Saturday, 21 June 2025
ค้นหา พบ 48945 ที่เกี่ยวข้อง

‘สนธยา’ นำทีมบ้านใหญ่ชลบุรี ซบ ‘เพื่อไทย’ มั่นใจชนะยกจังหวัด แย้ม ‘อิทธิพล’ รอสมทบ

‘สนธยา’ นำทีมบ้านใหญ่ชลบุรีซบ พท. มั่นใจชนะยกจังหวัด ประกาศชัดมติครอบครัวไม่แยกกันเดิน แย้ม ‘อิทธิพล’ หลังพ้นหน้าที่ รมว.วัฒนธรรม ตบเท้าเข้า พท. ด้าน ‘ชลน่าน’ ไม่เชื่อ ‘ประยุทธ์’ แลนด์สไลด์

(8 ก.พ. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) พรรคพท.นำโดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรค นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รองหัวหน้าพรรค นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด ประธานคณะกรรมการประสานงานด้านการเมืองพื้นที่กรุงเทพฯ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา และเลขาธิการพรรค พร้อมด้วย ส.ส.กทม. ร่วมแถลงเปิดตัวผู้ซึ่งประสงค์ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ชลบุรี ทั้ง 12 คน ประกอบด้วย 1.) นายสนธยา คุณปลื้ม, 2.) นางสุกุมล คุณปลื้ม, 3.) น.ส.สุภีพันธุ์ หอมหวล, 4.) นายฉัตรชัย อั้งลิ้ม, 5.) นายอนันต์ ปรีดาสุทธิจิตต์, 6.) นายแมน อินทร์พิทักษ์, 7.) นายเชาวลิตร แสงอุทัย, 8.) นายพนธกร ใคร่ครวญ, 9.) นายสัมฤทธิ์ พงษ์วิรัตน์, 10.) นายเดชา จันทร์เล็ก, 11.) นายสงกรานต์ ภาชนะ และ 12.) นายชาญยุทธ เฮงตระกูล

โดย นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ยินดีที่ได้รับสมาชิกใหม่ของเรา ซึ่งเป็นสมาชิกเก่าเราด้วย ขอบคุณนายสนธยาที่มาร่วมงานกับเรา ซึ่งเราเคยร่วมงานกันมาแล้วในปี 2548 สมัยพรรคไทยรักไทย และเชื่อมั่นว่าในการเลือกตั้งปี 2566 ชาวชลบุรีจะเทคะแนนให้เราแลนด์สไลด์ สำหรับการเปิดตัววันนี้ จะมีสมาชิกมาร่วมงานกับเราในขณะนี้ 12 คน ทั้งบัญชีรายชื่อและเขต มั่นใจว่าผู้สมัครของเราโดยการนำของนายสนธยามีความเข้มแข็ง เข้าใจประชาชนเป็นอย่างดี ประกอบนโยบายและว่าที่นายกรัฐมนตรีของเราจะทำให้เรานำไปสู่เป้าหมายแลนด์สไลด์ได้ 

ด้าน นายสนธยา กล่าวว่า ในฐานะตัวแทนทีมชลบุรี มีความยินดี มีโอกาสกลับมาร่วมทำงานกับพรรค พท.อีกครั้ง เมื่อปี 2548 สมัยพรรคไทยรักไทย ครั้งนั้นได้รับความไว้วางใจจากประชาชนเลือกพวกเราเข้ามาทำงาน ครั้งนี้การที่ทีมชลบุรีกลับมาร่วมงานกับพรรค พท.อีกครั้ง เนื่องจากเห็นว่า นโยบายที่พรรคประกาศออกมา รับฟังจากประชาชน มีนโยบายครอบคลุมทุกความต้องการของประชาชน ทีมชลบุรีมีความหลากหลาย ตั้งแต่อายุ 20 กว่า ผู้มีประสบการณ์ ผู้ที่เคยทำงานการเมืองระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ

ขณะนี้เรามีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ ปากท้อง หวังว่าด้วยนโยบายของพรรคที่ตรงจุด บวกกับความมุ่งมั่นตั้งใจ จะสามารถแก้ปัญหาให้ประชาชนได้ และนำพาประเทศก้าวข้ามความขัดแย้งได้ เชื่อมั่นว่า การเลือกตั้งครั้งนี้จะได้รับความไว้วางใจจากประชาชนแบบแลนด์สไลด์ ทำให้ประเทศไทยก้าวไปสู่ประเทศที่สามารถแข่งขันได้เหมือนในอดีตที่ผ่านมา ด้วยเหตุผลที่กล่าวมา ทำให้ทีมชลบุรีตัดสินใจมาร่วมงานกับพรรค พท.อีกครั้ง 

เมื่อถามว่า ทีมชลบุรีจะขอทวงคืนพื้นที่ทั้งหมด จากกลุ่มบ้านใหม่ที่ไปอยู่กับพรรคของนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่ นายสนธยา กล่าวว่า เดิมจังหวัดชลบุรีเป็นพื้นที่บ้านใหญ่อยู่แล้ว ด้วยผลงานของทีมชลบุรีช่วงที่ผ่านมา ทำให้มั่นใจการจะทวงคืนนั้น เป็นสิ่งที่ชัดเจนอยู่แล้ว เพราะเดิมก็เป็นพื้นที่ของเรา ครั้งนี้ก็เช่นกันทีมชลบุรีจะทุ่มเทอย่างเต็มที่ทั้ง 10 เขต

8 ปี ‘ประยุทธ์’ บริหารแบบไม่เอาใจประชาชน แต่ทำที่ทุกคนได้ในผลประโยชน์รวมเชิงประจักษ์

เห็นข่าว ‘บิ๊กตู่’ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ใส่อารมณ์เล็กๆ ให้ชวนสงสัย กับคำพูดซึ่งได้กล่าวถึงการใช้งบประมาณสำหรับการดูแลประชาชนต่อผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบรัฐบาลว่า…

“ที่ผ่านมาเราใช้งบประมาณดูแลประชาชนเป็นล้านล้านบาทแล้ว ถือเป็นจำนวนไม่น้อย และเราดูแลเต็มที่แล้ว ถ้าจะเพิ่มงบไปอีก 8 แสนล้านบาทตามที่บางพรรคการเมืองเสนอ ตนไม่ได้พูดว่าพรรคไหน แต่ใครเป็นรัฐบาลไปดูเอาเองแล้วกัน ฝากดูแลเองไปหาเงินเอาเองแล้วกัน”

พลันที่คำพูดนี้เผยออกมา ก็มีการตั้งคำถามว่าพรรคไหน? หรือใครกัน? ที่คิดจะเสนอให้ปันงบก้อนนี้ออกมา ปันมาทำไม? ปันไปใช้เพื่ออะไร?

เพราะหากสะระตะกันดูเล่นๆ เงิน 8 แสนล้านบาท นี่มันก็คือตัวเลข 1 ใน 4 ของปีงบประมาณแผ่นดิน 2566 กันเลยทีเดียวเชียวนะ

แต่ก็อย่างว่าแหละ!! เรื่องแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมาย เพราะ ณ ห้วงเวลานี้ ในช่วงใบปะพรรคการเมือง เริ่มเกลื่อนเป็นหย่อมๆ ทั่วไทยแลนด์ แสดงให้เห็นถึงการประกาศศักดาของทุกพรรคการเมืองที่พร้อมลงสู่สนามเลือกตั้ง 

โดยในใบปะเหล่านั้น มิไม่มีเพียงแค่การแนะนำตัวบุคคลหรือพรรค หากแต่เปี่ยมล้นไปด้วยถ้อยคำชวนประชาให้นิยม จากแคนดิเดตว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ที่ต่างรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า “เลือกผมได้แน่” / “เลือกอิชั้นได้มากกว่า” / “เลือกพรรคเรารับรองนโยบายนี้มา” ว่อน!!!

เมื่อหยิบจับสถานการณ์มาปะติดกับคำวาทกรรมเกรี้ยวกราดของ ‘ประยุทธ์’ มันเลยไปสะดุดได้ว่า ‘ทุกผู้-ทุกพรรค’ ที่พร้อมลงหาเสียงเลือกตั้ง ต้องมีเงินถังไว้แต่งแต้มฝันให้นโยบายของตนไปล่าผู้คนในมหาศึกกลยุทธ์ล่าประชานิยมเป็นแน่แท้

ยิ่งไปกว่านั้น หากถอดข้อเขียนของ ‘ลุงเปลวสีเงิน’ เมื่อวันที่ 2 ก.พ.66 ทีผ่านมา ประกบคำพูดของ ‘บิ๊กตู่’ เข้าไปอีก ก็พลันให้ร้องอ๋อ!! ได้แบบมัดแน่น ว่าเหตุใดคำตัดพ้อเช่นนั้นจึงออกจากน้องเล็กแห่ง 3ป. ให้ผู้คนสงสัย

นั่นก็เพราะ หากเหลียวไปมองนโยบายจากแต่ละพรรคที่ใช้หาเสียงกันตอนนี้ ช่างดูแล้วหนักใจ!! เนื่องจากนโยบายแต่ละพรรค ล้วนฟังดูไม่ต่างสลากสรรพคุณยา ประเภท ทาปุ๊บหายปั๊บ-กินปั๊บหายปุ๊บ, ทาผัวหอมถึงเมีย อะไรประมาณนั้น ซึ่งมันไม่ต่าง ‘ยาผีบอก’

แต่ที่สำคัญยิ่งกว่า คือ ‘ทุกนโยบาย-ทุกพรรค’ เอาเงิน ‘งบประมาณแผ่นดิน’ มาเป็นสัญญาว่า ‘จะแจก-จะให้’ ทั้งนั้น

ชาวบ้านตอนนี้ เลยเป็นเหมือนแมวหลงกลิ่นปลาย่างทาจมูก ด้วยการเอาเงินแผ่นดินไปตกเบ็ดชาวบ้าน เมื่อเข้ามาเป็นรัฐบาลแล้ว ทั้งๆ ที่เรารู้กันดีใช่มั้ยว่า...ภาษีที่เก็บจากชาวบ้านได้ปีละเท่าไหร่? แล้วมันพอหรือไม่?

ฉะนั้นการที่จะเอางบประมาณแผ่นดินไปทำสวัสดิการทำนองลดแลกแจกแถมชาวบ้านคนละ 3 พัน 4 พัน แถมนั่นฟรี-ฟรีนี่ / น้ำมัน-แก๊ส ก็ต้องถูก / ค่าไฟฟ้า-ค่ารถโดยสาร ก็ต้องถูก / ค่ารักษาพยาบาลก็ต้องฟรี / เฒ่าชแร-แก่ชรา ก็ต้องมีค่าขนม มันก็ยิ่งจะทำให้ไทยใกล้เป็น ‘รัฐสวัสดิการ’ เข้าไปเต็มตัวแล้ว!

คำถาม คือ แต่ละพรรค ต่างออกนโยบาย ‘สัญญาจะให้’ เห็นแล้วหนักใจ (แทนประเทศ) แต่เมื่อเข้าไปเป็นรัฐบาลแล้ว จะเอาเงินที่ไหนไป ‘ปรนเปรอ-แจกจ่าย’ ตามสัญญา?

เลิกพูดไปเลย เรื่อง ‘พัฒนาประเทศ’ เพราะแค่เงินเดือนข้าราชการกับค่ารายจ่ายประจำ งบประมาณแต่ละปี ก็แทบไม่เหลืออยู่แล้ว แล้วนี่ ยังจะแข่งกัน ‘ปล้นเอาเงินอนาคตประเทศ’ ไปตกเบ็ดหาเสียงอีก

ดังนั้นอยากให้ย้อนกลับมามอง ‘ประเทศไทย’ ในยุค 8 ปี ‘ประยุทธ์’ ที่หลายๆ ด้านมันพัฒนา ‘เกินหน้า-เกินตา’ ประเทศเพื่อนบ้านเขาไปเร็วมา เดี๋ยวติดอันดับประเทศคนมาท่องเที่ยวมากที่สุดบ้าง เดี๋ยวเป็นประเทศน่าอยู่-น่าลงทุนที่สุดบ้างเดี๋ยวเป็นประเทศที่ค่าเงินเสถียรที่สุดบ้าง เดี๋ยวเป็นประเทศที่คนใจดี-น่ารักที่สุดบ้าง เป็นประเทศที่โครงสร้างพื้นฐานคมนาคมและโทรคมนาคม สะดวก-เร็ว ที่สุดบ้าง 

มันดีจนเพื่อนบ้านในอาเซียนเขาเริ่ม ‘มองค้อน’ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องเหล่านี้เกิดจากหัวใจนโยบายของผู้นำที่ ‘เข้าถึง-จริงใจ’ ในปรัชญาของมัน เขาจะไม่พล่ามพูด แต่งานที่เขาทำ มันจะพูดเอง

ไม่ใช่การใส่ ‘ประชานิยม’ เพื่อหวังเอาใจประชาชน แต่เลือกทำที่ประชาชนโดยส่วนรวมต้องอยากได้ และได้ในผลประโยชน์รวมเชิงประจักษ์!!

พูดง่ายๆ คือ นโยบายที่ดี บ้านเมืองต้องได้ สังคมต้องได้ ประชาชนต้องได้ และอยู่ร่วมกันได้ โดยไม่เหยียบหัวแม่ตีนกัน ซึ่งนี่คือ เผด็จการ ‘ประชาธิปไตย’

ม.นราฯจัดงานครบรอบ 18 ปีแห่งการสถาปนา มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ มหาวิทยาลัยแห่งการสร้างสรรค์เทคโนโลยีและนวัตกรรมสู่ความยั่งยืน

ที่ อาคารเฉลิมพระเกียรติมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ ตำบลโคกเคียน อำเภอเมือง จังนราธิวาส ดร.จงรัก พลาศัย นายกสภามหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ เป็นประธานเปิดงานครบรอบ 18 ปี แห่งการสถาปนามหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ โดยมี รศ.ดร.รสสุคนธ์ แสงมณี อธิการบดีมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ ว่าที่ร้อยตรี จิรัสย์ ศิริวัลลภ นายอำเภอเมืองนราธิวาส หัวหน้าส่วนราชการ คณะผู้บริหาร คณาจารย์ บุคลากรทางการศึกษา นักศึกษา ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียงกัน

ทั้งนี้สืบเนื่องจากได้มีพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2548 ให้มีการหลอมรวมวิทยาลัยเทคนิคนราธิวาส วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีนราธิวาส วิทยาลัยการอาชีพตาก ใบ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาและวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีนราธิวาส สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จัดตั้งเป็นมหาวิทยาลัยนราธิวาส ราชนครินทร์ เป็นสถาบันทางวิชาการโดยมีพันธกิจดังนี้

1.) ผลิตบัณฑิต ให้มีความรู้ มีคุณธรรม และจริยธรรม จัดการศึกษาทางด้านวิชาชีพทั้งระดับต่ำกว่าปริญญา และระดับปริญญา ที่ได้มาตรฐาน เป็นที่ยอมรับของประชาชนในภูมิภาค และมีความร่วมมือทางวิชาการกับท้องถิ่นและต่างประเทศ
2.) ผลิตผลงานทางวิชาการงานวิจัย สร้างงานวิจัยที่มีคุณภาพ สนับสนุนงานวิชาการ นวัตกรรม ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาคน ยกระดับเศรษฐกิจชุมชน และสังคม ของ 3 จังหวัดชายแดนใต้และระดับประเทศ
3.) บริการวิชาการและวิชาชีพ โดยการถ่ายทอดความรู้ และเทคโนโลยีหลากหลายรูปแบบสู่ชุมชน สังคมอย่างมีคุณภาพ
4.) ทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมและกีฬา สร้างแหล่งเรียนรู้ด้านศิลปวัฒนธรรม ส่งเสริม และสนับสนุนการกีฬาและนันทนาการอย่างต่อเนื่อง
5.) บริหารและการจัดการ พัฒนาโครงสร้างและระบบการบริหารอย่างมีคุณภาพ พร้อมน้อมนำยุทธศาสตร์พระราชทาน เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนาเพื่อให้เกิดความสันติสุขและความภาคภูมิใจของท้องถิ่นอย่างแท้จริง

แถลงข่าวลงนามในบันทึกข้อตกลง (MOU)ในการเชื่อมโยงข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ในการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก

(8 ก.พ. 66) เวลา 10.30 น. ณ สารสิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก นายเสกสม อัครพันธ์ุ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก และผู้บริหารของกรมการขนส่งทางบก พร้อมด้วย พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.กมค. พล.ต.ท.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผบช.สยศ.ตร. และ พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์  ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร. พล.ต.ต.เอกราช ลิ้มสังกาศ ผบก.ทล. ได้ร่วมกัน แถลงข่าวประชาสัมพันธ์การเชื่อมโยงข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ในการบังคับใช้กฎหมาย ว่าด้วยการจราจรทางบก เพื่อลดการกระทำผิดกฎหมาย ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน 

ผบ.ตร. กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี  มีความห่วงใยต่อพี่น้องประชาชนผู้ใช้รถ ใช้ถนน ให้เกิดความปลอดภัยในการขับขี่ ลดจำนวนผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุ  จึงได้สั่งการ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมการขนส่งทางบก ร่วมกันดำเนินการกวดขันวินัยการขับขี่ โดยบังคับใช้มาตรการตามที่กำหนดในกฎหมายให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทั้ง 2 หน่วยงาน จึงได้ร่วมกันกำหนดมาตรการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยจราจรทางบก จำนวน 2 มาตรการ ได้แก่  

มาตรการที่ 1 การตัดคะแนนความประพฤติ ซึ่งได้เริ่มดำเนินการไปตั้งแต่ 9 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งมีผู้กระทำผิดกฎจราจรและถูกตัดคะแนนแล้ว จำนวน 15,456 ราย

มาตรการที่ 2  คือมาตรการชะลอการออกเครื่องหมายแสดงการเสียภาษี สำหรับรถที่มีใบสั่งค้างชำระ ตาม 141/1 พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งทั้ง 2 หน่วยงานจะต้องมีการเชื่อมโยงข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องตามที่กฎหมายกำหนด เช่น ข้อมูลใบอนุญาตขับขี่ ข้อมูลยานพาหนะ และข้อมูลใบสั่งค้างชำระ เพื่อให้เกิดการบูรณาการข้อมูลได้แบบ Real Time ทำให้การบังคับใช้กฎหมายเกิดผลสัมฤทธิ์ และมีประสิทธิภาพสูงสุด จึงได้กำหนดให้มีการลงนาม บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ระหว่าง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ กรมการขนส่งทางบก เชื่อมโยงข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก

สำหรับ มาตรการชะลอเครื่องหมายแสดงการเสียภาษี จะใช้กับรถยนต์ที่ที่มีใบสั่งจราจรที่ค้างชำระ ซึ่งเพิกเฉยไม่ชำระค่าปรับตามที่กำหนด โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะส่งข้อมูลโดยระบบอิเล็กทรอนิกส์ไปยังนายทะเบียนกรมการขนส่งทางบก เมื่อประชาชนไปต่อภาษีรถยนต์ประจำปี นายทะเบียนจะรับต่อภาษีประจำปี แต่ยังไม่ได้รับเครื่องหมายแสดงการเสียภาษี (ป้ายภาษี) โดยจะได้หลักฐานชั่วคราวแทนป้ายภาษี ซึ่งมีอายุ 30 วัน เพื่อให้ผู้นั้นไปชำระค่าปรับที่ค้างชำระให้ครบถ้วนภายใน 30 วัน แล้วจึงสามารถมารับป้ายภาษีได้ แต่หากประชาชนต้องการจะชำระค่าปรับในขณะต่อภาษี กฎหมายกำหนดให้อำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ให้นายทะเบียนสามารถรับชำระค่าปรับตามใบสั่งพร้อมกับชำระภาษี และรับเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีได้เลยทันที

ผบ.ตร. กล่าวเพิ่มเติมว่า การขับรถโดยไม่มีป้ายภาษี จะมีโทษตาม พ.ร.บ.รถยนต์ฯ มาตรา 11  ซึ่งกำหนดว่า รถยนต์คันที่ต่อภาษีแล้วจะต้องแสดงเครื่องหมายตามที่กรมการขนส่งกำหนดให้ครบถ้วน มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท 

ทั้งนี้ ประชาชนสามารถตรวจสอบข้อมูลใบสั่งค้างชำระ และคะแนนความประพฤติได้ จากเว็บไซต์ E-ticket PTM  และ แอปพลิเคชั่น ขับดี ทางด้าน นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า ตามที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบนโยบายในการป้องกันและรณรงค์ให้เกิดความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน และบังคับใช้กฎหมายกับผู้ฝ่าฝืน กรมการขนส่งทางบกได้ดำเนินการตามนโยบาย โดยการร่วมจัดทำ “บันทึกข้อตกลงความร่วมมือการเชื่อมโยงข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบกระหว่าง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กับ กรมการขนส่งทางบก” ซึ่งบันทึกข้อตกลงนี้ มีที่มาจากพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 141/1 ที่กำหนดมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย สำหรับผู้ที่กระทำความผิดตามกฎหมายจราจรและได้รับใบสั่งจากเจ้าพนักงานตำรวจ และไม่ชำระค่าปรับจราจรภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด 

'บิ๊กป้อม' ลุย ปทุมธานี ติดตามสถานการณ์น้ำ ส่องความคืบหน้าโครงการสถานีสูบน้ำ

(8 ก.พ. 66) เมื่อเวลา 13.40 น. ที่ชั้น 5 ห้องประชุมบัวหลวงปทุมธานี ศาลากลางจังหวัดปทุมธานี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำ จังหวัดปทุมธานี และมอบนโยบายให้หน่วยงานเกี่ยวข้อง มีนายณรงศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าฯ ปทุมธานี ตัวแทนส่วนราชการในพื้นที่ เข้าร่วม อาทิ พล.ต.อ.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี และส่วนราชการเกี่ยวข้อง เป็นต้น โดยพล.อ.ประวิตร ยิ้มแย้มแจ่มใสและทักทายผู้ว่าปทุมฯ อย่างอารมณ์ดี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top