เคาะ!! โควตาเก้าอี้ ส.ส. เลือกตั้ง ปี 66 (ภาคใต้)
‘เลือกตั้ง 66’ ใกล้เข้ามาแล้ว!!
วันนี้ THE STATES TIMES ชวนมาดูโควตาเก้าอี้ ส.ส. ในภาคใต้ว่าแต่ละจังหวัดมีโควตาเท่าไหร่??

‘เลือกตั้ง 66’ ใกล้เข้ามาแล้ว!!
วันนี้ THE STATES TIMES ชวนมาดูโควตาเก้าอี้ ส.ส. ในภาคใต้ว่าแต่ละจังหวัดมีโควตาเท่าไหร่??
(10 ก.พ. 66) เมื่อเวลา 15.00 น. ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพปชร.เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดทำนโยบายพรรคพลังประชารัฐ โดยที่ประชุมพิจารณาร่างนโยบายพรรค เรื่อง การแก้ไขปัญหาความยากจน ปัญหาที่ดินทำกิน ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง เพื่อมอบหมายผู้รับผิดชอบ จัดทำรายละเอียดแผนดำเนินการ จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ และจัดทำข้อมูลเตรียมการปราศรัยนโยบาย
โดยมีคณะทำงานเข้าร่วม พร้อมเพรียง อาทิ พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ในฐานะที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะเลขาธิการพรรค นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองหัวหน้าพรรค นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองหัวหน้าพรรค พล.อ.กฤษณ์โยธิน ศศิพิพัฒน วงษ์ นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ นายอภิชัย เตชะอุบล กรรมการบริหารพรรค นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค นายอุตตม สาวนายน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา นายอรรถกร ศิริลัทยากร ส.ส.ฉะเชิงเทรา
พล.อ.ประวิตร แถลงว่า เราทำเรื่องที่ดินคทช.โดยจัดซื้อที่ดิน เพื่อนำไปแจกจ่ายให้ประชาชน ต่อเนื่องกว่า 5 หมื่นไร่ เพื่อนำไปให้ประชาชนที่ยากจน สำหรับอยู่อาศัยปลูกบ้านกว่า 2 หมื่นหลัง การดูแลปัญหาเรื่องที่ดินเป็นเรื่องซับซ้อน ต้องช่วยดูแล รวมถึงกรณีที่มีการบุกรุกป่า ฉวยโอกาส นำไปเอื้อประโยชน์นายทุน ก็ต้องดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับทุกคน จากวันนี้จะเร่งรัดให้ทีมงานที่ได้รับมอบหมายไปทำให้บรรลุเป้าหมาย และให้ผู้สมัครทุกเขตเลือกตั้งชี้แจงให้ประชาชนทราบ เพราะการสร้างการรับรู้เรื่องที่ดินค่อนข้างยาก ต้องชี้แจงให้ชัดเจนให้ทุกคน
โดยเฉพาะคนยากจน มีสิทธิ์ในที่ดินทำกิน
ตอนผมยังเด็ก ๆ ผมชอบเดินเลียบถนนฝั่งตรงข้ามชุมชนบางลำพู (ฝั่งตรงข้ามวัดสังเวช) เดินเลาะมาเรื่อยๆ จนไปพบ ศาลบูชาขนาดย่อม ๆ อยู่ภายในซุ้มประตูวังก่ออิฐถือปูน ย่อมุม ซึ่งดูเคร่งขรึม ซึ่งผมสงสัยมาตลอดว่าคือศาลอะไร ? และเป็นกำแพงวังของใคร? จนโตขึ้น จึงทราบว่านั่นคือประตูวังของ 'สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎา' พระนามเดิมว่า 'เจ้าฟ้าลา' พระราชอนุชาในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ประสูติแต่เจ้าจอมมารดา 'มา' ในปี พ.ศ. 2303 ทรงเป็นพระโอรสลำดับที่ 7 เป็นพระราชโอรสพระองค์เล็กใน “สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก”
ซึ่งพระประวัติของท่านนั้นมีบันทึกอยู่ไม่มากนัก ที่พอจะปรากฏและเล่าถึงประวัติตอนทรงพระเยาว์ของพระองค์ได้นั้นอยู่ใน 'หนังสืออภินิหารบรรพบุรุษ' ความว่าเมื่อครั้งทรงพระเยาว์นั้น พระองค์ทรงติดเล่น ทรงชอบเล่นทอยกอง ขว้างหลุม และเล่นว่าว ถ้าได้เล่นอะไร แล้วก็เพลิดเพลินจนลืมเวลาเสวยทุกครั้งไป เจ้าจอมมารดา 'มา' พระมารดา หรือใครก็ตามที่จะเชิญเสด็จฯ ในเวลาเล่นอยู่ ต้องพูดล่อว่า จะให้เป็น 'เจ้า' ถึงจะรีบเสด็จฯ ไปตามคำบอกนั้นๆ ว่ากันว่าพระองค์มีพระทัยอยากเป็น 'เจ้า' เป็นอย่างยิ่ง
ความอยากเป็น 'เจ้า' ของ เจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎา นั้นถูกทดสอบจากพระมารดาว่าอยากเป็นขนาดไหน โดยเป็นเรื่องเล่าว่าครั้งหนึ่ง พระมารดาได้หยิบเบี้ยใส่โถลงไว้ 10 เบี้ย เสร็จแล้วก็ร้องเรียกเด็กที่เล่นกันอยู่กับรวม 'กรมหลวงจักรเจษฎา' เข้ามาหา แล้วใช้ให้เด็กที่เล่นอยู่นั้นไปซื้อน้ำปลาโดยสำทับว่า “ใครรีบมาก่อนจะให้เป็นเจ้า” ไม่ต้องเดาเลยครับท่านผู้อ่าน กรมหลวงจักรเจษฎา คว้าเอาโถน้ำปลา (น้ำมีตัวปลาจริง ๆ อยู่ในโถคล้ายปลาร้าแต่ไม่เป็นถึงแบบนั้น) วิ่งตื๋อออกไปหน้าบ้านซึ่งขายน้ำปลาอยู่ เจ้าของร้านก็สงสัยว่าทำไม ? บุตรชายคนเล็กของ 'พระอักษรสุนทรศาสตร์' ('สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก' เมื่อครั้งรับราชการอยู่ในกรุงศรีอยุธยา) จึงออกมาซื้อน้ำปลาด้วยตัวเอง เป็นถึงลูกคุณพระ บ่าวไพร่ก็มี ทำไมถึงไม่ใช้ออกมาซื้อ เป็นผม ผมก็สงสัย แต่ก็คงเป็นเรื่องดีนะครับ เพราะเจ้าของร้านน้ำปลานั้น ได้ตักน้ำปลาใส่โถมากกว่าทุก ๆ ครั้ง พอเรียบร้อยแล้ว กรมหลวงจักรเจษฎาก็รีบถือโถน้ำปลามาส่งให้พระมารดา อยากเป็น 'เจ้า' อะไรก็ทำได้
เคสต่อเนื่องครับท่านผู้อ่าน ดูพระมารดาจะวัดใจสุด ๆ พอเห็นลูกชายกลับเข้ามาพร้อมโถน้ำปลา พระมารดาจึงแกล้งพูดว่า ถ้าอยากเป็น 'เจ้า' ก็ซดน้ำปลาที่ถือมาให้หมด กรมหลวงจักรเจษฎาเมื่อครั้งยังเป็น 'คุณลา' ก็ซดจนหมดโถ คุณพระ !!! อยากเป็น 'เจ้า' ขั้นสุด
จนเมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า พระองค์ได้ติดตามพระชนกไปกับพระมารดาขึ้นไปอยู่เมืองพิษณุโลก ครั้นพระชนกสวรรคต ได้ปลงพระศพแล้ว เชิญพระอัฐิมาถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ก่อนจะได้รับสถาปนาเป็น 'สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎา' และรับราชการสนองพระเดชพระคุณอยู่ในพระนคร
เมื่อท่านได้เป็น 'เจ้า' สมใจแล้ว ว่ากันว่า เจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎา นั้นมีความดุเฉพาะพระองค์ที่อาจจะเรียกว่า 'แรง' ทีเดียว คือ ถ้าผู้ใดเดินลอยชายผ่านหน้าวัง หรือขึ้นไปเล่นบนกำแพงพระนครด้านคลองรอบกรุง หรือผู้ใดไปเป่าขลุ่ย หรือส่งเสียงดัง หน้าวังของพระองค์ ก็จะรับสั่งให้ข้าหลวงในกรมไปจับตัวมาเฆี่ยน 30 ที (โหดแท้) แต่จะจริงหรือไม่จริงอันนี้ผมไม่ยืนยันนะครับ เขาแค่บันทึกไว้แบบนี้ แต่เห็นกำแพงวังแล้วผมว่าไม่น่าจะได้ยินหรือได้เห็นใครมาเดินลอยชายง่าย ๆ หรอกครับ แต่ก็มีความย้อนแย้งอีกอย่างที่บันทึกไว้ซึ่งตรงข้ามกับ “ความดุ” เลยคือ ถ้าเกิดมีใครมาเล่นว่าวที่หน้าวัง ถ้าพระองค์ทอดพระเนตรเห็น ก็จะเสด็จ ฯ ออกมาชักเล่นด้วยไม่กริ้วกราดแต่อย่างใด เอ้า!!! ชอบเล่นไปซะอย่างนั้น
ไหน ๆ ก็ออกนอกวังมาแล้ว เขาบันทึกไว้อีกว่าทุกครั้งที่พระองค์เสด็จ ฯ ออกมานอกวัง เมื่อทรงพระเสลี่ยงผ่านตลาด เห็นสิ่งใดน่าเสวยก็จะรับสั่งขอชาวตลาด ชาวตลาดก็นำไปถวายถึงบนเสลี่ยง แหม่!!! ก็ได้ทูลเกล้า ฯ ถวายของเจ้านาย ได้หน้าได้ตากันไป ของไม่ต้องมาก ไม่ต้องแพง เพราะพระองค์เป็น 'เจ้า' ที่ค่อนข้างติดดิน ทรงชอบกล้วยน้ำว้ามากกว่าสิ่งอื่น ๆ สามารถเสวยได้จนหมดหวี พอได้ของเสวย เจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎา ก็เสวยบนเสลี่ยงมาตามทางนั่นแหละ เป็นไงล่ะครับ อินดี้ไหมล่ะ
ยกกรณีติดดินอีกอย่างของพระองค์ก็คือ ถ้าปวดลงพระบังคนหนักก็จะรับสั่งร้องบอกคนหามพระเสลี่ยงให้รอไว้ แล้วท่านก็กระโดดลงมานั่งผินพระขนอง (หลัง) เข้ากำแพงเมืองหรือกำแพงพระราชวัง ผินพระพักตร์ออกมาทางถนน มหาดเล็กก็จะเชิญพระกลดกั้นถวายจนเสร็จ แล้วเสด็จ ฯ ขึ้นพระเสลี่ยงไปต่อ เอาสิ เป็นไงล่ะ
ส่วนงานราชการนั้น 'สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎา' ได้สนองพระเดชพระคุณในสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชอย่างเต็มกำลังความสามารถ โดยพระองค์มีความสามารถในด้านการทัพ (อันนี้น่าจะยืนยันความดุ และความกล้าได้พอควร) โดยทรงรับราชการเป็นยกกระบัตรทัพในสงครามเก้าทัพเมื่อปี พ.ศ. 2328 และร่วมตีเมืองเชียงใหม่กับสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท เรียกว่าถ้าไม่เก่งจริงคงไม่สามารถไปร่วมรบกับ 'วังหน้าพระยาเสือ' ได้เป็นแน่
(10 ก.พ. 66) พรรคก้าวไกล นำโดย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมแกนนำพรรค อาทิ อภิชาติ ศิริสุนทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ ร่วมเปิดเวทีปราศรัยแนะนำตัวว่าที่ผู้สมัครในพื้นที่อีสานใต้ ประกอบด้วย ศรีสะเกษและบุรีรัมย์ พร้อมกับเปิดรายละเอียดนโยบายด้านการเกษตรของพรรคก้าวไกล ตามแนวคิด 'กระดุม 5 เม็ด' ที่พิธา เคยใช้ในการอภิปรายเพื่อแก้ไขปัญหาเรื้อรังของการเกษตรกรทั้งระบบ
โดยในช่วงบ่าย มีการจัดเวทีที่หน้าตลาดสดเทศบาลตำบลปรางค์กู่ อ.ปรางค์กู่ จ.ศรีสะเกษ เพื่อเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส. ทั้ง 9 คน โดยได้รับการตอบรับอย่างเนืองแน่นจากประชาชน ที่เข้าร่วมจับจองที่นั่งจนเต็มเวที
พิธาเริ่มการปราศรัย กล่าวถึงแนวคิดกระดุม 5 เม็ด ที่เคยได้อภิปรายไปอีกครั้ง โดยระบุว่าในบรรดากระดุมทั้ง 5 เม็ด ตนและพรรคก้าวไกลเน้นเสมอว่ากระดุมเม็ดแรกที่เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในชีวิตของเกษตรกรคือเรื่องของที่ดิน ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลประยุทธ์ได้ใช้นโยบายยึดที่ดินจากประชาชน เป็นนโยบาย 'ทวงคืนผืนป่า' ในยุครัฐบาล คสช.
สำหรับพรรคก้าวไกล เรามีวิธีคิดที่แตกต่างออกไปจากทุกรัฐบาลที่ผ่านมา เราเป็นพรรคที่พูดมาเสมอว่าที่ดินของประเทศไทยอยู่ในมือของรัฐมากเกินไป ถึง 62% จาก 320 ล้านไร่ ภายใต้การดูแลของ 8 กระทรวง และกฎหมาย 16 ฉบับ และนี่คือจุดเริ่มต้นที่เราต้องแก้ปัญหา เป็นกระดุมเม็ดแรกที่พรรคก้าวไกลจะเข้าไปจัดการอย่างเป็นระบบ
ประการแรก คือการตั้งกองทุนพิสูจน์สิทธิที่ดิน ที่ปีหนึ่ง ๆ มีงบประมาณอยู่เพียง 300 กว่าล้านบาท ช่วยเกษตรกรพิสูจน์สิทธิได้แค่ปีละ 1,000 ราย ในอัตราเช่นนี้ เราต้องใช้เวลาถึง 1,000 ปีกว่าที่ประชาชนที่มีความต้องการจะได้รับการพิสูจน์สิทธิจนครบทั้งประเทศ ดังนั้น พรรคก้าวไกลจึงมีนโยบายเพิ่มงบประมาณในการสำรวจที่ดินเพิ่มขึ้น 30 เท่าเป็น 10,000 ล้านบาท
พร้อมกันนั้น เราจะจัดตั้ง 'ธนาคารที่ดิน' ซึ่งขบวนการภาคประชาชน อาทิ พีมูฟ ได้นำเสนอมาเป็นเวลานานแล้ว เพื่อให้เป็นกลไกในการเอาที่ดินจากมือรัฐ มาเข้าในธนาคารที่ดิน ก่อนกระจายให้ประชาชนผ่อนจ่ายเป็นเจ้าของที่ดินได้ในดอกเบี้ยราคาถูก
และที่สำคัญ คือนโยบายเปลี่ยนที่ดิน ส.ป.ก. เป็นโฉนด ซึ่งพิธาระบุว่าจากที่ดินที่ประเทศไทยเรามีอยู่ทั้งหมด 320 ล้านไร่ เป็นที่ดิน ส.ป.ก. อยู่ถึง 40 ล้านไร่ เป็นที่ดินที่ประชาชนสามารถใช้ได้แต่เต็มไปด้วยข้อจำกัด ไม่สามารถนำไปสู่การต่อยอดได้ และเวลาผ่านไปกลับเกิดการเปลี่ยนมือเป็นของนายทุนถึง 4 ล้านไร่ นี่คือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ตราบที่ประเทศไทยยังปล่อยให้ ส.ป.ก. เป็นเรื่องคาราคาซังอยู่แบบนี้ ส.ป.ก. จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดในการคายที่ดินออกมาจากมือของรัฐ
ดังนั้น พรรคก้าวไกลจึงเสนอนโยบาย ให้เกิดการเปลี่ยน ส.ป.ก. เป็นโฉนด ภายใต้เงื่อนไขรับการเปลี่ยน ส.ป.ก. เป็นโฉนดได้ไม่เกิน 50 ไร่ โดยที่ (1) หากผู้รับสิทธิ ส.ป.ก. กับผู้ใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นชื่อเดียวกัน สามารถออกเป็นโฉนดที่ดินได้ทันที ภายใน 5 ปีแรก สามารถโอนมรดกได้ แต่หากจะขายหรือจำนอง ต้องดำเนินการผ่านธนาคารที่ดิน
(2) หากผู้รับสิทธิ ส.ป.ก. กับผู้ใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นชื่อไม่ตรงกัน จะออกโฉนดที่ดินได้ก็ต่อเมื่อเป็นผู้ที่มีหลักฐานใช้ประโยชน์ที่ดินแปลงมาไม่ต่ำกว่า 10 ปี เป็นผู้ที่มีหลักฐานข้อตกลงระหว่างผู้ได้รับสิทธิเดิมกับผู้ใช้ประโยชน์ที่ดินจริง และเป็นผู้ที่มีทรัพย์สินทั้งหมดไม่เกิน 10 ล้านบาท
(3) สำหรับกรณีที่ใช้ที่ดินที่ผ่านมาเพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ นอกจากการเกษตร ได้รับการเปลี่ยน ส.ป.ก. เป็นโฉนดเฉพาะผู้ที่ครอบครองที่ดินรวมกันทั้งหมด ไม่เกิน 50 ไร่ โดยภายใน 10 ปีแรกโอนมรดกได้ แต่หากจะขายหรือจำนอง ต้องดำเนินการผ่านธนาคารที่ดิน ส่วนที่ดินส่วนที่เกิน 50 ไร่ หรือได้มาแบบผิดกฎหมาย จะถูกนำเข้าสู่ธนาคารที่ดินเพื่อนำมากระจายให้กับประชาชน
พิธายังกล่าวต่อไป ถึงการแก้ไขปัญหากระดุมเม็ดที่ 2 หรือหนี้สิน โดยระบุว่าพรรคก้าวไกลมีนโยบายที่จะปลดหนี้สินเกษตรกร เช่น นโยบายปลูกป่าปลดหนี้ ที่รัฐจะเข้าไปเช่าที่ดินจากเกษตรกรที่ไม่ประสงค์จะปลูกพืชเศรษฐกิจอีก แล้วมาปลูกไม้ยืนต้น ให้เกษตรกรได้ค่าเช่ามาปลดหนี้ รวมถึงนโยบายเสรีโซลาร์เซลล์ ให้ประชาชนสามารถติดตั้งโซลาร์เซลล์ได้ง่ายขึ้น และสามารถขายไฟฟ้าส่วนเกินคืนให้กับรัฐได้ และที่สำคัญ ในกรณีที่เป็นเกษตรกรสูงอายุที่เป็นหนี้ ธ.ก.ส. หากคืนหนี้เกิน 50% แล้วรัฐบาลยกหนี้ให้ทันที
สำหรับกระดุมเม็ดที่ 3 หรือต้นทุน พรรคก้าวไกลมีนโยบายลดต้นทุนให้เกษตรกรอย่างครบวงจร ทั้งน้ำ ปุ๋ย และเครื่องจักร และเมื่อเก็บเงิน ตั้งตัว ลดต้นทุนได้แล้ว กระดุมเม็ดที่ 4 ของเรา คือการเพิ่มมูลค่าด้วยสุราก้าวหน้า อย่างที่ศรีสะเกษมีวิสกี้ขาวที่กำลังจะหายไปจากภูมิปัญญาท้องถิ่น ถ้าก้าวไกลเป็นรัฐบาล ได้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นของพรรคก้าวไกล แก้ระเบียบแค่ประโยคเดียวเพื่อปลดข้อจำกัดด้านกำลังแรงม้าและทุนจดทะเบียน เกษตรกรสามารถเริ่มต้นเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรได้ทันที
สำหรับกระดุมเม็ดที่ 5 บริการการเกษตร พรรคก้าวไกลมีนโยบายเพิ่มรายได้ใหม่ให้เกษตรกร เพื่อนำไปสู่การต่อยอดจากสินค้าสู่บริการ เช่น นโยบายให้เกษตรกรขอการรับรองมาตรฐาน GAP-GMP และเกษตรอินทรีย์ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อส่งเสริมการส่งออกสินค้าเกษตรคุณภาพดีไปทั่วโลก
พิธายังกล่าวต่อไป ว่าหลายคนอาจจะพูดว่าพรรคการเมืองทุกพรรคมีนโยบายการเกษตรเหมือนกันหมด แต่สำหรับพรรคก้าวไกล วันนี้เรามีนโยบายที่ต่างออกไปจากทุกพรรคอย่างชัดเจน มีข้อมูลที่ครบถ้วนอยู่ในมือที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาของเกษตรกรได้อย่างแน่นอน
พุทธศักราช 2478 นาวาโทหลวงศุภชลาศัย (บุง ศุภชลาศัย) อธิบดีกรมพลศึกษาคนแรก ต้องการจัดหาสถานที่ตั้งสนามกีฬากลางกรมพลศึกษา โรงเรียนฝึกหัดครูพลศึกษากลาง และสโมสรสถานลูกเสือ กระทั่งได้ทำสัญญากับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อเช่าที่ดินขนาด 77 ไร่ 1 งาน ที่ตำบลหอวัง บริเวณวังวินด์เซอร์เดิม เป็นระยะเวลา 29 ปี
โดยเมื่อวันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2480 จึงมีพระราชพิธีก่อพระฤกษ์ (วางศิลาฤกษ์) จากคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เริ่มลงมือก่อสร้างจนสำเร็จลุล่วงเป็น 'กรีฑาสถานแห่งชาติ' (The National Stadium of Thailand) สนามกีฬาแห่งชาติของประเทศไทยจวบทุกวันนี้
การใช้งานกรีฑาสถานแห่งชาติอย่างเป็นทางการครั้งแรก เกิดขึ้นเมื่อครั้ง พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร (รัชกาลที่ 8) เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดการแข่งขันกรีฑาประชาชนชาย ประจำปี พ.ศ. 2481
สนามศุภชลาศัย (ชื่อลำลอง - จากผู้ดำริสร้าง 'หลวงศุภชลาศัย') มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบ 'อาร์ตเดโค' หรือ 'อลังการศิลป์' ที่เน้นการออกแบบเล่นกับเส้นสายแนวตั้งที่ชัดเจน กันสาดแผ่นบาง ๆ หน้าต่างเข้ามุมอาคาร หรือการออกแบบแนวเสาอิงให้แสดงออกถึงเส้นแนวตั้ง มีซุ้มประตูทางเข้าใหญ่ มีอาคารรูปทรงเรขาคณิตหนักแน่นเป็นมวลทึบ
สนามกีฬาแห่งชาตินี้เคยถูกใช้เพื่อการกีฬาทุกระดับ อาทิ กีฬาเอเชียนเกมส์ 3 ครั้ง (พ.ศ. 2509, 2513 และ 2521) กีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2502 กับ ซีเกมส์ ครั้งที่ 13 พ.ศ. 2528 หรือฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพและควีนสคัพ รวมถึงฟุตบอลโลกหญิง รอบคัดเลือกโซนเอเชีย / ฟุตบอลในกีฬามหาวิทยาลัยโลก (2550) และงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ - ธรรมศาสตร์ กับฟุตบอลประเพณีจตุรมิตรสามัคคี ซึ่งจัดประจำทุกปี เช่นเดียวกับพิธีทบทวนคำปฏิญาณตนและสวนสนาม ของลูกเสือและเนตรนารี เนื่องในโอกาสคล้ายวันสถาปนาคณะลูกเสือแห่งชาติ (1 กรกฎาคม)