Tuesday, 17 June 2025
ค้นหา พบ 48843 ที่เกี่ยวข้อง

ทูตนริศโรจน์ เผยหนังไทยกำลังได้รับความนิยม พร้อมขึ้นแท่นหนึ่งใน ‘Soft Power’ อันดับต้นๆ ของไทย พร้อมชวนออเจ้าไทยในออสเตรเลียร่วมชม ‘บุพเพสันนิวาส 2’ สร้างปรากฎการณ์หนังไทยในต่างแดน

นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ (คณะที่ 2) กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ดูแลเวลากองถ่ายทำจากต่างประเทศที่ขอเข้ามาถ่ายทำในไทย โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก Fuangrabil Narisroj ระบุว่า ...

มาออสเตรเลียเพื่องานนี้โดยเฉพาะ!!!

 ได้รับเชิญให้มาเป็นประธานเปิดฉายหนังเรื่อง ‘บุพเพสันนิวาส 2’ (Love Destiny the Movie) วันที่ 30 กค ที่ซิดนีย์ และวันที่ 6 สค. ที่เมลเบิร์น

ตอนนี้หนังไทยกลายเป็น Soft Power ในอันดับต้นๆที่สำคัญของไทยไปแล้ว

‘บิ๊กตู่’ ปลื้ม จับมือลงนาม ไทย-ปูซาน ส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ตั้งเป้าใน 3 ปี เพิ่มมูลค่าส่งออกไทย 2 แสนล้านบาท 

เมื่อวันที่24 ก.ค.นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ขอบคุณทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องที่ร่วมเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายด้านการค้ากับประเทศพันธมิตรกลุ่มเมืองรองที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูง และนำไปสู่การลงนามความร่วมมือระหว่างไทย-ปูซาน เชื่อมั่นการทำบันทึกความเข้าใจ ไทย-ปูซาน ที่จะผลักดัน Soft power และการส่งออกของไทย

นายธนกร กล่าวว่า นายกฯ มีนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เดินหน้าขับเคลื่อนการค้าระหว่างประเทศ เพื่อขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ทั้งการเจรจาการค้าในเวทีระดับโลกและภูมิภาคในหลายรูปแบบ ส่งผลให้เกิดความร่วมมือกับประเทศพันธมิตรเมืองหลัก และเมืองรอง ที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูง อาทิ มณฑลไห่หนาน มณฑลกานซู่ ประเทศจีน เมืองโคฟุ ประเทศญี่ปุ่น หรือรัฐเตลังคานา ประเทศอินเดีย เป็นต้น โดยวันที่ 12 ก.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจด้านการค้า (Memorandum Of Understanding : MOU) หรือ Mini FTA ระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจปูซาน หรือ Busan Economic Promotion Agency (BEPA) สาธารณรัฐเกาหลี

หัวหน้าพรรคก้าวไกล ร่วมแจมงานคราฟต์เบียร์ หลังเสร็จศึกซักฟอกรัฐบาล ให้คำมั่นเดินหน้าสู้เพื่อปลดแอกสุราคนไทย ตามนโยบายทำน้อยแต่ได้มาก

เมื่อวันที่ 23 ก.ค. ที่ชั้น 2 อาคารอนาคตใหม่ คณะก้าวหน้า จัดงาน B.A.D. BEER ครั้งที่ 2 มหกรรมคราฟต์เบียร์รวมเบียร์ฝีมือคนไทย โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีประชาชนร่วมงานจำนวนมาก มีทั้งแบรนด์เบียร์ ร้านอาหารร่วมออกบูธ 

ภายในงานมีการออกบูธเบียร์-สุราชุมชนที่มีแบรนด์ถูกกฎหมาย รวมถึงจัดทำเวิร์คช็อป ชิม เบียร์-อาหาร โดยมี ส.ส. พรรคก้าวไกล เท่า พิภพ ลิมจิตกร เป็นวิทยากร โดยประชาชนและนักดื่มนักต้มเบียร์ ให้ความสนใจร่วมงานเป็นจำนวนมาก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงท้ายของกิจกรรม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้เซอร์ไพรส์ปรากฎตัวที่งาน โดยร่วมขึ้นปราศรัย ขอบคุณประชาชนที่ร่วมงานและต่อสู้เพื่อผลักดันกฎหมายสุราก้าวหน้า จนสำเร็จผ่านการพิจารณาในวาระแรก เพื่อเดินหน้าทลายทุนผูกขาด ปลดล็อกศักยภาพเบียร์ฝีมือคนไทย

"สินค้าการเกษตรนั้นมันเกิดขึ้นได้จากคนที่มีแพชชั่นแบบคุณทุกคนที่อยู่ในงานนี้ และหากไม่ได้รับแรงสนับสนุนจากประชาชนทุกคน คงไม่มีวันที่จะสำเร็จได้" นายพิธา กล่าว

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เผย ศึกซักฟอก รัฐมนตรีรอดทุกคน แต่ประชาชน กำลังอดตาย ซัด สภาพึ่งไม่ได้ เดินหน้าสร้าง ต่อยอด แพลตฟอร์ม ประชาชนมีส่วนร่วม

24 ก.ค. 2565 -คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย กล่าวถึงผลการลงมติในการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีรวม 11 คน ที่สภาผู้แทนราษฎรเทคะแนนเกินครึ่งให้ความไว้วางใจปฏิบัติหน้าที่ต่อ ว่าความรู้สึกหลังจากทราบผลคือไม่อยู่จะพูดยังไง หรือภาษาอีสานคือ เบิดคำสิเว้า เพราะจากการที่ตัวเองติดตามฟังการอภิปรายมาตลอด 4 วัน 4 คืน หลายเรื่องที่ฝ่ายค้านหยิบยกมาเป็นเรื่องจริงที่สะท้อนว่ารัฐบาลไร้สามารถในการบริหารประเทศจนทำให้เศรษฐกิจถดถอย พลังงานแพง สินค้าและค่าครองชีพสูง 

นอกจากนี้ข้อมูลการทุจริตคอร์รัปชันหลายอย่างก็ชัดเจน ตั้งแต่ นาฬิกาหรูยืมเพื่อน ปั่นหุ้น ฮั้วประมูล เอื้อประโยชน์พวกพ้อง หรือเอาพรรคพวกเข้ามารับตำแหน่งกินภาษีประชาชนโดยมิชอบ ทั้งหมดมันยิ่งตอกย้ำว่าในสถานการณ์ที่ทุกคนกำลังลำบากเดือดร้อน แต่รัฐบาลกลับซ้ำเติมประชาชน แถมยังมีเสียงในสภาคอยหนุนหลัง เป็นผู้แทนราษฎรที่มองข้ามความเดือดร้อนและไม่ฟังเสียงประชาชน เช่นเดียวกับอีกหลายองค์กรอิสระที่กลายเป็นตรายางฟอกขาวให้รัฐบาล ดังนั้น การขจัดคอร์รัปชันต้องเป็นวาระแห่งชาติ และพรรคไทยสร้างไทยจะขอเป็นช่องทางรับฟังเสียงประชาชนอย่างแท้จริง เพื่อนำไปแก้ไขปัญหา และพัฒนาเป็นนโยบายในอนาคต ตามเจตนารมณ์ของพรรคคือ สู้เพื่อคนตัวเล็ก

“อภิปรายไม่ไว้วางใจ รอดทุกคน ยกเว้นประชาชนที่กำลังจะอดตายในวิกฤตเศรษฐกิจ แถมยังถูกซ้ำเติมด้วยรัฐบาลที่ไม่มีประสิทธิภาพ เอาภาษีไปบำเรอพวกพ้อง เมื่อสภาก็พึ่งไม่ได้ ป.ป.ช. ก็พึ่งไม่ได้ พรรคไทยสร้างไทยขอเป็นที่พึ่งรับฟังเสียงของประชาชนเพื่อช่วยเหลือและพัฒนาเป็นนโยบาย ตามเจตนารมณ์ของพรรคคือ สู้เพื่อคนตัวเล็ก” คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว

ซูเปอร์โพล เผยคนรู้อยู่แล้วอภิปรายครั้งนี้ไม่มีอะไรใหม่ หวังแค่เสียดสีการเมืองเอา ทำลายความน่าเชื่อถือ ขณะที่คนส่วนใหญ่ยังไว้วางใจให้ ‘บิกตู่’ ทำงานต่อเป็นอันดับ 1 แต่แนะปรับครม.ใหม่หาคนเก่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ

วันที่ 24 ก.ค. 65 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เสนอผลสำรวจ เรื่อง รัฐมนตรีคนไหนรอด เสียงโหวตนอกสภา กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศโดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 2,175 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 22 – 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 83.7 รู้อยู่แล้วว่าจะอภิปรายอะไร ไม่มีอะไรใหม่ โจมตีกัน เสียดสีกันทางการเมืองและสถาบัน หวังทำลายความน่าเชื่อถือศรัทธาของคนไทย หาเสียงก่อนการเลือกตั้ง 

ในขณะที่ ร้อยละ 70.9 ระบุ มีแต่สาดโคลน เอาเรื่องส่วนตัวมาโจมตี เหมือนดูละคร น้ำเน่า ไม่ได้ประโยชน์ ร้อยละ 69.6 ระบุ เห็นฝ่ายค้านบางคนอภิปรายได้ดี รัฐบาลควรนำไปแก้ไข ร้อยละ 64.3 ระบุ เห็นชัดการเมืองไทย และหลักประชาธิปไตยไทย ถูกแทรกแซงจากกลุ่มอำนาจผลประโยชน์และคนต่างประเทศ ร้อยละ 53.6 ระบุอื่น ๆ เช่น พรรคเล็ก พรรคใหญ่ต่อรองผลประโยชน์ มีทั้ง ดาวร่วง ดาวรุ่ง ไร้ค่ายสังกัด ประชาชนรู้ทัน เป็นต้น

ผลสำรวจพบด้วยว่า รัฐมนตรีที่ประชาชนวางใจให้ทำงานต่อ อันดับแรกคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร้อยละ 61.1 รองลงมาคือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร้อยละ 59.2 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ร้อยละ 58.7 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร้อยละ 53.2 นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร้อยละ 52.1 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ร้อยละ 51.9 นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ร้อยละ 51.4 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานร้อยละ 50.8 พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร้อยละ 50.5 นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ร้อยละ 50.3 และ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร้อยละ 50.3 เท่ากัน

อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงความต้องการของประชาชนต่อการปรับคณะรัฐมนตรี พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 69.1 ระบุ ควรปรับคณะรัฐมนตรี หาคนเก่งมาร่วมงานแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้องและความเดือดร้อนของประชาชนได้ดีกว่า ในขณะที่ ร้อยละ 30.9 ระบุ ไม่ควรปรับ เพราะ ทำงานดีอยู่แล้ว ปรับไปก็เท่านั้น ไม่มีประโยชน์ ยิ่งเกิดปัญหาขัดแย้งแก่งแย่งตำแหน่ง ใครจะเป็นอะไรไม่เกี่ยวกับชีวิต เป็นต้น

ที่น่าสนใจคือ 5 อันดับแรก คุณลักษณะเฉพาะของบุคคลสำคัญที่ประชาชนต้องการให้เป็นนายกรัฐมนตรี พบว่า ส่วนใหญ่ หรือ ร้อยละ 55.8 ระบุ เป็นชาย สูงวัย ซื่อสัตย์ ไม่โกงบ้านโกงเมือง เด็ดขาด ปกป้องสถาบันเสาหลักของชาติ มีผลงาน มากประสบการณ์ เคยผ่านการเป็นผู้นำสูงสุดในอาชีพ อดทน คุมความขัดแย้งของคนในชาติได้ รับฟังความเห็นของทุกฝ่าย นานาประเทศยอมรับ รองลงมาคือ ร้อยละ 54.6 ระบุ เป็นชาย อดีตนักธุรกิจ นักบริหาร มีผลงานประสบความสำเร็จทั่วโลกยอมรับ มากประสบการณ์การเมือง อดทน จิตใจดีช่วยเหลือคนตัวเล็กตัวน้อย กล้าเปลี่ยนแปลง กล้าทำ มีความสามารถแก้วิกฤตต่าง ๆ ได้ ทั้งวิกฤตเศรษฐกิจและสังคม เด็ดขาดเมื่อต้องเด็ดขาด มีจุดยืนปกป้องสถาบันเสาหลักของชาติ

อันดับสามคือ ร้อยละ 51.9 เป็นชาย สูงวัย มีประสบการณ์ กล้าทำ แก้ปัญหาใหญ่ ๆ ปราบปรามอิทธิพลเถื่อน แก้ต้นตอปัญหาทำกิน มีบารมีเครือข่าย คอนเนคชั่น คุมความขัดแย้งของคนในชาติ ปกป้องสถาบันเสาหลักของชาติ อันดับสี่คือ ร้อยละ 39.4 ระบุ เป็นชาย คนรุ่นใหม่ วิสัยทัศน์กว้างไกล โลกเสรีประชาธิปไตย พูดจาดีน่าฟัง มีเหตุผล เคยเป็นนักธุรกิจ และอันดับห้า คือ ร้อยละ 24.8 ระบุ เป็นหญิง คนรุ่นใหม่ อายุน้อย แต่ มีฐานะ มีตระกูลแกนนำการเมือง ตั้งใจจริงจะพัฒนาประเทศให้เจริญ มุ่งมั่นรวบรวมนักการเมืองเป็นครอบครัวเดียวกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top