Monday, 23 June 2025
ค้นหา พบ 48981 ที่เกี่ยวข้อง

‘Franja Partisan’ โรงพยาบาลลับ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 สู่ ‘อนุสรณ์สถาน’ มรดกโลกของสโลวีเนีย

ผู้อ่านหลาย ๆ ท่านคงไม่ค่อยคุ้นกับประเทศ ‘สโลเวเนีย’ สักเท่าไหร่ หากแต่พูดถึงประเทศยูโกสลาเวียก็คงพอคุ้นอยู่บ้าง จริง ๆ แล้ว สโลเวเนียเคยเป็นส่วนหนึ่งของยูโกสลาเวีย ซึ่งล่มสลายไปในปี ค.ศ. 1992 

แต่เดิมสโลเวเนียเป็นรัฐเอกราช ต่อมาในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1918 ประชาชนชาวสโลวีนตัดสินใจก่อตั้งรัฐแห่งชาวสโลวีน โครแอต และเซิร์บ ต่อมาเดือนธันวาคม ค.ศ. 1918 รัฐแห่งชาวสโลวีน โครแอต และเซิร์บรวมตัวกับราชอาณาจักรเซอร์เบียกลายเป็นราชอาณาจักรแห่งชาวเซิร์บ โครแอต และสโลวีน (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นราชอาณาจักรยูโกสลาเวียใน ค.ศ. 1929) 
 

ช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง สโลวีเนียถูกยึดครอง โดยเยอรมนี อิตาลี และฮังการี และมีพื้นที่เล็ก ๆ อยู่ในการปกครองของรัฐเอกราชโครเอเชียซึ่งเป็นรัฐหุ่นเชิดของนาซีเยอรมนี 

หลังจากนั้นสโลวีเนียก็เข้าเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งสหพันธ์สาธารณรัฐประชาชนยูโกสลาเวีย และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวียซึ่งเป็นรัฐคอมมิวนิสต์ประเทศเดียวในกลุ่มตะวันออก ซึ่งไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งของกติกาสัญญาวอร์ซอ และล่มสลายหลังจากสงครามยูโกสลาเวีย ในปี ค.ศ. 1990

กลุ่มผู้นำของ Slovene Partisans จากซ้าย : Boris Kraigher, Jaka Avšič, Franc Rozman, Viktor Avbelj และ Dušan Kveder.

หลังจากรู้จักประเทศสโลวีเนียไปแล้ว คราวนี้มารู้จักสถานที่ที่มหัศจรรย์ในประเทศนี้กันบ้างนะครับ นั่นคือ ‘โรงพยาบาล’ Franja Partisan (Partizanska bolnica Franja ในภาษาสโลวีเนีย) เป็นโรงพยาบาลลับของกองกำลังพลพรรคชาวสโลเวเนีย (Slovene Partisans) ซึ่งทำการสู้รบเพื่อต่อต้านกองทัพนาซีเยอรมันและกองกำลังฟาสซิสต์อิตาลีในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง

โรงพยาบาลลับแห่งนี้ตั้งอยู่ที่หมู่บ้าน Dolenji Novaki ใกล้ ๆ กับเมือง Cerkno ทางตะวันตกของสโลวีเนีย ดำเนินการตั้งแต่เดือนธันวาคม ค.ศ. 1943 จนกระทั่งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง

โรงพยาบาล Franja Partisan ให้การรักษาผู้ที่ได้รับบาดเจ็บมากมาย มีทั้งทหารจากฝ่ายพันธมิตรและฝ่ายอักษะ แม้ว่ากองกำลัง Wehrmacht (กองทัพเยอรมัน) ได้พยายามค้นหาโรงพยาบาลแห่งนี้หลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยถูกค้นพบเลย และปัจจุบันโรงพยาบาล Franja Partisan กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ ได้รับการคุ้มครองให้เป็นอนุสรณ์สถานทางวัฒนธรรมที่มีความสำคัญระดับชาติ

แผนผังและหมายเลขของอาคารโรงพยาบาลก่อนการถูกทำลาย

โดยโรงพยาบาลแห่งนี้ประกอบไปด้วย 
1. กระท่อมสำหรับผู้บาดเจ็บ หลุมหลบภัย
2. หน่วยแยก
3. กระท่อมปฏิบัติการ
4. ค่ายทหารแพทย์
5. หน่วยเอ็กซเรย์
6. ร้านขายเปลหาม
7. ห้องครัว
8. กระท่อมสำหรับผู้บาดเจ็บ ห้องรับประทานอาหาร
9. กระท่อมสำหรับผู้บาดเจ็บ ร้านค้า และเวิร์กช็อปของช่างไม้
10. ห้องพักพนักงาน
11. ห้องน้ำ และ ห้องซักรีด
12. สถานพยาบาล
13. ถังเก็บน้ำ
14. โรงไฟฟ้า
15. อาคารสำหรับฝังแขนขา
16. บังเกอร์เหนือ Pasica Gorge

หลายท่านคงสงสัยว่าโรงพยาบาลแห่งนี้รอดพ้นสายตาของนาซีเยอรมันไปได้อย่างไร คำตอบก็คือโรงพยาบาล Franja Partisan สร้างขึ้นในภูมิประเทศที่ทุรกันดารในช่องเขา Pasica อันห่างไกลทางตะวันตกของสโลวีเนียครับ 

นอกจากนี้ ทางเข้าของโรงพยาบาลถูกซ่อนอยู่ในป่า และสามารถเข้าถึงโรงพยาบาลได้ด้วยสะพานเท่านั้น สะพานสามารถยืดและหดได้ หากศัตรูอยู่ในบริเวณใกล้เคียงก็จะมีการหดซ่อนสะพานเพื่อรักษาความลับของทางเข้าสู่โรงพยาบาลลับ 

ส่วนในการเข้าสู่กระบวนการรักษา ผู้ป่วยจะถูกปิดตาระหว่างการเคลื่อนย้ายไปยังโรงพยาบาล ทำให้ไม่รู้เส้นทางเข้าโรงพยาบาลที่แน่ชัด นอกจากนี้ รอบๆ โรงพยาบาลแห่งนี้ยังล้อมรอบไปด้วยทุ่นระเบิดและรังปืนกล และด้วยที่รอบๆ พื้นที่มีต้นไม้จำนวนมากจึงช่วยอำพรางอาคารจากการสอดแนมทางอากาศ

ดื่มด่ำ!! เมืองในฝันอันแสนโรแมนติกของสหรัฐฯ พิกัดตะวันออกเฉียงเหนือที่เรียกว่า New England

พี่มิกตะโกนอย่างตกใจว่ารถจะพุ่งลงแม่น้ำแล้ว เราตื่นขึ้นมาจากภวังค์หักพวงมาลัยและเหยียบคันเร่งให้รถไต่ขึ้นกลับมาบนถนน เราขอโทษพี่มิกเป็นการใหญ่ พี่มิกดุเราเล็กน้อยว่าไม่ควรสนุกจนนอนไม่พอ 

จากนั้นพี่มิกเปลี่ยนมาขับรถแทนเพื่อให้เราได้นอนพักผ่อน เราหลับตาไปสักพักก็หลับสนิท กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เมื่อรถเราเข้าเขตเมือง Albany รัฐนิวยอร์ก New York

เมื่อเอ่ยถึงรัฐนิวยอร์ก คนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าเมืองนิวยอร์ก (New York City) คือเมืองหลวงของรัฐ เพราะเป็นศูนย์รวมธุรกิจระดับโลก ตลาดหุ้นวอลล์สตรีท ร้านบูติกดีไซเนอร์ชื่อดัง และร้านอาหารของเหล่าเชฟมิชลินแห่กันมาปักหมุดอยู่ที่เมืองนี้ เนื่องจากเป็นเมืองท่าสำคัญของฝั่งตะวันออกของประเทศมากว่าสองร้อยปี

แต่ที่จริงแล้วเมืองหลวงของรัฐนิวยอร์กนั้นอยู่ที่เมืองอัลบานีซึ่งอยู่ทางเหนือ คนเลยมักจะเรียกบริเวณนี้ว่า Upstate 

ถ้าใครได้ผ่านไปเมืองนี้แล้วอยากแวะเที่ยว อย่าลืมไปแวะชมตึก New York State Capital สถานที่ว่าการของรัฐ ซึ่งขณะนี้ผู้ว่าการหญิงคนแรก Kathy Hochul ดำรงตำแหน่งอยู่ ถ้าชอบพิพิธภัณฑ์ ขอแนะนำให้ไป Albany Institute of History & Art และ New York State Museum ถ้าอยากจะทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในอัลบานี ท่านผู้อ่านสามารถหาข้อมูลได้จากเว็ปไซต์ https://www.albany.org

เมื่อผ่านจากอัลบานี เราก็เข้าในเขตBerkshires ทางตะวันตกของรัฐแมสซาชูเซตส์ (Western Massachusetts) เราพากันตื่นตาตื่นใจกับทิวทัศน์สองข้างทาง ต้นไม้เต็มไปด้วยใบไม้สีแดง, ส้ม, เหลืองทองและน้ำตาล 

เมื่อแสงแดดอ่อนยามบ่ายฉายไปบนต้นไม้และใบไม้ช่างดูเหมือนกับเมืองในฝันที่แสนโรแมนติก ภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐฯ ที่เรียกว่า New England ซึ่งมีหกรัฐคือ Connecticut, Maine, Massachusetts, New Hampshire, Rhode Island และ Vermont นั้นมีชื่อเสียงที่มีทิวทัศน์ของใบไม้เปลี่ยนสี (Fall Foliage) ที่แสนงาม เพราะอุดมไปด้วยต้นโอ๊คและเมเปิ้ลที่มีไว้ทำน้ำตาล (Sugar Maple) ซึ่งจัดอยู่ในต้นไม้พันธุ์เปลือกแข็งที่ผลิตใบไม้แห้งหลากสีก่อนที่จะร่วงออกจากต้น 

นักท่องเที่ยวมักจะมาภูมิภาคนี้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงเพื่อที่จะได้ชมความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ ถ้าใครได้มาแถวนิวอิงแลนด์ช่วงต้นถึงกลางเดือนตุลาคมไม่ควรพลาดโอกาสที่จะขับรถยลสีสันของมวลใบไม้ แถมดื่มด่ำบรรยากาศบ้านๆ ของชาวไร่อเมริกันในช่วงเก็บเกี่ยวแอปเปิ้ลและฟักทอง เนื่องจากผู้เขียนชินกับรัฐแมสซาซูเซตส์และนิวแฮมเชียร์ ขออนุญาตเน้นข้อมูลของสองรัฐนี้ https://berkshires.org เสนอข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในแถบตะวันตกของรัฐแมสซาชูเซตส์รวมถึงเส้นทางชมใบไม้ร่วง https://visitnh.gov/seasonal-trips/fall/peak-foliage-map บอกเกี่ยวกับช่วงเวลาที่ใบไม้เปลี่ยนสีมากที่สุดของแต่ละพื้นที่ในรัฐนิวแฮมเชียร์ https://www.mass.gov/guides/pick-your-own-farms แนะนำฟาร์มที่มีบริการให้นักท่องเที่ยวเก็บผลไม้ด้วยตัวเองในรัฐแมสซาซูเซตส์ ส่วน https://www.pumpkinpatchesandmore.org/NHpumpkins.php เจาะให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเก็บแอปเปิ้ลและฟักทองในรัฐนิวแฮมเชียร์

ย้อนรอยทฤษฎีสมคบคิดเพื่อหา ‘แพะ’ และความ ‘เสื่อม’ จนเสียกรุงศรีฯ ครั้งที่ 2

ทฤษฎีสมคบคิดเพื่อหา ‘แพะ’ กับ ความ ‘เสื่อม’ จนเสียกรุงศรีฯ ครั้งที่ 2 

เมื่อคราวที่แล้วเรื่องของการเสียกรุงครั้งที่ 1 ที่ผมได้เล่าไปแล้วนั้น ภาพที่ฉายให้เราได้เห็นกันก็คือการขัดแย้งกันของฝ่ายโอนอ่อนและฝ่ายแข็งกร้าว ที่ยึดเอาราชตระกูลเป็นที่ตั้ง หักกันได้เพื่อผลประโยชน์ และมีภาพของ “ไส้ศึก” เช่น “พระยาจักรี” ที่เปรียบเสมือน “แพะ” จนทำให้เสียกรุงศรีฯ ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2112 ในครั้งนี้ผมจะมาเล่าเรื่องราวของการเสียกรุงครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2310 และ “แพะ” ที่ถูกตราหน้าว่าทำให้เสียกรุงกันบ้าง 

“แพะ” คนแรกคือขุนนางที่ถูกตราหน้าว่าเป็นไส้ศึก เป็นตัวร้ายของการย้อนประวัติศาสตร์ทุกเรื่องนั่นคือ “พระยาพลเทพ” มีทินนามเต็มตามทำเนียบพระไอยการนาพลเรือนคือ “ออกญาพลเทพราชเสนาบดีศรีไชยนพรัตนกระเสตราธิบดี” เป็นตำแหน่งของเสนาบดีกรมนาหรือ “เกษตราธิการ” หนึ่งในเสนาบดีจตุสดมภ์ ศักดินา 10,000 ไร่ เสนาบดีกรมนาทุกคนจะมีตำแหน่งเป็น “พระยาพลเทพ” ในสมัยรัตนโกสินทร์ยกขึ้นเป็น “เจ้าพระยา” เสนาบดีกรมนาทำหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานผู้ดูแลไร่นา เก็บหางข้าวหรือข้าวจากนาของราษฏรสำหรับขึ้นฉางหลวง ตั้งศาลพิจารณาความที่เกี่ยวข้องกับที่นาและสัตว์ที่ใช้ทำนาอย่างโคกระบือ เป็นเจ้าพนักงานที่ชักจูงให้ราษฎรทำนา เวลามีศึกก็ต้องเตรียมเสบียงกรังให้พรักพร้อม เป็นหน่วยพลาธิการสำคัญของกระบวนรบ  

สำหรับ “พระยาพลเทพ” ผู้เป็นไส้ศึกให้พม่าในสงครามเสียกรุงนั้น ไม่ทราบประวัติชัดเจน เพราะถูกกล่าวถึงอยู่ในหลักฐานเพียงชิ้นเดียวคือ “คำให้การชาวกรุงเก่า” ซึ่งพม่าเรียบเรียงจากคำให้การของเชลยอยุธยาที่ถูกกวาดต้อนไปพม่าเมื่อหลังสงครามเสียกรุง พ.ศ. 2310 มีเนื้อหาสั้นๆ ว่า... “คราวนั้นพระยาพลเทพ ข้าราชการในกรุงศรีอยุธยาเอาใจออกห่าง ลอบส่งศัสตราวุธเสบียงอาหารให้แก่พม่า สัญญาจะเปิดประตูคอยรับ พม่าเห็นได้ทีก็ระดมเข้าตีปล้นกรุงศรีอยุธยา ทำลายเข้ามาทางประตูที่พระยาพลเทพนัดหมายไว้”... เรื่องพระยาพลเทพส่งเสบียงอาหารให้พม่า ตรงกับหน้าที่รับผิดชอบของพระยาพลเทพในจดหมายของหลวงอุดมสมบัติ จึงเข้าใจว่าพระยาพลเทพผู้นี้เป็นผู้รับผิดชอบตระเตรียมเสบียงในสงครามเสียกรุง และจากที่ระบุว่าเป็นผู้เปิดประตูรับพม่าเข้ามา จึงอนุมานได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในแม่ทัพที่ป้องกันพระนครในเวลานั้นด้วย

พงศาวดารไทยและพม่าไม่ได้กล่าวถึงพระยาพลเทพในฐานะไส้ศึกเลย มีแต่กล่าวถึงพระยาพลเทพ (พงศาวดารพม่าฉบับภาษาพม่าสะกดว่า ‘ภยาภลเทป’ ဘယာဘလဒေပ) ว่าเป็นหนึ่งในเสนาบดีอยุธยาที่ถูกกวาดต้อนแต่ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าให้ความช่วยเหลือแก่พม่า แต่ด้วยปัจจัยเรื่องเสบียงที่ขาดแคลนเมื่อพม่าไม่ยกทัพกลับเมื่อถึงฤดูน้ำหลาก จึงน่าจะทำให้ “พระยาพลเทพ” ผู้ดูแลเสบียงกรังกลายเป็น “ไส้ศึก” และน่าจะเป็นที่จดจำของชาวกรุงเก่าที่ให้การไว้กับพม่า แต่นอกจากนี้ก็ไม่ปรากฏหลักฐานที่กล่าวถึงพระยาพลเทพผู้นี้อีกเลย

คนที่สองหรือพระองค์ที่สอง ก็ได้ เพราะเป็นถึงกษัตริย์แห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวงที่ได้รับเกียรติให้กลายเป็น “แพะ” ผมกำลังจะเล่าถึง “สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์” หรือ “สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์” กษัตริย์พระองค์สุดท้ายของกรุงศรีอยุธยาที่มี “ภาพจำ” จากพระราชพงศาวดาร, แบบเรียนประวัติศาสตร์ไทย, คำบอกเล่า ฯลฯ เป็นไปในทิศทางเดียวกันคือ เป็นกษัตริย์ที่ไม่ใส่ใจกิจการบ้านเมือง, ลุ่มหลงแต่สนมนางใน, กดขี่ข่มเหงข้าราชการและประชาชน, อ่อนแอ, ขี้ขลาดและเมื่อพม่าประชิดกรุงศรีอยุธยาพระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้ยิงปืนใหญ่ ด้วยเกรงบรรดาพระสนมจะตกอกตกใจกัน ฯลฯ 

พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสของ “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ” กับพระอัครมเหสีองค์รองคือ “กรมหลวงพิพิธมนตรี” หรือ “พระพันวษาน้อย” พระนามเดิมเมื่อแรกประสูติคือ “เจ้าฟ้าเอกทัศน์” พ.ศ. 2275 ทรงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาให้เป็น “สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี” โดยมีพระอนุชามีรวมโสทรคือ “เจ้าฟ้าอุทุมพร” หรือที่พระชนกตั้งชื่อเมื่อแรกประสูติว่า “เจ้าฟ้าดอกเดื่อ” โดยทรงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาให้เป็น “สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต” ซึ่งในกาลต่อมาได้ขึ้นครองราชย์เป็น “สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร” ก่อนจะสละราชย์ไปทรงผนวชถึง 2 คราว ด้วยเหตุจำเป็น จนชาวบ้านขนานนามพระองค์อย่างเป็นที่รู้จักกันว่า “ขุนหลวงหาวัด” 

ซึ่งสิ่งที่ทำให้ “พระเจ้าเอกทัศน์” กลายเป็นตัวโกง ก่อนจะกลายเป็น “แพะ” คือการไม่ได้รับการยอมรับจากพระราชบิดาให้เป็น “กรมพระราชวังบวรสถานมงคล” หรือ “องค์รัชทายาท” แต่พระราชบิดากลับยกให้ “เจ้าฟ้าอุทุมพร” พร้อมด้วยแรงสนับสนุนจาก “กรมหมื่นเทพพิพิธ” ซึ่งเป็นพระโอรสชั้นผู้ใหญ่ กับบรรดาเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ คือเรียกว่าเพียบพร้อมกว่าพระเชษฐาว่างั้นเถอะ ทั้งยังมีพระราชโองการของ “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ” ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาว่า “กรมขุนอนุรักษ์มนตรีนั้น โฉดเขลาหาสติปัญญาและความเพียรมิได้ ถ้าจะให้ดำรงฐานาศักดิ์มหาอุปราชสำเร็จราชการกึ่งหนึ่งนั้นบ้านเมืองก็จะเกิดภัยพิบัติฉิบหายเสีย” และมีพระราชดำรัสสั่งสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรีว่า “จงไปบวชเสียอย่าให้กีดขวาง” ถึงตรงนี้คนเล่าประวัติศาสตร์ก็ข้ามเรื่องราวการเคลียร์เส้นทางของ “สมเด็จฯ เจ้าฟ้าอุทุมพร กรมขุนพรพินิต” ไปเลย 

ครั้นเมื่อ “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ” สวรรคต ได้เกิดกบฏเจ้า 3 กรม อันได้แก่ กรมหมื่นจิตรสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ กรมหมื่นเสพภักดีซึ่งเป็นโอรสของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แต่ได้ “สมเด็จฯ เจ้าฟ้าเอกทัศน์ กรมขุนอนุรักษ์มนตรี” เป็นผู้วางแผนและดำเนินการปราบกบฏเจ้า 3 กรม เพื่อกรุยทางให้ “สมเด็จฯ เจ้าฟ้าอุทุมพร กรมขุนพรพินิต” ได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยา แต่หลังจากนั้นประมาณ 10 วัน ก็ทรงสละราชสมบัติให้ “สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี” แล้วพระองค์ก็ออกผนวช ซึ่งพงศาวดารฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ก็ขยายความในเชิงว่า พระองค์ถูก “บีบ” แต่จะบีบด้วยอะไร ? แบบไหน ? กลับไม่มีใครบันทึกไว้ มีแต่บอกว่า “กรมขุนอนุรักษ์มนตรี” เสด็จ ฯ ขึ้นไปประทับที่พระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ ซึ่งเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เนื่องจากเป็นที่ประทับของพระเจ้าอยู่หัวเท่านั้นและดื้อแพ่งไม่ยอมย้ายหรือยกให้ใคร จน“สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร” ต้องยอมยกราชบัลลังก์ให้ ซึ่งนี่คือข้อมูลเชิงปรักปรำที่ทำให้ “สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์” เป็นกษัตริย์ที่ “ดูแย่” อย่างสมบูรณ์แบบ แต่เป็นจริงแบบนั้นไหม ? ไปต่อกัน  

สำหรับการครองราชย์ของ “พระเจ้าเอกทัศน์” ตาม “คำให้การชาวกรุงเก่า” ปรากฏความว่า... "พระมหากษัตริย์พระองค์นี้” ทรงพระกรุณากับอาณาประชาราษฎร์ทั้งปวง แผ่เมตตาไปทั่วสารพัดสัตว์ทั้งปวง”... หรืออย่างใน “คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม” ปรากฏความว่า "พระองค์ตั้งอยู่ในธรรมสุจริต บพิตรเสด็จไปถวายนมัสการพระศรีสรรเพชทุกเพลามิได้ขาด พระบาทจงกรมอยู่เป็นนิจ บพิตรตั้งอยู่ในทศพิธสิบประการ แล้วครอบครองกรุงขันธสีมา ทั้งสมณพราหมณ์ก็ชื่นชมยินดีปรีเปนศุขนิราชทุกขไภย ด้วยเมตตาบารมีทั้งฝนก็ดีบริบูรณภูลความศุกมิได้ดาล ทั้งข้าวปลาอาหารและผลไม้มีรสโอชา ฝูงอาณาประชาราษฎร์และชาวนิคมชนบทก็อยู่เยนเกษมสานต์ มีแต่จะชักชวนกันทำบุญให้ทาน และการมโหรสพต่าง ๆ ทั้งนักปราชผู้ยากผู้ดีมีแต่ความศุกที่ทุกขอบขันธสีมา" 

...นอกจากหลักฐานทั้งสอง ยังได้กล่าวถึงพระราชกรณียกิจที่สำคัญของพระเจ้าเอกทัศ เช่น ทรงออกพระราชบัญญัติเครื่องชั่ง ตวง วัดต่าง ๆ, มาตราเงินบาท สลึง เฟื้องให้เที่ยงตรง และโปรดให้ยกเลิกภาษีอากรต่าง ๆ เป็นเวลา 3 ปี รวมทั้ง... "ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา บ้านเมืองสงบ การค้าขายเจริญ ทรงบริจาคทรัพย์ให้แก่คนยากจนจำนวนมาก" ...คือมองแล้วพระองค์น่าจะเป็นกษัตริย์ที่ถนัดทางด้านการจัดการด้านเศรษฐกิจและกิจการภายใน ที่ดีทีเดียว
 

4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2445 ร.5 ทรงเปิดโรงกษาปณ์สิทธิการ แห่งที่ 3 พร้อมเครื่องจักรผลิตเหรียญกษาปณ์ไฟฟ้าครั้งแรก

ความเจริญก้าวหน้าด้านการค้าของประเทศ ส่งผลให้ความต้องการใช้ เหรียญกษาปณ์เพิ่มสูงขึ้นในขณะที่เครื่องจักรแรงดันไอน้ำที่มีอยู่เริ่ม ชำรุดเนื่องจากใช้ติดต่อกันมาเป็นเวลานาน ถึง 25 ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงกษาปณ์สิทธิการแห่งใหม่ขึ้นในบริเวณอันเป็นที่ตั้งของวังเจ้านาย 6 พระองค์ ซึ่งเรียกสถานที่นี้ว่า ‘วังสะพานเสี้ยว’ ริมคลองหลอดด้าน ถนนเจ้าฟ้าทางทิศเหนือของท้องสนามหลวง โดยมีลักษณะเป็นอาคาร ก่ออิฐถือปูน สูง 2 ชั้น มีรูปแบบเป็นสถาปัตยกรรมตะวันตก เมื่อย้ายโรงกษาปณ์ไปอยู่สถานที่แห่งใหม่แล้ว กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติคือ ‘หอศิลป์แห่งชาติถนนเจ้าฟ้า’ ในปัจจุบัน

พิธีเปิดโรงกษาปณ์แห่งที่ 3 อย่างเป็นทางการมีขึ้น เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2445 และได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น ‘กรมกษาปณ์ สิทธิการ’ ติดตั้งเครื่องจักรผลิตเหรียญกษาปณ์เครื่องใหม่ ซึ่งทำงานด้วยกำลังไฟฟ้าสามารถผลิตเหรียญได้ประมาณวันละ 80,000 ถึง 100,000 เหรียญ โดยไม่ต้องทำการล่วงเวลา ส่วนเงินพดด้วงได้ โปรดเกล้าฯ ให้เลิกใช้ภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2451

เมื่อมีการประกาศใช้ พระราชบัญญัติมาตราทองคำ รัตนโกสินทร์ศก 127 (พ.ศ. 2451) ได้ทรงพระกรุณาโปรด เกล้าฯ ให้ผลิตเหรียญกษาปณ์ชนิดราคา 1 บาทตราพระบรมรูปตราไอราพต จากโรงกษาปณ์ปารีส จำนวน 1,036,691 เหรียญ แต่ไม่ทันได้ประกาศใช้ก็สิ้นรัชกาลเสียก่อน โดยตราไอราพตได้ใช้เป็นตราประจำแผ่นดินเรื่อยมาจนสิ้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ประเทศไทยได้รับผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากสงครามโลกครั้งที่ 1 โลหะที่ใช้ในการ ผลิตเหรียญกษาปณ์มีราคาสูงขึ้น จึงต้องลดส่วนผสมของโลหะเงินลงและผลิตธนบัตร ราคา 1 บาทออกใช้แทน เหรียญกษาปณ์

วิกฤตศรัทธาศาสนาพุทธในเมียนมา อนาคตที่ถูกชี้ชะตาโดยคนรุ่นใหม่

เมื่อไม่นานมานี้มีภาพหลุดออกมาว่อนอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับภาพพระสงฆ์ที่เหมือนจะกำลังเดินอยู่บนแคตวอร์ก จนสร้างความฮือฮาให้กับชาวเน็ตทั้งคนเมียนมาเอง ขณะที่คนต่างชาติ ก็ออกปากพูดเชิงดูหมิ่นว่า พระมาเดินแคตวอร์กอะไรทำนองนั้น  

เมื่อสืบค้นไป ก็พบว่าประเด็นนี้ มาจากมีคหบดีท่านหนึ่งจัดงานวันเกิดให้พระผู้ใหญ่ที่โรงแรม 5 ดาวแห่งหนึ่งในย่างกุ้ง จึงมีการเชิญพระหลายรูปมาร่วมงานในที่นี้ รวมถึงมีการนำรถหรูไปรับพระด้วย

แน่นอนว่า หลายคนมองถึงความไม่สมควรของพระที่ควรจะสมถะ แต่กลับถูกโยมสร้างให้เกิดในสิ่งที่เรียกว่า 'ผิดไปจากวินัยคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า' ด้วยหรือ ว่าแล้วหลายคนจึงได้เข้าไปกระหน่ำบูลลี่สิ่งที่เห็นเพียงแค่ภาพอย่างสะใจแบบเอาตายในเชิงดูหมิ่นพระสงฆ์ 

อันที่จริง ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่พระผู้ใหญ่โดนเช่นนี้!!

ช่วงก่อนหน้าที่ผ่านมา กรณี 'ครูบาบุญชุม' ครั้นเมื่อท่านออกจากวิปัสสนาจากถ้ำที่เมืองแกดในรัฐฉาน แล้วตัวท่านก็มีการแสดงท่าทาง อาการแปลกๆ และมีการถ่ายภาพไว้ และมีการโพสต์ลงสื่อออนไลน์ ทำให้คนหลายคนเข้ามาต่อว่า บูลลี่ไปถึงอาการที่เป็นอยู่ว่าท่านเสียจริตเอยหรืออื่นๆ อีกมากมาย

ที่เอย่าอยากจะบอก คือ อย่างไรก็ดี ศาสนาพุทธในเมียนมา ณ วันนี้ ยังคงแข็งแกร่ง เพราะพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ยังรักและศรัทธากับวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ 

แต่ในขณะเดียวกันจำนวนพุทธศาสนิกชนเมียนมาที่เอาใจออกห่างจากพุทธศาสนาก็มีเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กรุ่นใหม่และคนชั้นกลาง ซึ่งคนเหล่านี้อาจจะเป็นกลุ่มที่ชี้ชะตาถึงความแข็งแกร่งของพุทธศาสนาในเมียนมาในอนาคตอีก 20-30 ปีข้างหน้าก็เป็นได้ 

จากนี้คงต้องมาดูถึงบริบทของศาสนาพุทธที่เปลี่ยนไปกันในอนาคตกันว่าจะเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top