Friday, 20 June 2025
ค้นหา พบ 48919 ที่เกี่ยวข้อง

เป็นของจริง!! โฆษกตำรวจ เผย เริ่มใช้ใบสั่งแบบอิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่ พ.ค. 65 แล้ว หลังโซเชียลเข้าใจผิดแชร์สนั่นว่า ‘เป็นของปลอม’

โฆษก ตร. ยืนยันเป็นใบสั่งจริง ตำรวจจราจรได้เริ่มใช้งานใบสั่งอิเล็กทรอนิกส์พร้อมกันทั่วประเทศ ตั้งแต่ พ.ค. 65 เป็นต้นมา โดยเป็นการนำระบบเทคโนโลยีและฐานข้อมูลมาใช้ออกใบสั่งเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพ   

วันนี้ (4 ธ.ค.65) เวลา 18.00 น. พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เปิดเผยว่า กรณีภาพถ่ายใบสั่งอิเล็กทรอนิกส์ที่เพจ หมอธีระวัฒน์ เหมะจุฑา นำมาโพสต์ โดยระบุ “ใบสั่งแบบนี้มันจะไปติดที่หน้าต่างรถ อย่า scan จ่ายเด็ดขาด มันของปลอม เพื่อนเพิ่งได้รับมา” นั้น ตนได้ตรวจสอบไปยังผู้ออกใบสั่ง คือ สน.บางยี่ขัน แล้วพบว่าเป็นใบสั่งจริง 

และขอเรียนชี้แจงว่า ใบสั่งอิเล็กทรอนิกส์ คือ การออกใบสั่งผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ประมวลผลแบบพกพา ที่มีการติดตั้งแอปพลิเคชันของสำนักงานตำรวจแห่งชาติชื่อว่า Police Ticket Management (หรือ PTM) เพื่อใช้เป็นโปรแกรมออกใบสั่งอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งตำรวจจราจรจะพิมพ์ใบสั่งออกมาจากเครื่องให้กับผู้ขับขี่ที่ทำผิดได้ทันที โดยจะใช้กรณีที่พบการกระทำผิดซึ่งหน้า (แบบเดียวกับใบสั่งรูปแบบที่ต้องเขียนด้วยลายมือ) เช่น ไม่สวมหมวกหรือไม่รัดเข็มขัดนิรภัย ใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ ขับรถย้อนศร ขับรถฝ่าฝืนเครื่องหมายจราจรในทางต่าง ๆ รวมถึงจอดรถในที่ห้ามจอดด้วย  

ข้อมูลในใบสั่งอิเล็กทรอนิกส์นี้ จะมีการระบุข้อหาและอัตราค่าปรับตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในระเบียบ ของ ตร. อย่างชัดเจนในใบสั่งทุกใบ โดยข้อมูลจะเชื่อมโยงกับระบบสารสนเทศของสำนักงานตำรวจแห่งชาติแบบ real time รวมถึงจะแสดงข้อมูลที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ เช่น วัน เวลา และสถานที่ที่ทำผิด ข้อมูลทะเบียนรถ ข้อมูลใบขับขี่ (กรณีพบตัวผู้ทำผิด) ชื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานที่ออกใบสั่ง นอกจากนั้น จะมี QR Code ด้านล่างสำหรับอำนวยความสะดวกประชาชนในการชำระค่าปรับผ่านระบบ mobile banking และ QR Code สำหรับตรวจสอบใบสั่งของตนเอง ผ่านเว็บไซต์ E-ticket (https://ptm.police.go.th/eTicket)

ตม.สุราษฎร์ฯ เข้มงวดจับจีน Over Stay

เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 65 เวลา 12.05 น. ภายใต้การอำนวยการและสั่งการของ พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.ศุภฤกษ์ พันธ์โกศล ผกก.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี สั่งการให้ ร.ต.อ.ธเนศพล ละอองทอง รอง สว.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี พร้อมชุดสืบสวน ตม.จว.สุราษฎร์ธานี ใช้รถยนต์ตรวจการณ์ไฟฟ้าอัจฉริยะ (SMART PATROL CAR : SPC) ออกตรวจและสืบสวนหาข่าวในช่วงระดมกวาดล้างบุคคลต่างด้าวที่อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอยู่เกินกำหนดอนุญาต (OVERSTAY) ห้วงวันที่ 1-10 ธ.ค. 65 ในพื้นที่รับผิดชอบ และได้จับกุมตัว Miss HuYanqiu อายุ 31 ปี สัญชาติจีน หนังสือเดินทางเลขที่ E32797XXX โดยกล่าวหาว่า “เป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” (19วัน)

5 ธันวาคมของทุกปี วันสำคัญที่สุดของคนไทย พระองค์ยังอยู่ในหัวใจทุกคนอย่างไม่ลืมเลือน

(5 ธ.ค. 65) พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.)​ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า...

วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี จะเป็นวันที่คนไทย ทุกคนจะลืมไม่ได้ เพราะเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 คนไทยจึงยึดถือกันว่า วันนี้เป็นวันพ่อแห่งชาติ เป็นวันชาติของไทย

ต่อมาสหประชาชาติ ได้กำหนดให้เป็น วันดินโลก (World Soil Day) ซึ่งเป็นผลมาจาก นักปฐพีวิทยาทั่วโลก 60,000 คน ได้ตกลงที่จะนำ วันคล้ายวันพระราชสมภพ มากำหนดเป็น 'วันดินโลก' ขึ้น โดยดูจากพระราชกรณีกิจ ของพระองค์มาเป็นตัวกำหนด ในการพิจารณา

พระมหากรุณาธิคุณ ที่ปกห่มประชาชนชาวไทย ในทุกด้านซึ่งแผ่กว้างไพศาล มานานถึง 70 ปี นั้น ไม่ว่าจะเรียกว่าวันอะไรก็ตาม วันนี้ก็ยังเป็นวันสำคัญที่สุดของคนไทย และ พระองค์ยังอยู่ในหัวใจของคนไทยทุกคน อย่างไม่ลืมเลือน

โครงการปลูกกาแฟบนดอย จุดเริ่มต้นเปลี่ยน 'ฝิ่น' สู่ 'ไร่กาแฟ' ทุกถ้วยที่เราอิ่มเอม ล้วนมีเงาของพระองค์อยู่ในนั้นเสมอ

ไม่มีความสุขใดที่จะมากไปกว่า การได้นั่งจิบกาแฟควันกรุ่นถ้วยโปรดรับอรุณ ก่อนจะเริ่มกิจการงานในแต่ละวัน 

ว่าแต่กาแฟที่จิบในแต่ละวันนั้น มีเรื่องราวที่เกี่ยวพันกับ 'โครงการหลวง' และเกิดเป็นเรื่องราวมหัศจรรย์ระหว่างชายสองคน จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นโครงการปลูกกาแฟบนดอยอีกด้วย

โครงการหลวงหรือมูลนิธิโครงการหลวงก่อตั้งในปี  พ.ศ. 2512 เป็นโครงการส่วนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่มุ่งส่งเสริมการปลูกพืชเมืองหนาวแก่ชาวเขา เพื่อหารายได้ทดแทนการปลูกฝิ่น โดยมีเป้าประสงค์คือช่วยเหลือให้ชาวเขามีสภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยในระยะแรกมี หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี เป็นผู้รับผิดชอบในฐานะประธานมูลนิธิโครงการหลวง

ผลผลิตจากโครงการหลวงส่วนใหญ่เป็นพืชผักและผลไม้เมืองหนาว แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าผลผลิตโครงการหลวงนั้นมีกาแฟรวมอยู่ด้วย 

ปัจจุบันมูลนิธิโครงการหลวงมีพื้นที่ส่งเสริมการปลูกกาแฟอาราบิก้าในศูนย์พัฒนาโครงการหลวง 24 ศูนย์ รวมทั้งหมด 9,491 ไร่ เกษตรกร 2,602 ราย เกษตรกรจำหน่ายผลผลิตผ่านโครงการหลวงปีละประมาณ 400-500 ตัน

ย้อนกลับไปหลายสิบปีก่อน เกิดเรื่องราวอันน่าประทับใจระหว่างชายสองคนที่บ้านหนองหล่ม จังหวัดเชียงใหม่ คนหนึ่งเป็น 'พระราชา' ส่วนอีกคนหนึ่งเป็น 'ชายชาวกะเหรี่ยง'

(ในเวลานั้นบ้านหนองหล่ม อำเภอจอมทอง เต็มไปด้วยไร่ฝิ่น ชายกะเหรี่ยงคนนี้นำเสด็จพระราชาเป็นระยะทางกว่า 7 กิโลเมตรเพื่อไปดูต้นกาแฟ ซึ่งต่อมากลายเป็นแรงบันดาลใจให้ชาวเขาปลูกกาแฟแทนฝิ่นในโครงการหลวง)

'พะโย่ ตาโร' คือชายกะเหรี่ยงที่นำรัชกาลที่ 9 บุกป่าฝ่าดงไปดูต้นกาแฟ เมื่อเห็นว่าสามารถปลูกกาแฟบนดอยได้ พระองค์จึงให้ชาวเขาหันมาปลูกกาแฟแทนฝิ่น โดยพระราชทานสัญญาว่าจะช่วยเหลือในเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น  

พระองค์ทรงเสด็จกลับมาอีกหลายครั้งหลายหน เพื่อนำความช่วยเหลือด้านอื่น เช่น พันธุ์สัตว์และหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ โดยพระองค์ทรงมีพระดำรัสว่า...

“แต่ก่อนเขาปลูกฝิ่น เราไปพูดจาชี้แจง ชักชวนให้เขามาลองปลูกกาแฟแทน กะเหรี่ยงไม่เคยปลูกกาแฟมาก่อน ยังดีที่กาแฟไม่ตายเสียหมด แต่ยังเหลืออยู่หนึ่งต้นนั้น ต้องถือว่าเป็นความก้าวหน้าสำหรับกะเหรี่ยง จึงต้องเสด็จฯ ไปทอดพระเนตร จะได้แนะนำเขาต่อไปว่า ทำอย่างไรกาแฟจึงจะเหลืออยู่มากกว่าหนึ่งต้น”   

จากต้นกาแฟที่ทรงดั้นด้นเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตร กลายมาเป็นโครงการหลวง ที่ส่งเสริมการปลูกกาแฟของชาวเขา ช่วง พ.ศ. 2517-2522 มีการศึกษาค้นคว้าวิจัยเพื่อหาพันธุ์กาแฟอาราบิกา ที่สามารถต้านทานโรคราสนิมที่ระบาดในแหล่งปลูกภาคเหนือของไทย ต่อมาใน พ.ศ. 2525 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทอดพระเนตรแปลงกาแฟที่ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ และทรงมีพระราชดำริให้กรมวิชาการเกษตรพัฒนาสายพันธุ์กาแฟที่เหมาะสมกับสภาพที่สูงของประเทศไทยเพื่อปลูกทดแทนฝิ่นบนพื้นที่สูง

'พิธา' มั่น!! ผลงานท้องถิ่นคณะก้าวหน้า หนุนคนร้อยเอ็ดมั่นใจพรรคก้าวไกล

'พิธา' เชื่อ ผลงานท้องถิ่นคณะก้าวหน้า หนุนคนร้อยเอ็ดยิ่งมั่นใจก้าวไกล ยก 'อาจสามารถ' น้ำประปาดื่มได้ ช่วยประชาชนเข้าใจ 'ประชาธิปไตยกินได้'

ไม่นานมานี้ ที่จังหวัดร้อยเอ็ด พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และ รังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล ร่วมพบปะสมาชิกและผู้สนับสนุนที่ศูนย์ประสานงานพรรค จ.ร้อยเอ็ด รวมทั้งลงพื้นที่รับฟังปัญหาประชาชนและนำเสนอแนวนโยบายพรรคในหลายจุดทั่วจังหวัด

รังสิมันต์ กล่าวปราศรัยช่วงหนึ่งว่า พรรคก้าวไกลไม่ได้ต้องการแค่ผลคะแนน ไม่ได้ต้องการแค่เป็นรัฐบาลและเป็นนายกรัฐมนตรี แต่เราต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ แก่นแกนของพรรคก้าวไกล คือการต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมไม่ว่าจะยุคสมัยไหนหรือรูปแบบใด ผ่านนโยบายต่าง ๆ เช่น การปฏิรูปที่ดินให้เป็นธรรม การปฏิรูปกองทัพ ที่ไม่ได้มีเป้าหมายแค่เพื่อป้องกันรัฐประหารเท่านั้น แต่คือการคิดว่าจะทำอย่างไรให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น รวมทั้งการปลดล็อกท้องถิ่น ให้ท้องถิ่นมีอำนาจเต็มที่และมีงบประมาณเพียงพอในการดูแลชีวิตประชาชน

โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวต่อว่า ยกตัวอย่างเงินผู้สูงอายุ 3,000 บาท ไม่ใช่แค่นโยบายกู้มาแจกตามที่บางฝ่ายกังวล แต่คือนโยบายที่คิดมาเป็นอย่างดีว่านอกจากจะช่วยให้ผู้สูงอายุมีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีวิต ยังช่วยเหลือประชาชนวัยทำงานที่ต้องดูแลลูกและพ่อแก่แม่เฒ่า ให้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง สามารถใช้ชีวิต กล้าลอง กล้าฝัน ได้มากกว่าที่เป็นอยู่ และนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของชุดนโยบาย 'สวัสดิการไทยก้าวหน้า' ที่จะดูแลประชาชนทุกช่วงวัย โดยจากการพบปะประชาชน สามารถบอกได้ว่านโยบายนี้เป็นนโยบายที่ได้รับเสียงตอบรับดีที่สุดจากประชาชนทุกช่วงวัย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top