั้งแต่ ดอก ใบ กิ่ง และต้น หรือ จะเป็นดอกไม้ดิจิทัล ที่คนรุ่นใหม่สามารถดีไซน์ได้ด้วยตัวเอง และไปปรากฏบนตัวตึก 'ไปรษณีย์ไทย' แห่งแรก และมีการกระจายจุดการแสดงรอบ ๆ ปากคลองตลาดกว่า 10 โปรแกรม 

ชาว Sherpa จากเนปาล สร้างทางเดินบนภูเขาสูงในนอร์เวย์ ช่วยให้นักท่องเที่ยวดื่มด่ำบรรยากาศได้อย่างปลอดภัย

สวัสดีครับนักอ่านทุกท่าน วันนี้ผมจะมานำเสนอเรื่องราวที่น่าทึ่งและน่านับถือจากความสามารถของมนุษย์ เรื่องราวในวันนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับชาว Sherpa จากเนปาลที่ได้เข้ามาทำงานในประเทศนอร์เวย์ และได้สร้างสิ่งที่เรียกว่า ‘ทางเดินตามแนวภูเขา’ ไว้อย่างสวยงาม และทางนี้นี้เองก็ส่งผลให้บรรดานักท่องเที่ยวที่มาเยียนนอร์เวย์ สามารถดื่มด่ำบรรยากาศธรรมชาติรอบข้างได้อย่างเต็มอิ่ม โดยไม่ต้องกลัวว่าจะได้รับอันตรายจากการเดินท่องเที่ยวตามภูเขาสูงครับ

ก่อนอื่น ผมขออธิบายลักษณะภูเขาของประเทศนอร์เวย์ก่อนนะครับ เส้นทางท่องเที่ยวชมวิวทิวทัศน์ของนอร์เวย์เป็นเส้นทางที่ทอดยาวไปตามภูมิประเทศที่ขรุขระราว 1,850 กิโลเมตรทั่วประเทศ โดยมี ‘บันไดหิน’ หรือ บันได Sherpa เป็นสิ่งอำนวยความสะดวกและเป็นมิตรต่อทั้งตัวนักท่องเที่ยวและทั้งธรรมชาติ ซึ่งเริ่มสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1994 และสร้างเสร็จไปแล้วกว่า ๑๕๐ แห่ง ในพื้นที่ที่เป็นจุดชมวิว เส้นทางเดินป่า พื้นที่พักผ่อน และศาลาดูนก

Preikestolen

‘Preikestolen’ เป็นหนึ่งในเส้นทางปีนเขาที่สูงที่สุดในประเทศนอร์เวย์ โดยมีนักท่องเที่ยวราว ๆ ๓๓๑,๐๐๐ คนปีนขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุดในปี ค.ศ. 2019 

ในหลาย ๆ เส้นทาง สถานที่ และทิวทัศน์ที่สวยงามจาก Preikestolen หรือ Pulpit Rock ใกล้กับ Stavanger ทางตะวันตกเฉียงใต้ของนอร์เวย์ ไม่มีทางเชื่อมถึงกัน ทำให้ต้องเดินขึ้นบันไดหินที่ออกแบบโดยผู้เชี่ยวชาญ และได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์พอ ๆ กับทิวทัศน์บนยอดเขาตรงสุดทางเดิน

โดยผู้เชี่ยวชาญที่เรากล่าวถึงก็คือ ชาว Sherpa จากชุมชนชาวเนปาลที่อาศัยอยู่ในเทือกเขา Everest โดยได้ริเริ่มโครงการทางเดินหินธรรมชาติอื่น ๆ เกือบ ๓๐๐ โครงการในนอร์เวย์ ในช่วงกว่าสองทศวรรษที่ผ่านมา

ผมขออธิบายเกี่ยวกับชาว Sherpa จากเนปาลก่อนนะครับ ชาว Sherpa เป็นหนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์ทิเบตที่มีถิ่นกำเนิดในพื้นที่ภูเขาส่วนใหญ่ของเนปาล เทศมณฑลติงกริ ในเขตปกครองตนเองทิเบตและเทือกเขาหิมาลัย 

ส่วนคำว่า Sherpa หรือ Sherwa มาจากคำในภาษา Sherpa ว่า ཤར shar แปลว่าตะวันออก และ པ ปา แปลว่าคน ซึ่งหมายถึงแหล่งกำเนิดทางภูมิศาสตร์ของทิเบตตะวันออกนั่นเอง

ชาว Sherpa

โดยส่วนใหญ่ชาว Sherpa มักอาศัยอยู่ในภูมิภาคตะวันออกของเนปาล และเทศมณฑลติงกริ ประเทศภูฏาน และบางส่วนจะอาศัยอยู่ไกลออกไปทางตะวันตกในหุบเขาโรลวาลิง เมืองบิกู และในภูมิภาคเฮลัมบูทางตอนเหนือของกรุงกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล 

นอกจากนี้แล้วชาว Sherpa ยังอาศัยอยู่ในประเทศภูฏาน รัฐสิกขิม และทางตอนเหนือของรัฐเบงกอลตะวันตกของอินเดีย โดยเฉพาะเขตดาร์จีลิง 

ชาว Sherpa มีชื่อเสียงในด้านการปีนเขา และใช้ทักษะนี้เป็นอาชีพเลี้ยงชีพ ทำให้ชาว Sherpa เป็นที่รู้จักดีในฐานะผู้นำทางและคนงานแบกหามในการเดินทางบนเทือกเขาหิมาลัย 

โดยส่วนใหญ่นักปีนเขาที่ต้องการพิชิตยอด Everest จะต้องมีชาว Sherpa เป็นผู้นำทางและเป็นลูกหาบช่วยขนสัมภาระต่าง ๆ เพราะลูกหาบชาว Sherpa สามารถแบกของใส่หลังได้มากว่าน้ำหนักตัวเอง ๒-๓ เท่าเลยทีเดียว

เหตุผลหลักที่ทำให้ชาว Sherpa มีร่างกายแข็งแกร่งนั้น เพราะพวกเขามีความจุของปอดมากกว่า และมีหัวใจที่ใหญ่กว่า ทำให้สามารถรับออกซิเจนได้มากขึ้น 

นอกจากนั้นแล้วพวกเขายังทำงานร่วมกันได้ดี มีความแข็งแกร่งทางจิตใจ และมีศรัทธาที่แรงกล้า ชาว Sherpa สามารถแบกสัมภาระหนัก 60-70 กิโลกรัมเป็นเวลาหลายวันได้ในการปีนยอด Everest สถิติบันทึกน้ำหนักแบกสัมภาระของชาว Sherpa อยู่ที่ 350 กิโลกรัมบนหลังของเขา และหญิงชาว Sherpa ส่วนใหญ่ก็แข็งแรงพอ ๆ กับชาย

เมื่อเรารู้จักความสามารถสุดพิเศษของชาว Sherpa แล้ว คราวนี้มารู้จักที่มาที่ไปที่ทำให้ชาว Sherpa ได้มีโอกาสไปสร้างสรรค์ทางเดินบนภูเขาในประเทศนอร์เวย์กันดีกว่าครับ

‘Geirr Vetti’ เป็นผู้ริเริ่มนำชาว Sherpa มาทำงานในนอร์เวย์ โดยเขาเป็นเจ้าของฟาร์ม Skåri ใน Luster ซึ่งเป็นฟาร์มเก่าแก่บนเนินเขาและเป็นฟาร์มแห่งเดียวในหมู่บ้านที่มีแสงแดดตลอดทั้งปี เมื่อเขาต้องการปรับปรุงฟาร์มให้ดียิ่งขึ้น เขาจึงได้จ้างคนงานจากหลายประเทศทั่วยุโรป รวมแล้ว ๑๑ ประเทศ แต่ทว่าไม่มีคนงานคนใดที่สามารถอดทนต่องานหนักได้เลยสักคนเดียว

‘Geirr Vetti’ ได้นึกถึงเรื่องราวที่เกี่ยวกับชาว Sherpa ซึ่งเป็นคนที่มีความชำนาญ และเคยชินกับการทำงานหนัก คิดได้แบบนั้นเขาก็ได้เริ่มจ้างงงานชาว Sherpa แรกเริ่มเดิมที่เขาจ้างมาเพียงแค่ 2 คนเพื่อทำงานในฟาร์ม

ต่อมา Geirr Vetti ได้เปิดบริษัทรับซ่อมและสร้างทางเดินบนภูเขาของนอร์เวย์ในพื้นที่ทุรกันดารที่เครื่องจักรเข้าไปไม่ถึง โดยใช้แรงงานของชาว Sherpa เป็นหลัก

ในปัจจุบันทุกฤดูร้อนชาว Sherpa หลายสิบคนจะมาร่วมก่อสร้างและบำรุงรักษาเส้นทางและอนุสรณ์สถานทางวัฒนธรรมต่าง ๆ ด้วยหินในประเทศนอร์เวย์

Geirr Vetti เกษตรกรชาวนอร์เวย์วัย ๖๐ ปี เป็นผู้ริเริ่มนำชาว Sherpa มาทำงานในนอร์เวย์ 

ต่อมา Geirr Vetti ผันตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของ Stibyggjaren ซึ่งเป็นบริษัทก่อสร้างทางนวัตกรรมที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้าน Skjolden บน Sognefjord 

Geirr Vetti ใน Khunde ได้รับการต้อนรับด้วยการเจิมหน้าผาก

แม้ความสัมพันธ์ของ Geirr Vetti กับชาว Sherpa จะเป็นนายจ้างและลูกจ้าง แต่ชาว Sherpa กลับรักและให้การต้อนรับ Geirr Vetti อย่างดีเมื่อครั้งที่เขาไปเยือนเนปาล

Geirr Vetti กลายเป็นที่รู้จักกันดีใน Khunde และ Sherpas ถือว่าเขาเป็นสมาชิกของครอบครัว โดยชาว Sherpa เรียกเขาว่า ‘ลุง’ และในภาพถ่ายจากปี ค.ศ. 2014 จะเห็นว่า เขาได้รับการต้อนรับอย่างเอิกเกริก ทุกคนในหมู่บ้านใส่ชุดประจำชาติ เป่าแตรยาวต้อนรับ รวมถึงพระสงฆ์ก็ยังมาต้อนรับเขา และไม่น่าแปลกใจที่เขาได้รับความนับถือยกย่องจากชาว Sherpa เพราะงานต่าง ๆ ที่ชาว Sherpa ได้ทำในนอร์เวย์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ทำให้พวกเขาสามารถส่งเงินจำนวนประมาณ 25 ล้านโครนนอร์เวย์ (ราว ๘๒ ล้านบาท) ให้กับครอบครัวของพวกเขาได้ ทำให้มาตรฐานการครองชีพที่จำเป็นได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้น

Geirr Vetti ยกย่องให้ชาว Sherpa เป็นชนชาติเหนือมนุษย์  โดยเขาระบุว่า "ชาว Sherpa เกือบจะเหนือมนุษย์ พวกเขาพัฒนาจนเป็นผู้เชี่ยวชาญในการทำงานบนที่สูง พวกเขาได้สร้างคุณูปการอันล้ำค่าไว้เป็นมรดกบนภูเขาของนอร์เวย์"

งานซ่อมและสร้างทางเดินในนอร์เวย์เริ่มเป็นแหล่งรายได้ในช่วงนอกฤดูกาลปีนเขาของชาว Sherpa โดย Nima Nuri Sherpa หัวหน้าทีมจากชุมชน Kunde ในเขต Solukhumbu ของเนปาล กำลังทำงานในเทือกเขา Lyngen Alps ทางตะวันออกของ Tromsø เพื่อเปิดเส้นทางใหม่ขึ้นภูเขาใหม่ร่วมกับทีมชาว Sherpa อีก ๗ คนจากหมู่บ้านเดียวกัน ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน ทีมงานของเขาสร้างบันไดมากกว่า ๔๐๐ ขั้น ทำจากหินในท้องถิ่นหนักถึง 500 ตัน และเคลื่อนย้ายแผ่นหินหนักหนึ่งตันสำหรับแต่ละขั้นด้วยมือ หลังจากที่เฮลิคอปเตอร์ขนหินมา 

"ชุมชนของเราขนส่งทุกอย่างเข้าและออกจากภูมิภาคด้วยตัวเองหรือด้วยจามรีมาโดยตลอด และธรรมเนียมเหล่าได้สืบทอดกันมาทุกชั่วอายุคน" Nima Nuri Sherpa กล่าว 

"โดยปกติแล้วงานประจำของเราคือเป็นไกด์นำทางให้นักปีนเขา แต่การสร้างเส้นทางบนภูเขานั้นมีความเสี่ยงน้อยกว่าและให้ประโยชน์กับผู้คนได้มากกว่ากับ และในปัจจุบันนอร์เวย์ถือว่าเป็นบ้านหลังที่สองของเรา และนี่...คือสิ่งที่ดี"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top