Wednesday, 9 July 2025
ค้นหา พบ 49301 ที่เกี่ยวข้อง

'ชูวิทย์' ลั่น!! เรื่องทุนจีนสีเทา อภิปรายเอามันส์อย่างเดียวไม่พอ ต้องแสดงข้อมูลชัด ยก 'รังสิมันต์ โรม' ไม่เลว!!

(10 ม.ค. 66) ที่โรงแรมเดวิส นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองชื่อดัง แถลงข่าวพร้อมเปิดคลิปวิดีโอจากกล้องวงจรปิดภายในผับจินหลิง เหตุการณ์เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา และ สรุปผลพูดคุยกับนายกฯ วานนี้ 

นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้เปิดเผยข้อมูลเป็นคลิปวิดีโอซึ่งปรากฏภาพพนักงานไม่น้อยกว่า 10 คน และบุคคลอื่น ๆ เดินไปมาจำนวนมาก แต่ปัจจุบันปรากฏว่าจำนวนพยานในสำนวนคดี เหลือพนักงานเสริฟเพียง 2 คน ไม่มีพยานที่เป็นหญิงขายบริการ หรือบุคคลอื่น ๆ ในที่เกิดเหตุอีก

ส่วนอีกหนึ่งคลิป เป็นคลิปกล้องวงจรปิดบริเวณประตูทางเข้าออกผับจินหลิง มีพนักงานคอยตรวจค้นร่างกาย ซึ่งมีการละเว้นการค้นตัวของหลานชายตู้ห่าว และสิ่งที่นายชูวิทย์ตั้งข้อสงสัยว่าซองสีขาวในมือของหลานชายตู้ห่าวดังกล่าวเป็นซองที่บรรจุยาเสพติด 

ต่อมาชูวิทย์ เปิดแผนผังขบวนการผับจินหลิง ที่มีนายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือ ตู้ห่าวเป็นหัวหน้าขบวนการ มีผู้ร่วมขบวนการรายสำคัญแยกย่อยออกมารวม 10 คน มีการแบ่งหน้าที่กันดูแลทั้งเรื่องเงิน และเรื่องยาเสพติด

นอกจากนี้ นายชูวิทย์ ได้กล่าวว่าย้อนกลับไปวันที่ได้ทานอาหารร่วมกับ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สอบถามว่า จากนี้จะดำเนินการกับกลุ่มเจ้าหน้าที่ ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองต่อไปอย่างไร กระบวนการจะมีความชัดเจนเป็นรูปธรรมหรือไม่ รวมทั้งถามพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติด้วยว่า จะดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนจีนสีเทาอย่างไร

“ในวันนี้ผมตั้งใจมาเปิดโปงเครือข่ายทุจริตคอร์รัปชันที่พบว่ามีกลุ่มทุน หน่วยงานรัฐ นักการเมืองคอยร่วมสนับสนุน ถ้าประชาชนสังเกตทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่มีการจับกุมผับจินหลิง ที่ผ่านมาตำรวจทำงานตามหลังที่ตนออกมาเคลื่อนไหวตลอด และปัจจุบันอัยการสูงสุด ยังไม่ได้สั่งให้คดีนี้เป็นคดีอาชญากรรมข้ามชาติ 100 เปอร์เซ็นต์ ตนจึงจำเป็นต้องทำบางสิ่งบางอย่าง เพื่อไปสู่เป้าหมาย หากใครจะโทษตนเองก็ยอมรับ” นายชูวิทย์กล่าว

ส่วนเรื่องของวานนี้ (9 ม.ค. 66) ที่ชูวิทย์ได้เข้าไปพูดคุยส่วนตัวกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยหลังจบงานพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ส่งคำถามถึง พล.อ.ประยุทธ์ ที่ด้านหน้าศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมี 2 คำถามคือ พล.อ.ประยุทธ์ทราบหรือไม่ว่าหลานชายมีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจบริษัททัวร์ของตู้ห่าว และถ้าพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องจริงจะดำเนินการตรวจสอบอย่างไร

‘เพื่อไทย’ ไม่ให้ค่า ‘ประยุทธ์’ เปิดตัวกับ รทสช. เหน็บ!! ไม่สำนึกทำปชช. เอือมระอาตลอด 8 ปี

(10 ม.ค. 66) น.ส.ชญาภา สินธุไพร รองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) และผู้ซึ่งประสงค์สมัครรับเลือกตั้งส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เปิดตัวสมัครเข้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 ม.ค.ที่ผ่านมาว่า ไม่ปัง พรรคใหม่ของพล.อ.ประยุทธ์มีนักการเมืองหลายคนที่เคยเป็น กปปส.เป่านกหวีดเรียกร้องการรัฐประหาร วันนี้ผู้เคยเรียกร้องการรัฐประหารกับหัวหน้าคณะรัฐประหารมาทำงานร่วมกันอีก การเปิดตัวของพล.อ.ประยุทธ์ พรรคเพื่อไทยไม่หวั่นไหว ส่วนตัวไม่ให้ราคา ขอให้มาสู้กันในสนามเลือกตั้งให้พี่น้องประชาชนตัดสิน ทั้งนี้ ตนมีข้อสังเกตดังนี้ 

1. พล.อ.ประยุทธ์กระทำผิดมารยาททางการเมืองอย่างร้ายแรง เพราะเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แต่ไปประกาศเปิดตัวอย่างเอิกเกริก สมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ถือเป็นเรื่องแปลกประหลาดทางการเมือง ไม่มีใครทำเหมือนพล.อ.ประยุทธ์มาก่อน แต่จะคาดหวังจากคนที่เคยยึดอำนาจ ฉีกรัฐธรรมนูญ เป็นการกระทำที่เป็นกบฏ ก็คงเป็นความคาดหมายที่สูงเกินไป พล.อ.ประยุทธ์ที่เป็นแคนดิเดตนายกฯ พปชร. มีความสำนึกต่อพี่น้องประชาชนที่เลือก พปชร.หรือไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไร นโยบายที่ พปชร.หาเสียงไว้แต่ทำไม่สำเร็จ จะรับผิดชอบอย่างไร 

2. พล.อ.ประยุทธ์มีพฤติกรรมย้อนแย้งจนหยดสุดท้าย เคยบอกว่าตนเองไม่ใช่นักการเมือง แต่คนไทยรู้แล้วว่าเป็นนักการเมืองเต็มตัว เมื่อวานประกาศว่าไม่ต้องการอำนาจ แต่กลับมีพฤติกรรมเสพติดอำนาจ อยู่มา 8 ปีและยังกระเสือกกระสนจะอยู่ต่ออีก 2 ปี อ้างว่าเคารพกระบวนการประชาธิปไตย แต่จุดเริ่มต้นเข้าสู่อำนาจ คือในฐานะหัวหน้าคณะรัฐประหาร ที่ยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน บอกความสงบจบที่ลุงตู่ ตอนนี้เป็นอย่างไร

กาชาดกาฬสินธุ์เชิญชวน 'บริจาคโลหิต' มงคลชีวิต กุศลยิ่งใหญ่ ถวายเจ้าฟ้าหญิง

เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2566 ที่หอประชุมโรงเรียนกมลาไสย อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ นางธนวัน อุ่นเพชรวรากร รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดกาฬสินธุ์ พร้อมคณะกรรมการเหล่ากาชาด นำทีมแพทย์พยาบาล ออกรับบริจาคโลหิตจากข้าราชการ นักการเมืองท้องถิ่น พ่อค้าประชาชน เพื่อถวายเป็นพระราชกุลศลแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชราชธิดา โดยมี นายเตชิต ทรงบุญศาสตร์ นายอำเภอกลาไสยให้การต้อนรับ

การบริจาคครั้งนี้นอกจากประชาชนยังมีจิตอาสาพระราชทาน มาร่วมบริจาค ประชาชนทุกคนพร้อมใจบริจาคเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระองค์ภา ส่วนหนึ่งเพื่อนำโลหิตไปเก็บไว้ในธนาคารเลือดจังหวัดกาฬสินธุ์ ให้ผู้ป่วยได้ใช้ ที่สามารถรับบริจาคได้จำนวน 241 คน จำนวนโลหิต 84,350 ซีซี ทั้งนี้ยังมีประชาชน บริจาคดวงตาและอวัยะ จำนวน 2 ราย 

‘คำสาป-อาถรรพ์’ ของ ‘วังหน้า’ สมัยรัตนโกสินทร์ สู่ปัจฉิมบท ยกเลิก ‘พระราชวังบวรสถานมงคล’

‘วังหน้า’ หรือ ‘พระราชวังบวรสถานมงคล’ เป็นชื่อสถานที่และตำแหน่งสำคัญของบ้านเมืองจนกระทั่งรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงยกเลิกตำแหน่งสำคัญนี้ เนื่องจากกรณีขัดแย้งและไม่เหมาะสมกับยุคสมัย เป็นเครื่องมือให้ฝรั่งชาตินักล่าอาณานิคมมาใช้ในการครอบงำและวุ่นวายในสยาม แต่กระนั้นเรื่องราวของ ‘วังหน้า’ ก็มีความน่าสนใจ ซึ่งผมจะขอนำมาเล่าสู่กันอ่านและผมขออนุญาตเล่าเรื่องราวเฉพาะ ‘วังหน้า’ ในสมัยรัตนโกสินทร์ดังนี้นะครับ 

“...ของเหล่านี้ กูอุตส่าห์ทำด้วยความคิดและเรี่ยวแรงเป็นหนักหนา หวังจะอยู่ชมนานๆ ก็ไม่ได้ชม ของใหญ่ของโตของกูดีๆ ของกูสร้าง ใครไม่ได้ช่วยเข้าทุนอุดหนุน กูสร้างขึ้นด้วยกำลังข้าเจ้าบ่าวนายของกูเอง นานไปใครไม่ใช่ลูกกู เข้ามาเป็นเจ้าของครอบครองขอผีสางเทวดาจงบันดาลอย่าให้มีความสุข...” คำสาปแช่งนี้เป็นคำเล่าลือว่าออกมาจากพระโอษฐ์ของ ‘กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท’ วังหน้าพระองค์แรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งมีนัยยะสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

‘กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท’ มีพระนามเดิมว่า ‘บุญมา’ ประสูติแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี โดยรับราชการอยู่ใน ‘กรมมหาดเล็ก’ ตำแหน่ง ‘นายสุจินดาหุ้มแพร’ เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก ทรงหนีภัยสงครามไปร่วมทัพกับ ‘สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช’ ร่วมกอบกู้บ้านเมืองจนได้เอกราช พระองค์ขึ้นชื่อว่าเป็นทหารเอกและมีบารมีมาก แถมเป็นผู้ชักนำพี่ชายของตนคือ “พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช” ซึ่งขณะนั้นเป็นยกกระบัตรเมืองราชบุรี มาเข้าร่วมกองทัพจนได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ในกาลต่อมาได้ เรียกว่า ‘มีบารมีจนพี่ชายต้องเกรงใจ’

เมื่อได้รับการสถาปนาพระองค์ได้รับพระราชทานที่ดินริมแม่น้ำเจ้าพระยาทางทิศเหนือของวัดมหาธาตุ ขึ้นไปจนถึงคูเมือง เพื่อสร้างเป็น ‘พระราชวังบวรสถานมงคล’ และพระองค์ยังทรงขอพื้นที่บางส่วนของวัดมหาธาตุ มาผนวกเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของวังอีกด้วย ถ้าเทียบขนาด ‘วังหลวง’ กับ ‘วังหน้า’ ในตอนนั้นต้องบอกว่า ‘ใหญ่’ เกือบจะเท่ากัน แล้วคุณรู้ไหม ? ว่าทำไม ? วังหน้าถึงต้องอยู่หน้าวังหลวง ว่ากันว่าการวางตำแหน่งแบบนี้ยึดตามหลักพิชัยสงครามเมื่อไปออกศึก ที่จะแบ่งเป็นทัพหน้า ทัพหลวง โดยเมื่อข้าศึกมาประชิด ทัพหน้าจะเป็นด่านแรกที่ปะทะดังนั้นบทบาทของผู้ครองวังหน้าจึงยิ่งใหญ่และสำคัญมาก ๆ (เหมาะกับนักรบอย่าง ‘กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท’ มาก ๆ ) 

‘กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท’ ทรงสร้าง ‘พระบวรราชวัง’ นี้อย่างยิ่งใหญ่และประณีตบรรจง ด้วยหวังจะได้ทรงอยู่อย่างเป็นสุขในบั้นปลายพระชนม์ชีพ แต่หลังจากดำรงพระยศกรมพระราชวังบวรฯ ได้ 21 ปี ก็ด้วยประชวรพระโรคนิ่ว เล่ากันว่าทรงทั้งห่วงและหวงพระบวรราชวังที่โปรดเกล้า ฯ ให้สร้าง เล่ากันว่าในวันที่พระองค์ ทรงใกล้จะเสด็จสวรรคต ทรงใคร่อยากชมพระราชวังบวรฯ ให้สบายพระทัย จึงโปรดให้เชิญพระองค์ขึ้นเสลี่ยงบรรทมพิงพระเขนย เชิญเสด็จรอบพระราชมณเฑียร และได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานต่อรัชกาลที่ 1 ให้พระโอรสธิดาของพระองค์ได้ประทับอยู่ในวังหน้าต่อไป แต่ไม่ทราบคำขอนั้นเป็นอย่างไร จึงได้เกิดคำสาปแช่งที่เป็นเรื่องเล่าตามที่ผมได้กล่าวไว้ในข้างต้น 

‘กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท’ สวรรคตขณะพระชนมายุ 60 พรรษา ‘พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช’ รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้า ฯ ตั้ง ‘สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร’ (กาลต่อมาคือ ‘พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย’) พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล พระองค์ที่สอง

ครั้งนั้น ‘เจ้าคุณจอมแว่น พระสนมเอก’ ได้กราบฯ ทูลขอให้เชิญเสด็จฯ กรมพระราชวังบวรฯ พระองค์ใหม่ไปประทับ ณ พระบวรราชวังแทน แต่รัชกาลที่ 1 ไม่ทรงเห็นด้วย อาจเพราะทรงรำลึกถึงคำสาปแช่ง จึงมีพระราชดำรัสว่า “ไปอยู่บ้านช่องของเขาทำไม เขารักแต่ลูกเต้าของเขา เขาแช่งเขาชักไว้เป็นหนักเป็นหนา” จึงโปรดเกล้า ให้ประทับอยู่ที่พระราชวังเดิม จนเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ พระองค์เป็นกรมพระราชวังบวรฯ พระองค์เดียวที่ไม่ได้เสด็จฯประทับอยู่ที่วังหน้า และเป็นเพียงพระองค์เดียวอีกเช่นกันที่ได้สืบราชบัลลังก์เป็นพระมหากษัตริย์คือ ‘พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย’ รัชกาลที่ 2 

‘พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย’ รัชกาลที่ 2 โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนา ‘สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์’ เป็น ‘กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์’ และทรงมีพระราชดำริว่าควรย้ายไปประทับที่พระราชวังบวรสถานมงคล ด้วยเป็นพระราชวังสำหรับพระมหาอุปราช ซึ่งในช่วงรัชกาลที่ 2 นี้ บรรยากาศและสภาพการณ์ต่างๆ ระหว่าง ‘วังหลวง’ และ ‘วังหน้า’ เป็นไปอย่างราบรื่น เพราะทั้งล้นเกล้ารัชกาลที่ 2 และ วังหน้าพระองค์นี้ ทรงสนิทกันมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ วังหน้าเองก็เสด็จฯ เข้าวังหลวง เพื่อทรงปฏิบัติข้อราชการและเข้าเฝ้าฯ ไม่ได้ขาด ‘กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์’ ดำรงพระยศอยู่ 8 ปี ก็สวรรคตในวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2360 โดยมีพระชนมายุเพียง 44 พรรษา รัชกาลที่ 2 ไม่ทรงสถาปนาผู้ใดขึ้นมาดำรงตำแหน่งนี้ในรัชสมัยของพระองค์อีก

‘พระราชวังบวรสถานมงคล’ ว่างเว้นเจ้าของมา 7 ปี กระทั่ง ‘พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว’ รัชกาลที่ 3 ขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 2367 จึงโปรดเกล้าฯ ให้ ‘กรมหมื่นศักดิพลเสพ’ (พระองค์เจ้าอรุโณทัย) พระราชโอรสในรัชกาลที่ 1 และมีศักดิ์เป็นสมเด็จอา (เป็นอารุ่นเล็กที่อายุพอ ๆ กัน) บวรราชาภิเษกเป็น ‘สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ’ ครองวังหน้าต่อ สำหรับคำสาปแช่งที่หวาดกลัวกันนั้น น่าจะไม่เป็นปัญหาต่อกรมพระราชวังบวรฯ พระองค์นี้ ด้วยพระองค์ทรงอภิเษกกับ ‘พระองค์เจ้าดาราวดี’ พระราชธิดาใน ‘กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท’ ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาน้อย แต่กระนั้นก็ทรงอยู่ในตำแหน่งกรมพระราชวังบวรฯ ได้เพียง 8 ปี ก็เสด็จสวรรคตเมื่อพระชนมายุได้เพียง 47 พรรษา และมิได้มีพระราชวงศ์พระองค์ใดเป็นกรมพระราชวังบวรฯ จนสิ้นรัชกาลที่ 3 

‘สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ’ ได้ทรงซ่อมแซมพระวิมานทั้ง 3 หลัง โดยมีการถือปูนเสริมไม้และทรงสร้างพระที่นั่งเป็นท้องพระโรงใหม่อีก 1 องค์ ถ่ายแบบอย่างพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยในพระบรมมหาราชวัง ทรงขนานนามว่า ‘พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย’ ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นที่จัดแสดงของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร 

ครั้นในรัชสมัย ‘พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว’ รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระอนุชาธิราช ‘เจ้าฟ้าจุฑามณีกรมขุนอิศเรศรังสรรค์’ เป็น ‘วังหน้า’ แต่แตกต่างด้วยการแก้เคล็ดก่อนตั้งด้วยว่า ‘กรมขุนอิศเรศรังสรรค์’ มี ‘พระชะตากล้า’ จึงโปรดเกล้า ฯ ให้เฉลิมพระเกียรติยศเป็นพระมหากษัตริย์อีกพระองค์หนึ่งและมี ‘พระราชพิธีบวรราชาภิเษก’ ขึ้นเป็น ‘พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว’  (ซึ่งผมจะนำมาเล่าแยกในบทความลำดับต่อ ๆ ไปนะครับ) 

'อนาคตเด็ก อนาคตประเทศไทย' ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จัดหนักจัดเต็ม 'เปิดงานสัปดาห์วันเด็กแห่งชาติ' เน้นกิจกรรมให้ความสำคัญกับเด็กและเยาวชน ซึ่งจะเป็นอนาคตของชาติ ระหว่างวันที่ 10 - 14 มกราคม นี้

(10 ม.ค. 66) นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานเปิดงานสัปดาห์วันเด็กแห่งชาติ ภายใต้แนวคิด 'อนาคตเด็ก อนาคตประเทศไทย' โดยกล่าวถึงการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ ว่า เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนเห็นถึงความสำคัญและความต้องการของเด็ก รวมถึงให้เด็ก ๆ ตระหนักรู้ถึงความสำคัญของตน เกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบ ระเบียบวินัย ที่มีต่อตนเองและสังคม โดยปลูกฝังให้เด็กมีส่วนร่วมในสังคม พัฒนาตนเองรอบด้านและมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ที่ถูกต้องเหมาะสมกับวัยให้มีความพร้อมในศตวรรษที่ 21 เตรียมความพร้อมเพื่อเป็นกำลังในการพัฒนาประเทศชาติต่อไป

ทั้งนี้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) กำหนดจัดงานสัปดาห์วันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2566 ภายใต้แนวคิด 'อนาคตเด็ก อนาคตประเทศไทย' ระหว่างวันที่ 10 - 14 มกราคม 2566 โดยมีกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ 

- การเสวนา หัวข้อ 'เด็กไทยยุคใหม่ ตระหนักภัยออนไลน์' โดยมูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย โครงการฮัก ประเทศไทย และสภาเด็กและเยาวชน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top