Sunday, 6 July 2025
ค้นหา พบ 49226 ที่เกี่ยวข้อง

'บิ๊กป้อม' ลงพื้นที่อ.เมืองลำปาง-อ.แม่เมาะ มอบที่ดินทำกิน จี้แผนขุดลอก-ฟื้นฟู เร่งเก็บกักน้ำ

(16 ม.ค. 66) พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และคณะ ลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ จังหวัดลำปาง โดยในช่วงเช้าเป็นประธานการประชุมติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ณ ศาลากลาง จังหวัดลำปาง โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง กล่าวต้อนรับพร้อมบรรยายภาพรวมของจังหวัด ก่อนเยี่ยมชมนิทรรศการผลิตภัณฑ์ OTOP และพบปะประชาชน 

จากนั้น รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีมอบเอกสารใบอนุญาต คทช. มอบสมุดประจำตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทำกินในชุมชน ตามนโยบายรัฐบาล และมอบเอกสาร สปก. 4-01 ให้กับประชาชนในพื้นที่จังหวัดลำปาง และติดตามความคืบหน้าการบริหารจัดการน้ำอ่างเก็บน้ำแม่เมาะ ณ ที่ว่าการ อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้เล็งเห็นความสำคัญในการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรและผู้ยากจนเรื่องที่ดินทำกินมาโดยตลอด และได้ดำเนินการผ่านโครงการหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐเช่น สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการในภารกิจการกระจายถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน ภายใต้การดูแลของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และได้แก้ปัญหาเรื่องที่ดินทำกิน ที่อยู่ที่อาศัยและป้องกันการสูญเสียสิทธิ์ในที่ดินจากการจำนอง การขายฝาก เพื่อให้เกษตรกรยังคงมีสิทธิ์ในที่ดินทำกินของตนเอง ตลอดจนส่งเสริมการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเต็มศักยภาพในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน เพื่อให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยที่ทำกิน มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

‘สุริยะ’ เผย ‘ไดกิ้น’ พร้อมใช้ไทยเป็น ‘ฮับ’ อาเซียน โชว์ศักยภาพนิคมฯ ‘สมาร์ท ปาร์ค’ รองรับทุกการลงทุน

'สุริยะ' แย้มข่าวดี 'ไดกิ้น' ยืนยันใช้ไทยเป็น 'ฮับ' ในอาเซียน โชว์ความพร้อมพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม รองรับนักลงทุนญี่ปุ่นทุกรูปแบบ ล็อคเป้า 'นิคมอุตสาหกรรมสมาร์ท ปาร์ค (Smart Park) - ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 (ช่วงที่ 2)'

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า การเดินทางไปเยือนประเทศญี่ปุ่นระหว่างวันที่ 11-15 มกราคม 2566 มีโอกาสได้พบกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัท Daikin Co.,Ltd. ที่นครโอซาก้า เพื่อหารือถึงการพัฒนาบริษัท Daikin ในประเทศไทย ซึ่งบริษัท Daikin ระบุว่า มีแผนที่จะพัฒนาบริษัท Daikin ที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมของประเทศไทยเป็นฮับของอาเซียน ที่คาดว่าจะทำให้เกิดการจ้างงานแรงงานไทยได้ไม่น้อยกว่า 1 หมื่นคน โดยบริษัท Daikin ปีนี้ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นบริษัทที่ทำกำไรสูงสุดเป็นอันดับสองของญี่ปุ่น รองจากบริษัทโซนี่อีกด้วย

“นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ทาง บริษัท Daikin เล็งเห็นศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นฮับของอาเซียน โดยเฉพาะในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ภายใต้การกำกับดูแลของ กนอ.ซึ่งปัจจุบัน บริษัท Daikin ประเทศไทย มีโรงงานตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ (ชลบุรี) 4 โรงงาน และที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ (ระยอง) อีก 1 โรงงานอีกด้วย” นายสุริยะ กล่าว

นอกจากนี้ ได้หารือกับนายมัตสึโอะ ทาเคฮิโกะ (Mr. Matsuo Takehiko) อธิบดีกรมนโยบายการค้า กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม (Director General, Trade Policy Bureau Ministry of Economy, Trade and Industry : METI ) ถึงประเด็นการสนับสนุนโครงการไฮโดรเจนในนิคมอุตสาหกรรม Smart Park  โดย กนอ.ได้ย้ำถึงการเป็นนิคมอุตสาหกรรมที่ส่งเสริมพลังงานสะอาด และแผนการนำพลังงานไฮโดรเจนเข้ามาใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถรับส่งแรงงาน/พนักงานภายในนิคมอุตสาหกรรม การใช้พลังงานไฮโดรเจนเป็นพลังงานทดแทนด้านพลังงาน การสร้างสังคมปราศจากคาร์บอนโดยการประยุกต์ใช้พลังงานไฮโดรเจนขยายผลเทคโนโลยีรถยนต์พลังงาน รวมถึงการตั้งโรงงานเพื่อผลิตไฮโดรเจน 

ทั้งนี้ กนอ.ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOC) การศึกษาเพื่อพัฒนา “นิคมอุตสาหกรรมที่มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral Industrial Estate) ในพื้นที่มาบตาพุด” ร่วมกับหน่วยงานภาคอุตสาหกรรมที่สำคัญ 7 ราย เพื่อสนับสนุนการศึกษาเกี่ยวกับการใช้งาน และการกักเก็บพลังงานหมุนเวียน เพื่อพยายามลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และการพึ่งพาเชื้อเพลิงจากฟอสซิล  ขณะเดียวกัน องค์การส่งเสริมการต่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan External Trade Organization : JETRO) ได้ร่วมมือกับผู้ประกอบการในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาไฮโดรเจน โดยมีเป้าหมายในการขอทุนจากองค์กรพัฒนาพลังงานและเทคโนโลยีอุตสาหกรรมใหม่ (New Energy and Industrial Technology Development Organization : NEDO) ในการพัฒนาและลงทุนไฮโดรเจนในนิคมอุตสาหกรรม Smart Park ด้วย

สื่อเวียดนาม ชี้ ‘ประเทศไทย’ ครองอันดับ 1 ‘ชาวต่างชาติ’ สนใจมาท่องเที่ยวช่วงตรุษจีน

(17 ม.ค. 66) สำนักข่าว VnExpress International ของเวียดนาม เสนอข่าว Thailand most searched Asia-Pacific destination for Lunar New Year อ้างข้อมูลจาก Sojern แพลตฟอร์มออนไลน์ด้านธุรกิจการท่องเที่ยวของจีน ซึ่งพบว่า ประเทศไทยครองสัดส่วนร้อยละ 27 ของการค้นหาข้อมูลเที่ยวบินในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ในช่วงเทศกาลตรุษจีนครั้งนี้ โดยมาเป็นอันดับหนึ่ง ขณะที่อันดับสองคือ ญี่ปุ่น ร้อยละ 19 และอันดับสามคือ สิงคโปร์ ร้อยละ 18 ซึ่งจุดเด่นของไทยอย่างหนึ่งคือมีนโยบายวีซ่าที่เปิดกว้าง

เช่นเดียวกับข้อมูลการค้นหาเที่ยวบินในระดับเมือง พบว่า ประเทศไทยติดอันดับมาถึง 2 แห่ง คือกรุงเทพฯ อยู่ในอันดับหนึ่ง ร้อยละ 22 และภูเก็ต อยู่ที่ร้อยละ 7 ครองอันดับสี่ร่วมกับกรุงไทเปของไต้หวัน ส่วนอันดับสองคือกรุงโตเกียวของญี่ปุ่น ร้อยละ 15 และอันดับสามคือกรุงมะนิลาของฟิลิปปินส์ ร้อยละ 9 โดยวันตรุษจีนซึ่งเป็นการนับปีใหม่ทางจันทรคติ ในปีนี้จะตรงกับวันที่ 22 ม.ค. 2566  เช่นเดียวกับข้อมูลจาก Ctrip บริษัททัวร์สัญชาติจีน พบว่า ไทยเป็นเป้าหมายยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวจีนในช่วงตรุษจีน ขณะที่เมื่อช่วงวันที่ 27 ธ.ค. 2565-1 ม.ค. 2566 มีการจองการเดินทางขาเข้าจากไทยไปจีนแผ่นดินใหญ่เพิ่มขึ้นร้อยละ 101

‘ชาวมะกัน’ เรียกร้องรัฐบาล ‘เลิกจุ้น’ สงครามต่างแดน ชี้!! ควรสนใจ ‘คนเร่ร่อน-การศึกษา-สาธารณสุข’ ในประเทศก่อน

ผู้ประท้วงหลายร้อยคนจากนิวยอร์กและภูมิภาคใกล้เคียงอื่น ๆ จัดการชุมนุมและเดินขบวนบริเวณไทม์สแควร์ เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ต่อต้านการเข้าพัวพันในสงครามต่าง ๆ ในต่างแดนของสหรัฐฯ เรียกร้องให้หันมาใส่ใจกับปัญหาภายในประเทศ ทั้งเรื่องคนเร่ร่อน ด้านการศึกษา และการรักษาพยาบาล

บรรดาผู้ประท้วงส่งเสียงต่อต้านการแผ่ขยายอาณาเขตของนาโต้ เรียกร้องสันติภาพในยูเครน วิพากษ์วิจารณ์กรณีที่สหรัฐฯ ทุ่มทุนใช้จ่ายมหาศาลไปกับวิกฤตยูเครน และคำแถลงล่าสุดของทำเนียบขาว ที่เตรียมจัดหากองพันขีปนาวุธยิงจากพื้นผิวสู่อากาศ ‘แพริออต’ แก่เคียฟ

"เรามาอยู่ที่นี่ในวันนี้ เพราะว่าเราคัดค้านการแผ่ขยายอาณาเขตไม่รู้จบของนาโต้ ซึ่งไม่ใช่แค่มันไม่ได้เป็นสิ่งจำเป็น แต่มันยังเป็นการกระทำที่ขาดความยั้งคิดและยั่วยุ" ไบรอัน เบคเกอร์ ประธานกลุ่มแนวร่วม ANSWER Coalition พันธมิตรต่อต้านสงครามในสหรัฐฯ

‘สืบสวน ตม.1 - สันติบาล’ บุกรวบแก๊งแรงงานเถื่อน พร้อมพบต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองถูกกักขัง 7 ชีวิต

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ประกอบกับนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม.,พล.ต.ต.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ชูฉัตร ธารีฉัตร รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.สรร พูลศิริ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม.และ พล.ต.ต.ปิยอนันต์ โตสกุลวงศ์ ผบก.ตม.1 

สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ กก.สืบสวน บก.ตม.1 ได้บูรณาการกำลังกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาล กก.3 บก.ส.2 ประชุมสืบสวน หาข่าวการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.๒๕๒๒ และความผิดอาญา จนได้รับข้อมูลเชิงลึก จากสายข่าว (ขอปกปิดนาม) ว่ามีคนต่างด้าวกลุ่มหนึ่ง ได้นำคนต่างด้าว สัญชาติ เมียนมา ชาย-หญิง จำนวนหนึ่งมาหลบซ่อนและอาจมีการกักขังหน่วงเหนี่ยว ในสถานที่พักแห่งหนึ่งมีลักษณะเป็นห้องเช่าสองชั้นในเขตพื้นที่ จ.สมุทรปราการ เมื่อเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้ข้อมูลตามแนวทางการสืบสวน จนสืบทราบว่าสถานที่นำคนต่างด้าวไปกักขังนั้น
อยู่ที่บ้านเช่าหลังหนึ่งใน อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ จึงได้รายงานข้อมูลให้ผู้บังคับบัญชาทราบ 

พ.ต.อ.ระพีพัฒน์ อุตสาหะ ผกก.สืบสวน บก.ตม.1 จึงได้สั่งการให้ พ.ต.ท.สุริยะ พ่วงสมบัติ รอง ผกก.สืบสวน บก.ตม.1 (ชุดปฏิบัติการสืบสวน ๒) พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ สืบสวน บก.ตม.1 และเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาล กก.3 บก.ส.2 ไปตรวจสอบเพื่อพิสูจน์ทราบการกระทำความผิดตามอำนาจ หน้าที่ เมื่อไปถึงพบสถานที่พักดังกล่าวฯ ลักษณะเป็นห้องพักให้เช่าสูง 2 ชั้น ชั้นล่างมีห้องพัก 4 ห้อง ชั้นบนมีห้องพัก 5 ห้อง ซึ่งห้องพักเป้าหมายที่คาดว่าได้มีการนำคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมามาหลบซ่อนและกักขัง หน่วงเหนี่ยวคนต่างด้าวน่าจะอยู่บริเวณชั้นล่าง ซึ่งจากการสังเกตมีห้องพักห้องหนึ่งต้องสงสัยมีแม่กุญแจล็อกอยู่บริเวณด้านนอก แต่จากการสังเกตพบว่าด้านหน้าประตูมีรองเท้าวางอยู่หน้าห้องจำนวนหลายคู่และมีเสียงพูดคุยสำเนียงเป็นภาษาเมียนมาออกมาจากด้านใน คาดว่าน่าจะมีคนต่างด้าวถูกกักขังอยู่ด้านในห้องพักดังกล่าวฯ 

เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้เฝ้าสังเกตการณ์จนในเวลาต่อมาพบ นายชิ ทูย โช (Mr.Si Thu Soe) อายุ 45 ปี สัญชาติเมียนมา (ผู้ถูกจับที่ 1) และ นายขาน ไม โก โก (Mr.Chan Myae Ko Ko) อายุ 29 ปี สัญชาติ เมียนมา (ผู้ถูกจับที่ 2) (ทราบชื่อภายหลัง) ได้เดินมาที่ห้องพักและได้ใช้กุญแจไขห้องพัก เจ้าหน้าที่ ชุดจับกุมจึงได้แสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและได้แสดงบัตรประจำตัวให้ดูจนเป็นที่พอใจแล้ว จึงให้เปิดประตูห้องพัก ปรากฎว่าพบคนต่างด้าว สัญชาติ เมียนมา 7 คน เป็นผู้ชาย 5 คน เป็นผู้หญิง 2 คน อยู่ภายในห้องพักดังกล่าว จากการสอบถามผ่านล่าม คนต่างด้าวชาวเมียนมาผู้เสียหายทั้ง 7 คน ได้ให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมว่า ถูกผู้จับที่ 1-2 เป็นผู้ร่วมกันนำคนต่างด้าวจำนวน 7 คน มาพักที่ห้องเช่าที่เกิดเหตุ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าคนต่างด้าวทั้ง 7 คนได้ลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักรทางช่องทางธรรมชาติเมื่อวันที่ 7 ที่รอยต่อชายแดน อ.แม่สอด จ.ตาก เมื่อประมาณต้นเดือน ม.ค.66 เพื่อจะมาทำงานโดยคิดค่าดำเนินการรายละ 2,500,00 จ๊าด (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 40,000 บาท) แต่ผู้เสียหายมีเงินไม่พอ ผู้ถูกจับที่ 1 และ 2 จึงกักขังผู้เสียหายไว้ เป็นเวลา 9 วัน จนกระทั่งเจ้าหน้าชุดจับกุมมาพบ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top