Thursday, 10 July 2025
ค้นหา พบ 49314 ที่เกี่ยวข้อง

‘บิ๊กป้อม’ เปิดกว้างรับฟังทุกความเห็นทุกภาคส่วน มุ่งลดความเสี่ยงจากสาธารณภัยตามหลักสากล

พล.อ.ประวิตร ประธานเปิดสัมมนา ‘แผน ปภ.ชาติ’ ย้ำ รับฟังทุกความเห็น ทุกมุมมอง ทุกภาคส่วน อย่างเปิดกว้าง เน้น ‘สร้างความเข้าใจ ปิดภาวะเสี่ยงร่วมกัน ปฏิบัติได้จริง’ หวังให้ประชาชนปลอดภัยสูงสุด

(9 ม.ค. 65) พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษก รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานพิธีเปิดโครงการสัมมนาเชิงวิชาการ หัวข้อ ‘ลดความเสี่ยงเดิม ป้องกันความเสี่ยงใหม่ สู่สังคมเท่าทันภัย ด้วยแผน ปภ.ชาติ’ ณ ห้องคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ โรงแรมรามา การ์เด้น กรุงเทพฯ โดยมี กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย ก.มหาดไทย เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก ภายใต้การกำกับของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว. มท. ในฐานะ ผู้บัญชาการ ปภ. 

ทั้งนี้ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย ได้กล่าวรายงานพร้อมวัตถุประสงค์การจัดงานในครั้งนี้ โดยโครงการนี้ จะมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ประสบการณ์ และแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice) เพื่อนำไปสื่อสารสร้างการรับรู้และถ่ายทอดแผนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการและภาคประชาสังคม รวมถึงเป็นการสร้างเครือข่ายในการเชื่อมโยง ภารกิจงาน เพื่อผนึกกำลังการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของประเทศ ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายรวม 500 คน จากทุกภาคส่วน

‘บิ๊กตู่’ เปิดทำเนียบต้อนรับ ‘เอกอัครราชทูตอินเดียฯ’ พร้อมหารือ ‘ความร่วมมือ-กระชับสัมพันธ์’ ในทุกมิติ

นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตอินเดียฯ กระชับความสัมพันธ์ที่มีมายาวนาน พร้อมผลักดันมูลค่าทางการค้าและการลงทุน ส่งเสริมความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว วัฒนธรรม และความเชื่อมโยง

(9 ม.ค. 66) เมื่อเวลา 11.00 น. ที่ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายนาเคศ สิงห์ (H.E. Mr. Nagesh Singh) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินเดียประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเข้ารับหน้าที่

นายกรัฐมนตรี กล่าวกับยินดีกับนายนาเคศ สิงห์ ในโอกาสที่รับหน้าที่ในประเทศไทย โดยไทยและอินเดียมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด และความร่วมมือทุกมิติ หวังว่าเอกอัครราชทูตอินเดียฯ จะช่วยยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างกันในอนาคตให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และเสริมสร้างความร่วมมือในสาขาที่ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพ ทั้งนี้ ไทยพร้อมให้การสนับสนุนเอกอัครราชทูตอินเดียฯ ในการปฏิบัติหน้าที่ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ รวมถึงส่งเสริมความร่วมมือในประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายมีผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งการเมือง ความมั่นคง การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และความร่วมมือกรอบพหุภาคี พร้อมฝากความปรารถนาดีถึงประธานาธิบดีแห่งอินเดีย นายกรัฐมนตรีอินเดีย และประชาชนชาวอินเดียในโอกาสปีใหม่ด้วย 

ด้านเอกอัครราชทูตอินเดีย กล่าวยินดีที่ได้พบปะกับนายกรัฐมนตรี พร้อมนำคำทักทายและคำอวยพรจากนายกรัฐมนตรีอินเดียมายังรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีด้วย เชื่อมั่นว่าการเข้ารับหน้าที่ในไทยจะเป็นโอกาสกระชับความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ซึ่งประเทศไทยเป็นมิตรประเทศที่สำคัญของอินเดีย มีความใกล้ชิดระหว่างกันอย่างลึกซึ้งทั้งทางวัฒนธรรม ภาษา ประวัติศาสตร์ และศาสนา โดยนโยบายของไทยที่ดำเนินนโยบายมุ่งตะวันตก (Look West Policy) กับนโยบายรุกตะวันออก (Act East Policy) ของอินเดีย มีความสอดคล้อง เป็นประโยชน์กับไทยและอินเดีย จึงยินดีร่วมมือกับรัฐบาล เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือทุกมิติ

จากนั้น ทั้งสองฝ่ายหารือถึงความร่วมมือด้านต่าง ๆ ดังนี้ 

- ความร่วมมือด้านการเมือง ทั้งสองฝ่ายต่างเห็นพ้องผลักดันการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกันเพิ่มขึ้นในทุกระดับ ซึ่งนายกรัฐมนตรีหวังเป็นอย่างยิ่งว่านายกรัฐมนตรีอินเดียจะตอบรับการเยือนไทย โดยไทยพร้อมต้อนรับนายกรัฐมนตรีอินเดียเยือนไทย และเข้าร่วมการประชุมสุดยอด BIMSTEC ที่ไทยเป็นเจ้าภาพในช่วงเดือนสิงหาคมปีนี้ ด้านเอกอัครราชทูตอินเดียฯ พร้อมผลักดันการแลกเปลี่ยนการเยือนทุกระดับ รวมถึงยืนยันสนับสนุนการเป็นประธาน BIMSTEC ของไทย

- ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว เอกอัครราชทูตอินเดียฯ ยินดีที่ชาวอินเดียมาท่องเที่ยวไทยเกือบ 1 ล้านคนในปี 2565 ซึ่งชาวอินเดียจำนวนมากนอกจากจะเดินทางมาท่องเที่ยวแล้ว ยังชื่นชอบเดินทางมาไทยเพื่อจัดงานแต่งงานอีกด้วย เอกอัครราชทูตอินเดียฯ จึงยินดีส่งเสริมการเดินทางไปมาหาสู่กันระหว่างประชาชนของไทยและอินเดียให้มากขึ้น ด้านนายกรัฐมนตรีหวังว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายให้นักท่องเที่ยวจากอินเดียมาไทยปีละ 2 ล้านคน เหมือนช่วงก่อนหน้าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19  

- ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ทั้งสองฝ่ายต่างยินดีที่มูลค่าการค้าไทยและอินเดียเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปี 2564 โดยในเดือน ม.ค. - พ.ย. 2565 การค้าสองฝ่ายมีมูลค่ากว่า 16.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 21 ซึ่งเอกอัครราชทูตอินเดียฯ กล่าวว่าทั้งสองฝ่ายยังมีศักยภาพที่จะเพิ่มการค้าและการลงทุนในสาขาที่ทั้งสองฝ่ายเชี่ยวชาญและสนใจระหว่างกัน ด้านนายกรัฐมนตรีหวังว่านักธุรกิจอินเดียจะพิจารณาลงทุนใน EEC โดยเฉพาะในธุรกิจด้านยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ หุ่นยนต์ การบิน และโลจิสติกส์ เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ ดิจิทัล และการแพทย์ครบวงจร

‘ว่าที่ผู้สมัครก้าวไกล’ ควงนักปั้นคำฮิตให้ ‘ชัชชาติ’ ออกสำรวจปัญหา ‘คูคต-ลำสามแก้ว-รังสิต’

‘เชตวัน’ ก้าวไกล ปทุมฯ ควง ‘ประกิต’ ครีเอทีฟผู้คิดคำ ‘ทำงาน ทำงาน ทำงาน’ ลุยพื้นที่สำรวจปัญหาคูคต-ลำสามแก้ว-รังสิต 

(9 ม.ค. 66) เชตวัน เตือประโคน ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล จ.ปทุมธานี พร้อมด้วย ประกิต กอบกิจวัฒนา ครีเอทีฟผู้คิดคำว่า ‘ทำงาน ทำงาน ทำงาน’ ที่ใช้ในการรณรงค์เลือกตั้งให้กับ ‘ชัชชาติ สิทธิพันธุ์’ ชนะการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ลุยพื้นที่สำรวจปัญหาในพื้นที่ ต.คูคต อ.ลำลูกกา และ ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี 

เชตวัน กล่าวว่า วันนี้ตั้งใจที่จะพาพี่แมว ประกิต มาดูปัญหาในพื้นที่ที่ตัวเองเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.โดยใช้เวลาช่วงบ่ายของวันนี้ ราว 3 ชั่วโมง ไปยังจุดต่าง ๆ ซึ่งแทบจะเรียกได้ว่าครอบคลุมถนนเส้นหลัก พร้อมกันนี้ก็ได้บอกเล่าแนวนโยบายที่อยากจะทำให้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น เพิ่มทางเลือกในการขนส่งสาธารณะ, การแก้ปัญหา ถ.เสมาฟ้าคราม, การขอสนามกอล์ฟของกองทัพมาเป็นพื้นที่สาธารณะให้ประชาชน เป็นต้น และถัดจากนี้ จะเขียนแนวนโยบายเหล่านี้ออกมาและส่งให้คิดเรื่องของแคมเปญการสื่อสารต่อไป 

"สำหรับการทำงานในพื้นที่ ในฐานะว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล ของผม ขณะนี้ถือว่าเข้าสู่เฟสที่ 2 สิ่งที่กำลังจะทำในเฟสนี้มี 2-3 เรื่องใหญ่ ๆ ได้แก่ การเดินแบบปูพรมในพื้นที่ การจัดกิจกรรมระดมทุน และการทำป้ายประชาสัมพันธ์ให้คนรู้จัก ซึ่งในเรื่องสุดท้ายนี้ ก็ได้พี่แมว ประกิต มาช่วยกันออกแบบและทำงาน ในฐานะที่เป็นครีเอทีฟ และเป็นผู้ที่คิดคำว่า 'ทำงาน ทำงาน ทำงาน' ให้กับ อ.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ชนะเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ก็มั่นใจว่า พี่แมว ประกิตจะมาช่วยทำให้ชาวปทุมธานี ได้รู้จักกับเชตวันพร้อมทั้งการสื่อสารแคมเปญดี ๆ และทำให้ชนะเลือกตั้ง" เชตวัน กล่าว

‘อนุทิน’ ร่วมต้อนรับ นทท.จีน เที่ยวบินแรก ย้ำ!! ไม่ต้องแสดงใบรับวัคซีนโควิด-19

(9 ม.ค. 66) เมื่อเวลา 13.00 น. ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังการต้อนรับผู้เดินทางเที่ยวบินแรกหลังจากจีนเปิดประเทศ ว่า เที่ยวบินแรกมาจากเซี๊ยะเหมิน จำนวน 269 คน ในวันนี้จะมีเที่ยวบินจากจีนเข้ามา 15 เที่ยวบิน จำนวน 3,465 คน คาดการณ์ว่าในปี 2566 จะมีผู้เดินทางจากจีนเข้าไทยราว 7-10 ล้านคน จากเดิมที่ก่อนมีโควิด-19 มีราว 20 ล้านคน และผู้เดินทางจากทั่วโลกเข้าไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เป็นสัญญาณดีต่อภาคการท่องเที่ยว คนมีงานทำ และมีโอกาส

“ทั้งหมดเข้ามาภายใต้มาตรการป้องกันโควิด-19 ของประเทศไทย ซึ่งมีความเหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพ ซึ่งเป็นมาตรการที่เหมือนกันสำหรับผู้เดินทางเข้าไทยจากทุกประเทศ และมั่นใจประเทศไทยมีความพร้อมรับผู้เดินทางจากทุกประเทศ ไม่มีการแบ่งแยกจนกว่าจะมีความจำเป็น” นายอนุทิน กล่าว

นายอนุทิน กล่าวว่า สำหรับมาตรการผู้เดินทางเข้าไทยนั้น ยกเลิกการแสดงเอกสารฉีดวัคซีนโควิด-19 เริ่มตั้งแต่ 9 ม.ค.2566 เป็นต้นไป เนื่องจากคณะกรรมการวิชาการตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) โรคติดต่อ พ.ศ.2558 มีการประชุมเมื่อช่วงเช้า มีความเห็นว่า การฉีดวัคซีนโควิด-19 ในประเทศไทยครอบคลุมจำนวนมาก รวมถึง ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกส่วนใหญ่ก็มีการฉีดวัคซีนจำนวนมากแล้ว ขณะที่การกำหนดให้แสดงเอกสารฉีดวัคซีนจะทำให้เกิดความไม่คล่องตัว จึงไม่มีความจำเป็นต้องแสดง ฉะนั้น มาตรการเข้าไทยตอนนี้ คงเหลือต้องมีประกันสุขภาพครอบคลุมการรักษาโรคโควิด-19 สำหรับผู้เดินทางจากประเทศที่กำหนดว่าเมื่อจะกลับเข้าประเทศนั้น ๆ จะต้องแสดงผลการตรวจโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR เพื่อที่หากตรวจพบเชื้อแล้วต้องรักษาในประเทศไทย จะได้มีการรองรับค่าใช้จ่าย

‘สตม.’ รวบชาวจีนสวมรอยเป็นนักธุรกิจต่างประเทศ หลังหนีหมายจับคดีฉ้อโกง เสียหายกว่า 1,400 ลบ.

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือ เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ประกอบกับนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.รอย  อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน 

ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม.,พล.ต.ต.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ชูฉัตร ธารีฉัตร รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.สรร พูลศิริ รอง ผบช.สตม.,พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม.,พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.อาภากร โกมลสุทธิ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง ผกก.1 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ณภัทรพงศ  สุภาพร ผกก.ปอพ.บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม.

คดีที่ 1 'รวบหนุ่มแดนมังกรสวมรอยเป็นนักธุรกิจต่างประเทศชักชวนหลอกลงทุนความเสียหายกว่า 1,400 ล้านบาท' เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.สตม, กก.1 บก.สส.สตม. และ กก.ปอพ.บก.สส.สตม. ได้ร่วมกันจับกุมตัว MR.Shangguan หรือ นายฉางกวน (นามสมมุติ) อายุ 44 ปี ในข้อหา 'เป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต' 

พฤติการณ์กล่าวคือ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ร่วมกันสืบสวนติดตามบุคคล ราย MR.Shangguan หรือ นายฉางกวน อายุ 44 ปี ซึ่งได้รับการขอร้องให้ช่วยติดตามจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญจากสำนักงานกงสุล(ฝ่ายตำรวจ) ณ นครคุณหมิง โดยผู้ต้องหารายดังกล่าว ได้ฉ้อโกงประชาชน มีมูลค่าความเสียหาย กว่า 1,400 ล้านบาท โดยผู้ต้องหาได้เปิดบริษัทจดทะเบียนในต่างประเทศและทำการชักชวนให้ประชาชนเข้าทำการลงทุน ซึ่งเป็นการหลอกลวง ทางเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้สืบสวนจนทราบว่า ผู้ต้องหาได้หลบหนีไปอยู่ที่ จังหวัดเชียงใหม่ จึงได้เดินทางมาตรวจสอบ พบบุคคลมีตำหนิรูปพรรณคล้าย MR.Shangguan จึงแสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ 

ผู้ต้องหารับว่าตน คือ MR.Shangguan อายุ 44 ปี ไม่มีหนังสือเดินทางจริง และรับว่าได้หลบหนีเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้านผ่านช่องทางธรรมชาติเข้ามาที่ประเทศไทย  จึงได้ให้ดูหมายจับประเทศจีน รับว่าเป็นบุคคลเดียวกันในหมายจับดังกล่าวจริง และจากการตรวจค้นตัว พบโทรศัพท์มือถือที่ติดตัวมาจากประเทศจีน,เอกสาร


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top