Tuesday, 29 April 2025
ค้นหา พบ 47728 ที่เกี่ยวข้อง

ดื่มเครื่องดื่มบำรุงกำลังมากเกินไป ส่งผลร้ายอย่างไร?

"อีกขวดน่า!" มีใครเคยพูดกับตัวเองทำนองนี้ ขณะยืนอยู่หน้าตู้แช่เครื่องดื่มบำรุงกำลังบ้างไหม?

แถมสุดท้ายก็ตัดสินใจเปิดตู้คว้ามา 1 ขวดจนได้ ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริง วันนี้ทั้งวัน ซัดเครื่องดื่มบำรุงกำลังไปแล้ว 3 ขวด!!!

จากที่เคยได้ยินโฆษณาทางทีวีที่บอกว่า "ห้ามดื่มเกินวันละ 2 ขวด" แต่ในชีวิตจริง คือดื่มไปเรื่อย โดยเฉพาะเมื่อไรที่รู้สึกเพลีย ง่วง ซึมเซา ไม่กระปรี้กระเปร่า ก็ต้องมายืนอยู่หน้าตู้แช่แบบนี้ทุกทีไป

หน้าที่หลักของ "เครื่องดื่มบำรุงกำลัง" นั้น ทำให้สมองตื่นตัว เพิ่มพลังงาน เนื่องจากมีน้ำตาล และผสมสารคาเฟอีน ซึ่งมีส่วนช่วยในการกระตุ้นการทำงานของสมอง แต่อะไรที่กิน หรือเสพมากจนเกินไป ก็มักจะตามมาด้วยผลข้างเคียง เหมือนดังเช่น ‘คาเฟอีน’ ที่เมื่อได้รับมากจนเกินไป ผลลัพธ์ที่ออกมา ก็ดูจะไม่เป็นมิตรต่อร่างกายสักเท่าไรเลย

ร่างกายเราสามารถรับคาเฟอีนได้แค่ไหน

โดยเฉลี่ยในผู้ใหญ่ ไม่ควรรับประทานคาเฟอีนเกิน 400 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งเครื่องบำรุงกำลังมักจะผสมคาเฟอีนต่อขวดอยู่ที่ 80 มิลลิกรัม (เทียบเท่ากาแฟ 1 แก้ว) แต่จากผลการศึกษาของหน่วยงานกุมารเวชแห่งสหรัฐฯ American Academy of Pediatrics (APP) ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ตัวเลขปริมาณคาเฟอีนที่เห็นบนฉลากข้างขวดเครื่องดื่มบำรุงกำลังนั้น มันเป็นเรื่องยากมากที่จะพิสูจน์ได้ว่า มีปริมาณคาเฟอีนจริง ๆ อยู่เท่าไรกันแน่

 

 

หากได้รับคาเฟอีนมากไป...จะมีผลเสียอย่างไร

การดื่มเครื่องดื่มบำรุงกำลังมากเกินกว่าปริมาณที่แนะนำ หรือมากกว่า 2 ขวดขึ้นไป อาจทำให้ร่างกายได้รับคาเฟอีนมากเกิน จนมีผลข้างเคียงคือ ทำให้เกิดภาวะคาเฟอีนเป็นพิษ อาการในระดับเบาที่มักจะเกิดขึ้น คือ รู้สึกวิงเวียน คลื่นไส้ กระหายน้ำ ปวดหัว นอนไม่กลับ หงุดหงิดง่าย อาการเหล่านี้สามารถเป็นแล้วหายได้เองเมื่อเวลาผ่านไป แต่หากได้รับคาเฟอีนมากเกินขนาดหนัก อาจถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ โดยมีสัญญาณเตือนเหล่านี้ เช่น หายใจลำบาก อาเจียน เจ็บหน้าอก หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ กล้ามเนื้อกระตุก รวมทั้งมีอาการชัก

 

 

คาเฟอีนกับผลร้ายในวัยรุ่น

หน่วยงานกุมารเวชแห่งสหรัฐฯ หรือ APP ยังมีรายงานถึงผลข้างเคียงที่ได้รับจากการดื่มเครื่องดื่มบำรุงกำลังมากเกินไป โดยเฉพาะในเด็กหรือวัยรุ่น อาจทำให้เกิดการเสพติดคาเฟอีนขึ้นได้ มากไปกว่านั้น การได้รับคาเฟอีนอยู่ตลอดเวลา มีผลทำให้หัวใจเต้นเร็ว และเต้นผิดจังหวะ มีผลต่อความดันโลหิตที่สูงขึ้น รวมทั้งความเข้มของเลือดที่มากขึ้น ไม่นับรวมภาวะเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน เนื่องจากในเครื่องดื่มบำรุงกำลังมีน้ำตาลผสมอยู่ในปริมาณมากเช่นกัน

 

ทั้งนี้ปริมาณของคาเฟอีนที่เหมาะสำหรับวัยรุ่น คือไม่ควรเกินวันละ 100 มิลลิกรัม แต่หากเลี่ยงได้ ก็ควรหลีกเลี่ยงดีกว่า เพราะไม่ส่งผลดีใดๆ ในระยะยาว เอาเป็นว่า ถ้าง่วง เพลีย ซึมเซา หรือต้องใช้พลังงานอ่านหนังสือ หรือต้องทำงาน ลองปรับพฤติกรรมตัวเองดูดีกว่า หากอ่านหนังสือดึกๆ ไม่ไหว ก็สู้เข้านอนเร็ว แล้วรีบตื่นมาอ่านช่วงเช้า ๆ เผลอๆ หัวสมองจะแจ่มใส่กว่าเป็นไหน ๆ ส่วนคนที่ต้องทำงาน มีอาการง่วงเหงาหาวนอน ลองหาชาอุ่น ๆ จิบเบา ๆ ให้ร่างกายตื่นตัว เอาจริง ๆ ดื่มน้ำเปล่าก็ช่วยได้นะ ทำให้ร่างกายสดชื่นขึ้น

เก็บเครื่องดื่มบำรุงกำลังเอาไว้เป็น "ตัวช่วยสุดท้าย" ถนอมร่างกายตัวเองกันใว้ยาวๆ ดีกว่านะ


อ้างอิง:

https://www.thelist.com/164290/what-happens-when-you-drink-too-many-energy-drinks/

https://hellokhunmor.com

https://www.pobpad.com  

 

 

5 ตระกูลที่ร่ำรวยสุดในเอเชีย

บลูมเบิร์กเปิดทำเนียบ Top 20ตระกูลรวยที่สุดในเอเชีย ที่สามารถครองความมั่งคั่งรวมกว่า 4.63แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 13 ล้านล้านบาท โดยมีตระกูล "เจียรวนนท์" แห่งอาณาจักรซีพี ผงาดอันดับ 3 แซงหน้าตระกูล "ลี" แห่ง Samsung

.

อันดับที่ 1

ตระกูล "อัมบานี" ของอินเดีย มูลค่าความมั่งคั่ง = 7.6 หมื่นล้านดอลลาร์

เป็นเจ้าของ Reliance Industries หรือกลุ่มบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย และมีธุรกิจอยู่ในหลายอุตสาหกรรม ทั้ง ธุรกิจปิโตรเคมี โรงกลั่นน้ำมันและก๊าซ โทรคมนาคม ค้าปลีก มีเดีย ก่อตั้งโดย "ธีรุไภย อัมบานี"

.

อันดับที่ 2

ตระกูล "กว็อก" แห่งฮ่องกง มูลค่าความมั่งคั่ง = 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์

เป็นเจ้าของ Sun Hung Kai Properties ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่สุดของฮ่องกง

.

อันดับที่ 3

ตระกูล "เจียรวนนท์" มูลค่าความมั่งคั่ง = 3.17 หมื่นล้านดอลลาร์

เป็นเจ้าของอาณาจักรเจริญโภคภัณฑ์ธนินท์ หรือซีพี ที่มี "ธนินทร์ เจียรวนนท์" เป็นหัวเรือใหญ่ภายใต้ธุรกิจค้าปลีก อาหาร โทรคมนาคม และช่วงหลังก็ยังมีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย

.

อันดับที่ 4

ตระกูล "ฮาร์โตโน" ของอินโดนีเซีย มูลค่าความมั่งคั่ง = 3.13 หมื่นล้านดอลลาร์ ตระกูลนี้ร่ำรวยจากธุรกิจบุหรี่ Djarum ซึ่งเป็นรายใหญ่ที่สุดในประเทศ และการขยายไปสู่ธุรกิจธนาคาร Bank Central Asia

.

อันดับที่ 5

ตระกูล "ลี" แห่งเกาหลีใต้ เจ้าของ Samsung มูลค่าความมั่งคั่ง = 2.66 หมื่นล้านดอลลาร์ เริ่มต้นกิจการ Samsung ในรูปของบริษัทส่งออกสินค้าผักและปลาในปี พ.ศ.2481 จากนั้นจึงมีการขยายเข้าสู่ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ด้วยการตั้งบริษัท Samsung Electronics ในปี พ.ศ. 2512 จนกลายเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและชิพความจำรายใหญ่สุดของโลก

.

รู้หรือไม่?

นอกจากตระกูลเจียรวนนท์ ตระกูลเศรษฐีแห่งเอเชีย ยังมีตระกูล "อยู่วิทยา" และ "จิราธิวัตน์" ติดโผอีกด้วย โดยเจ้าพ่อเครื่องดื่มชูกำลังครองความมั่งคั่งเป็นอันดับ 6 ขณะที่เครือเซ็นทรัลรั้งอันดับที่ 20


ที่มา : https://www.bloomberg.com/features/2020-asia-richest-families/

กลางปีหน้า เขื่อนพลังงานไฟฟ้า น้ำกง 1 เริ่มผลิตกระแสไฟฟ้า แขวงอัตตะปือปี 64 โครงการคืบหน้ากว่า 80 %

โครงการเขื่อนพลังงานไฟฟ้า น้ำกง 1 ในประเทศลาว ตอนนี้คืบหน้าไปถึง 81.9 % ของงานทั้งหมดหลังจากเริ่มการก่อสร้างอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ.2560 เป็นต้นไป คาดว่า ภายในกลางปี พ.ศ.​​2564 ในเดือนพฤษภาคม จะทดลองดำเนินการ จากนั้นเริ่มอย่างเป็นทางการในเดือนมิถุนายน พ.ศ.2564

นาย เสิน ยู สว่าน ผู้อำนวยการโครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำกง 1 กล่าวรายงานในโอกาสที่ นายสินาวา สุพานุวง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพลังงานและการเหมืองแร่ พร้อมด้วยคณะติดตามและตรวจสอบโครงการ เมื่อเช้าวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ.2563

โครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำกง 1 เสร็จสิ้นภารกิจ โดยเฉพาะที่สำคัญอย่างยิ่ง เพื่อรองรับในการสนับสนุนแผนการกักเก็บน้ำของโครงการได้ดำเนินการก่อสร้างตัวเขื่อนเสร็จสิ้น

ที่ปรึกษาโครงการได้ดำเนินการประเมินคุณภาพการก่อสร้างและการประเมินความปลอดภัยของเขื่อนและส่วนประกอบก่อนอ่างเก็บน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วก่อนกักเก็บน้ำ

ติดตั้งอุปกรณ์ตรวจสอบเขื่อนเสร็จสมบูรณ์ จัดตั้งทีมเทคนิคเพื่อดำเนินการกักเก็บน้ำ ได้เผยแพร่แผนการกักเก็บน้ำและแผนรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน ให้แก่หน่วยงานในพื้นที่และประชาชนใต้เขื่อนใน 14 หมู่บ้าน และ งานสำคัญอื่น ๆ

โครงการเริ่มกักเก็บน้ำตั้งแต่ต้นเดือนกันยายน พ.ศ.2563

งานที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ ได้แก่ การสร้างสันเขื่อน , ติดตั้งประตูน้ำล้น, ติดตั้งเครื่องจักรเบอร์ 2 ,ไลน์นิ่งคอนกรีตท่อหายใจ โครงสร้างประตูน้ำท้ายเครื่องจักร , และ งานดึงสายเคเบิล 115 KV

ในโอกาสนี้นายบัวเทพ มาลัยคำ หัวหน้ากรมคุ้มครองพลังงาน กระทรวงพลังงานและการเหมืองแร่ กล่าวว่า "เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำน้ำกง 1 เป็นเขื่อนหินถมด้านหน้าด้วยคอนกรีต กักเก็บน้ำได้ 650 ล้านลูกบาศก์เมตร จากการตรวจสอบนี้จะเห็นว่า การก่อสร้างเขื่อนล่าช้าเล็กน้อยจากผลกระทบของการระบาดของโรคโควิด -19"

"แต่การก่อสร้างโดยรวมมีความคืบหน้าไปด้วยดีและคาดว่าโครงการจะทดสอบโรงไฟฟ้าในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2564 หลังจากนั้นจะเริ่มผลิตกระแสไฟฟ้าได้ตามปกติภายในเดือนมิถุนายน พ.ศ.2564"

"อย่างไรก็ตามแม้ว่าโครงการจะแล้วเสร็จ แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากส่วนกลางและในพื้นที่จะติดตามการดำเนินงานของเขื่อนต่อไป เช่น การตรวจสอบชุดเขื่อนโครงสร้างเขื่อนน้ำรั่วในเขื่อน ฯลฯ เพื่อให้เขื่อนสามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและมั่นใจในความปลอดภัยของเขื่อน"

โครงการไฟฟ้าพลังน้ำน้ำกอง 1 ตั้งอยู่บนลำน้ำกง ในเขตเมืองภูวง แขวงอัตตะปือ ด้วยความสูง 90 เมตร โรงผลิตไฟฟ้าอยู่ใต้ดิน มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 160 เมกะวัตต์ (2x80 เมกะวัตต์) ผลิตไฟฟ้า 469 GWh / ปี มูลค่าการก่อสร้าง 335.8 ล้านเหรียญสหรัฐ อายุสัมปทาน 25 ปี ซึ่ง บริษัท น้ำและพลังงานไฟฟ้าแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (CWE) ถือหุ้น 65% รัฐวิสหกิจกิจไฟฟ้าลาว EDL ถือหุ้น 20% และบริษัทที่ปรึกษาด้านการลงทุนเขื่อนไฟฟ้าจำกัดผู้เดียว (IHC) ถือหุ้น 15%. ไฟฟ้าทั้งหมดที่ผลิตได้จะถูกขายให้รัฐวิสหกิจกิจไฟฟ้าลาว (EDL) เพียงผู้เดียว


CR : มดแดงตัวน้อย

วิเคราะห์ราคา "ทองคำ" 64 โอกาสพุ่งยังมี!! แม้เลวร้ายสุด ก็ไม่หลุด 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์

แม้ว่าสัปดาห์ก่อน ราคาทองคำ มีการปรับลดลงค่อนข้างมากจนหลุด 1,800 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ทำให้นักลงทุนกังวลว่าราคาทองคำอาจจะเป็นช่วงขาลงแล้ว

แต่จากราคาทองคำล่าสุดได้ดีดกลับขึ้นมายืนเหนือ 1,800 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ได้อีกครั้ง ซึ่งหากมองในแง่เทคนิค แสดงให้เห็นว่า ราคาทองคำยังไม่ถึงกับเป็นช่วงขาลง เพราะเมื่อราคาลงไปแตะ 1,764 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ก็มีแรงซื้อกลับมา ส่วนถ้าจะมองเป็นขาลงนั้น ราคาจะต้องปรับลดลงไปถึง 1,600 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์

สถานการณ์ราคาทองคำดังกล่าว สอดคล้องกับมุมมองของ ฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) ที่ประเมินว่า แนวโน้มราคาทองคำในระยะยาวยังเป็นขาขึ้น แม้ว่าระยะสั้นจะยังแกว่งตัวผันผวน

เพราะเชื่อว่ายังมีโอกาสได้เห็นราคาขึ้นไปแตะ 1,900 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ภายในสิ้นปีนี้ ถึงแม้ว่าช่วงนี้ราคาทองคำจะปรับลดลงมาจากจุดสูงสุดของปีนี้ที่ทำไว้ที่ 2,075 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ก็ตาม แต่ก็ยังนับว่าเป็นช่วงขาขึ้นของทองคำอย่างน้อยอีก 1-2 ปี

สำหรับปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ราคาทองคำเป็นขาขึ้น มาจากนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของหลาย ๆ ประเทศ ที่จะอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ และจะทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดทองคำจำนวนมหาศาล แม้จะมีวัคซีนออกมาใช้แต่กว่าทุกอย่างจะกลับมาปกติยังต้องใช้ระยะเวลา 1 - 2 ปี

ดังนั้น แต่ละประเทศยังต้องดำเนินนโยบายทั้งการเงินและการคลังเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเงินอัดฉีด ซึ่งทุกครั้งที่ทำจะมีเงินไหลเข้ามาตลาดทองคำดังเช่นในอดีตเมื่อปี 2554 ที่มีการทำ QE จนพบว่าราคาทองคำขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 1,920 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ จากนั้นจึงค่อยๆ ปรับลดลง หลังจากหยุดทำ QE ในปี 2556

อย่างไรก็ตาม ในกรณีเลวร้าย หากในอนาคตราคาทองคำมีการปรับเป็นขาลง ก็จะปรับลดลงไม่ต่ำกว่า 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ สาเหตุที่ราคาทองคำจะไม่ปรับลงไปกว่านี้ เพราะเหมืองทองคำจะมีต้นทุนหน้าเหมืองโดยประมาณอยู่ที่ระดับดังกล่าวนั่นเอง

ศบค.มท. สั่งเข้ม มาตรการควบคุมโควิด-19 ต้องข้น! หน่วยปฏิบัติท้องถิ่นต้อง "สกัด - ติดตาม" ผู้ลักลอบเข้าเมืองอย่างเคร่งครัด

แอบคิดว่าปีใหม่นี้จะได้มีโอกาสออกไปใช้ชีวิตและเฉลิมฉลองกันอย่างเต็มที่ แต่สุดท้ายก็เกิดปัญหาใหญ่อย่างกลุ่มคนกลับเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายที่พร้อมพกโรคโควิด - 19 กลับมาด้วย

ทั้งนี้ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย หรือ ศบค.มท. ได้เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มีคำสั่งให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย แจ้งต่อผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ให้เพิ่มความเข้มข้นในการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด - 19 จากประเทศเพื่อนบ้าน โดยให้จังหวัดต่าง ๆ แจ้งหน่วยปฏิบัติ ผู้ปกครองท้องที่ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้สกัดกั้นและติดตามผู้ลักลอบเข้าเมืองอย่างเคร่งครัด

เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามคำสั่งการของนายกรัฐมนตรี ด้าน ฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร จึงได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด ประธานกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ให้ดำเนินการตาม 3 มาตรการ ได้แก่

1.) ประสานแจ้งหน่วยปฏิบัติในพื้นที่สกัดและติดตามการลักลอบเข้าเมืองโดยไม่ผ่านการคัดกรองโรค โดยเฉพาะการลักลอบเข้าตามเส้นทางธรรมชาติ

2.) แจ้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และอาสาสมัครในพื้นที่ เป็นหูเป็นตาและเฝ้าสังเกต นอกจากนั้นยังใช้การวางข่ายข่าว โดยการจัดตั้งแหล่งข่าว และอาจมีการตั้งด่านคัดกรองโรคสำหรับบุคคลที่เดินทางเข้ามาในพื้นที่ โดยเฉพาะผู้ที่ลักลอบเข้าเมืองโดยถ้ามีการตรวจพบจะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

3.) กำชับไม่ให้ข้าราชการ บุคลากร และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ละเลยหน้าที่หรือรู้เห็นเป็นใจกับพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง

ก็ได้แต่หวังว่ามาตราการต่าง ๆ ที่รัฐกำชับออกไปจะช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของเจ้าโควิด - 19 ได้ เพราะตอนนี้เชื่อว่าพ่อแม่พี่น้องหลาย ๆ คนก็คงหวั่นใจว่า โควิด - 19 จะมีระลอกสองหรือไม่ เมื่อเป็นแบบนี้ก็คงต้องฝากความหวังไว้กับมาตราการของทางรัฐที่น่าจะช่วยควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 และคนไทยจะได้กลับมาใช้ชีวิตกันตามปกติในเร็ววัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top