Tuesday, 24 June 2025
ค้นหา พบ 48988 ที่เกี่ยวข้อง

‘อัยยวัฒน์’ ปลดหนี้ ‘เลสเตอร์’ เฉียด 8,000 ลบ. ตอกย้ำความสำเร็จแห่งยุค ภายใต้เจ้าของคนไทย

(2 ก.พ. 66) 'จิ้งจอกสยาม' เลสเตอร์ ซิตี้ หมดภาระหนี้สินเรียบร้อย หลังล่าสุด 'คุณต๊อบ' อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานสโมสรหนุ่มไฟแรง ทำการปลดหนี้เฉียด ๆ 8,000 ล้านบาท ได้สำเร็จ

เลสเตอร์ ซิตี้ สโมสรดังแห่งเวทีพรีเมียร์ลีก อังกฤษ แถลงการณ์ยืนยัน เมื่อวันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมาว่า คุณต๊อบ อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานสโมสรคนปัจจุบัน ได้ทำการปลดหนี้ทั้งหมดของสโมสรจำนวน 194 ล้านปอนด์ (ประมาณ 7,954 ล้านบาท) เป็นที่เรียบร้อย

ก่อนหน้านี้ เลสเตอร์ มีหนี้สิน 194 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นวงเงินที่กู้ยืมมาจากบริษัทแม่อย่าง คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชันแนล (เคพีไอ) ที่ครอบครัวศรีวัฒนประภาถือหุ้นทั้งหมด โดย คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชันแนล ได้ให้เงินกู้ยืมเหล่านี้แก่สโมสรในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา เพื่อเป็นทุนในการก่อสร้างสนามฝึกซ้อมระดับโลกแห่งใหม่ของสโมสรที่ ซีเกรฟ และเพื่อสนับสนุนการลงทุนของสโมสร ทั้งทีมชายและทีมฟุตบอลหญิง ในช่วงการระบาดของโควิด-19

การแปลงเป็นทุนช่วยให้งบดุลของสโมสรแข็งแกร่งขึ้น, ลดต้นทุนดอกเบี้ย และตอกย้ำความมุ่งมั่นของ คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชันแนล ในการสนับสนุนความมั่นคงของสโมสรในระยะยาว

นับเป็นครั้งที่สองที่กระบวนการดังกล่าวเกิดขึ้น ตั้งแต่ครอบครัวศรีวัฒนประภา เข้าดูแลกิจการสโมสร เลสเตอร์ ซิตี้ ในปี 2010 โดยครั้งแรกเกิดขึ้นในปี 2013 ซึ่งตอนนั้นปลดหนี้จำนวน 103 ล้านปอนด์ (ประมาณ 4,223 ล้านบาท) 

‘ลุงหนู’ ยินดี ‘ลุงตู่’ ขึ้นแท่นปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 รทสช. บอก มีกำลังใจให้เสมอ ส่วนการเมืองต้องแข่งขันกัน

(2 ก.พ.66) ที่พรรคภูมิใจไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกระแสข่าวพรรครวมไทยสร้างชาติเสนอชื่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นส.ส.บัญชีรายชื่ออันดับ 1 ว่า ก็ต้องแสดงความยินดีกับท่าน ซึ่งพรรคภูมิใจไทยให้กำลังใจทุกพรรคการเมือง และทุกฝ่ายเสมอ เพราะทุกพรรคการเมืองมีความตั้งใจที่จะรับใช้ประเทศชาติ และประชาชน 

‘ชาวมุกดาหาร’ มั่น!! ‘ลุงป้อม’ ใจถึงพึ่งได้จริง เชียร์นั่งนายกฯ สานต่องานสำคัญเพื่อคนอีสาน

‘พล.อ.ประวิตร’ ลงพื้นที่ จ.มุกดาหาร พลิกฟื้น ‘ตลาดอินโดจีน’ กระตุ้นท่องเที่ยว/การค้าชายแดน พร้อมเปิดโครงการแก้ภัยแล้ง ช่วยเกษตรกรให้มีน้ำใช้ เพิ่มรายได้ อยู่ดีกินดี

(2 ก.พ. 66) พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษก รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ ได้เดินทางไปปฏิบัติราชการต่อเนื่อง จากจังหวัดยโสธร ในช่วงเช้า โดยในช่วงบ่ายได้ลงพื้นที่จังหวัดมุกดาหาร บริเวณตลาดอินโดจีนมุกดาหาร ตำบลศรีบุญเรือง อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร เพื่อติดตามโครงการก่อสร้าง-ปรับปรุงพื้นที่ ตลาดอินโดจีน งบประมาณ 94 ล้านบาทเศษ

ซึ่งงบประมาณดังกล่าวได้ถูกพับตก ทำให้ผู้ประกอบการและประชาชนในพื้นที่ ได้รับความเดือดร้อน จึงต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน หากดำเนินการแล้วเสร็จ จะช่วยยกระดับรายได้ และคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมถึงสามารถช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวชายโขง และการค้าชายแดน และยังมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การก่อสร้างถนนสาย ‘มุกดาสนุก สุขชายโขง’ งบประมาณ 1,500 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวริมแม่น้ำโขง และรองรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติได้อีกด้วย

ทำไมประเทศไทย ถึงรอดจากภัยโควิด19?

แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด19 ในประเทศไทย จะคลี่คลายลงในระดับที่ทำให้คนไทยกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ และเปิดประเทศจนมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกไหลกลับคืนสู่ประเทศ ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยได้อย่างรวดเร็ว

แต่ตลอด 3 ปีที่ผ่านมานี้ หากประเทศไทย ‘ยอมแพ้’ และไม่มีใครลุกขึ้นมาสู้ พวกเราคงไม่ได้มาอยู่ในสถานการณ์ที่ดีงามเฉกเช่นทุกวันนี้

หากประเทศไทย ไร้ผู้นำที่ชื่อ ‘พลเอกประยุทธ์’ และขาดซึ่ง ‘หมอ’ หลากยุทธ์ ผู้กลบเสียงเห่า ‘หมา’

หากเปรียบในทางพุทธศาสนาที่องค์พระสมณะพุทธโคดมเคยทรงตรัสไว้ว่า "ผู้ใดอยากพ้นทุกข์ทั้งปวง ให้ปฏิบัติตาม ‘มรรค 8’ หรือ ‘หนทางสู่ความดับทุกข์ทั้งแปดประการ’ นี้เถิด" 

เฉกเช่นเดียวกันกับ ‘สถานการณ์โควิด 19’ ที่วันนี้ได้คลี่คลายลง ก็ด้วยหนทางพ้นทุกข์ภัยทั้ง 8 เช่นกัน

สำหรับวันนี้ 1 ใน 8 ที่อยากจะชวนกลับไปนึกถึง ซึ่งทำให้ไทยพ้นทุกข์จากพิษภัยโควิด หรือจะบอกว่า ‘ไทยรอดได้อย่างไรนั้น’ คือ ‘วิสัยทัศน์ของผู้นำประเทศ’

นับแต่ข่าวแพร่ระบาดของ 'ไวรัสอู่ฮั่น' ซึ่งต่อมาคือ 'Corona Virus 2019' (โควิด-19) บนแผ่นดินสาธารณรัฐประชาชนจีน ณ เมืองอู่ฮั่น กระเซ็นกระสายออกมาว่า เกิดการติดเชื้อจาก 'ค้างคาว' แพร่สู่มนุษย์ จากคนสู่คน จนลุกลามขยายกลายเป็นวงกว้าง และเริ่มระบาดไปยังอีกหลายประเทศ ข่าวนี้ก็สร้างความวิตกกังวลทั่วทั้งโลก รวมถึงบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างไทย

จากเดิมแค่วิตกกังวล กลายเป็นความประหวั่นพรั่นพรึงทันทีที่ประเทศไทยพบเชื้อครั้งแรก ตอนต้นเดือนมกราคม 2563 โดยนักท่องเที่ยวชาวจีนซึ่งเดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น โดยต่อมาอีกราวสองสัปดาห์ก็พบ 'ผู้ติดเชื้อชาวไทยคนแรก' คือ คนขับรถแท็กซี่วัยห้าสิบปี ผู้เป็นสารถีรับส่งหญิงชาวจีนคนนั้นนั่นเอง ท้ายที่สุดการแพร่เชื้อดังกล่าว คือต้นตอติดเชื้ออีกหลายพื้นที่ จนเกิดคลัสเตอร์จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น สนามมวยลุมพินี ราชดำเนิน และชุมชนแรงงานมหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร

บรรยากาศหวาดวิตก เดินสู่ความหวาดหวั่น ที่สุดไทยทั้งประเทศก็จำต้องพานพบกับความมืดมนอนธการอย่างยาวนานเกินกว่า 1,000 ราตรี ภายใต้กรงเล็บทะมึนชื่อ 'โควิด 19' เชื้อร้ายไร้ปรานีผู้ไม่เลือกชนชั้นวรรณะ

ขณะนั้น วิสัยทัศน์ของผู้นำจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดต่อเหตุการณ์ตรงหน้า ซึ่งเกิดพร้อมกันไล่เลียงจนครบทุกประเทศบนโลก โดยอดคิดไม่ได้ว่า หากเรามีผู้นำคนอื่นที่มิใช่ ‘พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา' บ้านเมืองอาจมีสภาพไม่ต่างจากบราซิล, อินเดีย หรือสหรัฐอเมริกา ก็เป็นได้

แน่นอนว่าพลเอกประยุทธ์มิใช่อัศวินขี่ม้าขาว ควงปืนไล่ล่าเชื้อโรคจนกระเจิงหาย แต่สิ่งที่นายกรัฐมนตรีลงมือทำทันทีคือการมอบความไว้วางใจให้ 'หมอ' ขึ้นเป็นแม่ทัพสงครามต่อกรโรคระบาด โดยท่านเลือกนั่งบังคับบัญชาภาพรวมเพื่อตัดสินใจ หลังรับข้อมูลสาธารณสุขครบถ้วนทุกด้าน มาตรการมากมายหลายเรื่องถูกกลั่นจากสมองขุนพลคณะแพทย์ผู้อาสารบภายใต้นาม 'ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.)' วันแล้ววันเล่า ทั้งแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า รวมถึงแผนระยะยาว โดยมีชีวิตคนไทยกว่า 67 ล้านคนเป็นประกัน

แม้ช่วงแรกของศึกจะมีการสร้างวาทกรรมเพื่อลดความน่าเชื่อถือ เพียงหวังผลทางการเมือง และประโยชน์ทางธุรกิจ จากบางกลุ่ม แต่สุดท้ายคนไทยส่วนใหญ่ก็พร้อมใจปฏิบัติตามกฎควบคุมโรคของรัฐบาล ตั้งแต่มาตรการเคอร์ฟิว สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือ จนถึงแนวคิด 'Work From Home'


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top