Friday, 20 June 2025
ค้นหา พบ 48929 ที่เกี่ยวข้อง

สุดล้ำ!! พัฒนาระบบดิจิทัลให้บริการปชช. การันตีด้วย 'รางวัลต้นแบบท้องถิ่นดิจิทัล'

ต้องยอมรับว่าในประเทศไทย ยังใช้ประโยชน์จากยุคดิจิทัลได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ทั้ง ๆ ที่กระแสโลกมีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลกันอย่างเต็มตัวแล้ว โดยเฉพาะหน่วยราชการไทย เรียกได้ว่า ยังช้ากว่าการวิ่งของกระแสดิจิทัลโลกอยู่หลายก้าว 

แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ เทศบาลเมืองแม่เหียะ จ.เชียงใหม่ ได้แสดงให้เห็นว่าถ้าเราสามารถใช้ประโยชน์จากดิจิทัลได้ จะเกิดประโยชน์และประสิทธิภาพอย่างมหาศาล สามารถลบภาพระบบราชการแบบเก่า ๆ ได้อย่างสิ้นเชิง  โดยเฉพาะในภาคการบริการประชาชน ที่เป็นภารกิจหลักของรัฐ  

เทศบาลเมืองแม่เหียะ ได้พัฒนาแพลตฟอร์มระบบข้อมูลเมือง (City Data platform Dashboard) ขึ้น และสามารถเก็บข้อมูลที่สามารถซอยย่อยได้มากถึง 84 หมวดหมู่ ครอบคลุมแทบทุกด้านของการบริหารจัดการเมือง ที่สำคัญคือ สามารถสร้างระบบบริการออนไลน์ ที่เรียกว่า e-service ขึ้นมาให้บริการประชาชน ที่สามารถใช้งานได้ผ่านแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือได้ทุกระบบ การบริการหลัก ๆ มีด้วยกัน 3 ด้าน คือ  

1.) ระบบ One Stop Service ประชาชนสามารถขอรับบริการสาธารณะและแจ้งร้องทุกข์ร้องเรียน สามารถติดตามสถานะการดำเนินการได้ด้วยตนเอง 

2.) ฐานข้อมูลตำบลออนไลน์บริการข้อมูลสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) ของเทศบาลเมืองแม่เหียะ 

3.) ระบบชำระค่าจัดเก็บขยะออนไลน์ ประชาชนสามารถชำระค่าจัดเก็บขยะผ่านระบบออนไลน์  

นอกจากนี้ ก็มีงานด้านโครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภค งานด้านการจราจร และความปลอดภัย คุณภาพชีวิต งานด้านสาธารณสุข การท่องเที่ยว งานบริการด้านภาษี การยื่นคำร้องต่าง ๆ เช่น การขอปลูกบ้าน เป็นต้น

ข้อมูลของเมืองที่แสดงเป็น Dashboard ของเทศบาลแม่เหียะ ที่มีนายศิรวรรธน์ บงสีดา นายช่างโยธา ชำนาญงาน ขององค์กร เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลัก บุกเบิกการเก็บข้อมูลของเมือง โดยใช้ประโยชน์จากโดรนในการสำรวจ ซึ่งมีความละเอียดแม่นยำมากกว่าการอ้างอิงจาก Google Map กล่าวได้ว่า การพัฒนา ระบบข้อมูลของเมืองของเทศบาลเมืองแม่เหียะนำไปสู่ศูนย์บริการเป็นเลิศของ (Excellent Service) ทำให้ล่าสุด เทศบาลเมืองแม่เหียะ ได้รับรางวัลต้นแบบท้องถิ่นดิจิทัล จากสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งความสำเร็จนี้ เกิดขึ้นได้เป็นผลการวิจัย ที่เป็นความร่วมมือระหว่างเทศบาลเมืองแม่เหียะ กับหน่วยบริหารจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ซึ่ง บพท. ได้เลือกแม่เหียะเป็นพื้นที่ศึกษา (Research Area) ในการพัฒนายกระดับท้องถิ่น

ธนวัฒน์ ยอดใจ นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองแม่เหียะ เล่าถึงที่มาการเป็น Smart City ของแม่เหียะว่า แม่เหียะ เป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ มีแหล่งท่องเที่ยวสถานที่สำคัญ ทั้งดอยคำ พืชสวนโลก ไนต์ซาฟารี ที่ตั้ง 6 คณะของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อุทยานวิทยาศาสตร์ และวัดโด่งดังที่สุด วัดพระธาตุดอยคำ 

เมื่อเมืองมีกระบวนการเปลี่ยนแปลงมาต่อเนื่อง จากเมืองเกษตรกรรม กลายมาเป็นเมืองเศรษฐกิจและท่องเที่ยว ทำให้เห็นปัญหาการบริการ ส่วนตัวเห็นมิติต่างๆ การพัฒนาให้เป็นเมืองคุณภาพ ซึ่งการจะทำให้เกิดกระบวนการเปลี่ยนเมืองได้ต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ทำให้เป็นที่มาของการเก็บข้อมูลเมือง แม้ที่ผ่านมาแต่ละหน่วยงานจะมีการสำรวจเก็บข้อมูล แต่มันสะเปะสะปะแยกกันทำ สำรวจเสร็จแล้วก็ทิ้งข้อมูลไป ซึ่งตนต้องการข้อมูลพวกนี้มาใช้ประโยชน์ นำมาวางแผนในการพัฒนาแม่เหียะ ไม่ว่าแผน 3 ปี หรือ 5 ปี เพราะไม่ว่าการทำถนน หรือให้นักธุรกิจมาลงทุน จำเป็นต้องมีข้อมูล ซึ่งขณะนี้เป็นการดำเนินตามแผนปี 2566-2570  โดยมีฐานข้อมูล 94 ชั้นที่จะนำมาใช้ประโยชน์

“ถ้าคุณมีที่ดินในแม่เหียะ ไม่ต้องบอกว่าทำอะไรกับที่ดินอยู่ เพราะเราสำรวจมาแล้วโดยใช้โดรนว่ามีการใช้ประโยชน์อะไรบ้างในที่ดินตรงนั้น ซึ่งตรงนี้ จะช่วยเรื่องเก็บภาษีท้องถิ่นได้มาก ปี 63 ภาษีเราหายไปกว่า 30 ล้าน เพราะโควิดทำให้เศรษฐกิจไม่ดี รัฐบาลจึงมีนโยบายเก็บภาษีท้องถิ่นแค่ 10% ปี 64 แจ้งมาอีกเก็บภาษีเหลือ 10% เราก็หายไปอีก 15 ล้าน หนักใจมาก ปีนี้ให้เก็บ 100% และเราเก็บได้เพิ่มขึ้นเพราะเรามีฐานข้อมูลที่ชัดเจนมาเป็นตัวช่วย”

นายกฯ แม่เหียะ ยังบอกอีกว่า ระบบให้บริการประชาชนแบบเก่าดั้งเดิมของท้องถิ่นต่าง ๆ คือ ถ้าใครอยากแจ้งเรื่องไฟดับเสาไฟฟ้าสักต้น หรือซ่อมท่อ ต้องเดินทางมาที่เทศบาล หรือการจ่ายค่าเก็บขยะรายเดือน ๆ ละ 40 บาท อาจต้องขับรถมา 4-5 กม. เพื่อมาจ่ายที่เทศบาล แต่ระบบใหม่ที่เป็นสมาร์ตซิตี้ ประชาชนไม่ต้องเดินทางมาเทศบาล สามารถแจ้งร้องทุกข์ หรือปัญหาได้ทางแพลตฟอร์ม ทางออนไลน์ ที่มีอยู่ 70 ภารกิจ ซึ่งทำผ่านโทรศัพท์มือถือ ข้อมูลจะวิ่งไปเข้าระบบหาผู้ปฎิบัติงานทันที หากมีการแก้ไขปัญหาล่าช้า เกิน 7 วันระบบก็จะฟ้องเองว่า ปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข แตกต่างจากเมื่อก่อนที่ไม่รู้ว่าเรื่องที่ต้องได้รับการแก้ไขหรือยัง ส่วนการจ่ายค่าเก็บขยะก็จ่ายผ่านทางแอปพลิเคชันแพลตฟอร์มของเทศบาลได้เช่นกัน

การบริการทางออนไลน์ที่ถือว่าเป็นไฮไลต์สุดล้ำนั้น ธนวัฒน์บอกว่า คือ การขออนุญาตปลูกบ้านชั้นเดียวขนาดพื้นที่ใช้สอย 150 ตารางเมตร ซึ่งแต่ก่อนกว่าจะได้รับอนุญาต ประชาชนที่ขอต้องมาที่เทศบาลไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง ถึงจะดำเนินการสร้างบ้านได้ ซึ่งตามกฎหมาย ระบุว่าการขอจะต้องใช้เวลาดำเนินการไม่น้อยกว่า  45 ว้น แต่เมื่อตนได้ดูกฎหมายเรื่องการอำนวยการความสะดวก ซึ่งในพ.ร.บ.ฉบับนี้ เขียนเปิดทางให้ใช้ลายเซ็นต์อิเล็กทรอนิกส์ได้มานานแล้ว แต่กลับไม่มีหน่วยงานไหนนำไปปฎิบัติ เพราะระบบราชการไทยแต่ก่อนต้องเป็นลายลักษณ์อักษร เช่น การประชุมออนไลน์ ผ่านระบบซูม ไม่มีผลทางกฎหมาย เบิกค่าใช้จ่ายไม่ได้  แต่เพิ่งอนุมัติเห็นชอบเมื่อไม่นานมานี้ เพราะสถานการณ์โควิด สำหรับการใช้ลายเซ็นต์ออนไลน์ ทางแม่เหียะได้ขอใช้เมื่อปี 2560 เขียนโปรแกรมขึ้นมา 1 โปรแกรม พร้อมกับใช้โดรนในการสำรวจ บ้านที่ขอก่อสร้าง

“การใช้ระบบออนไลน์ ทำให้ลดเวลาการขออนุญาตสร้างบ้านขนาด 150 ตารางเมตร จาก 45 วัน ลงเหลือ 7 วันในช่วงแรก ๆ และผมลดมาเหลือ 2 วัน และลดอีกเหลือ 24 ชั่วโมง และจนขณะนี้ผมให้ลดลงเหลือภายใน 2 ชั่วโมง ที่ทำได้ เพราะการเซ็นอนุมัติเราเซ็นผ่านออนไลน์ได้ ไม่ว่าผมหรือเจ้าหน้าที่จะไปอยู่ที่ไหนก็อนุมัติได้ ระบบมันจะมีการรีพอร์ตข้อมูล และระบบมีความปลอดภัย คนจะเข้าระบบจะต้องมีรหัส ตั้งแต่คนคีย์ระบบ นายช่าง นายตรวจ รองปลัด ปลัด และนายกฯ องค์กรท้องถิ่น แม้แต่กรุงเทพมหานคร ก็ยังไม่มีการทำกระบวนการนี้ แต่ที่เทศบาลแม่เหียะ เป็นเจ้าแรกของประเทศ" นายกฯ แม่เหียะบอกด้วยความภูมิใจ

แต่การอนุมัติคำขอสร้างบ้านในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ยังจำกัดอยู่ที่บ้านขนาดเล็ก 150 ตารางเมตร ซึ่งนายกเมืองแม่เหียะ บอกว่า มีแนวคิดพร้อมจะขยับการให้บริการ การขออนุมัติสร้างที่อยู่อาศัยลักษณะอื่น เช่น หอพักขนาดไม่เกิน 10-20 ห้อง ผ่านทางระบบออนไลน์ได้ โดยใช้ฐานข้อมูลที่ทางเทศบาลมีอยู่มาเป็นประโยชน์การพิจารณา แต่ทั้งนี้ต้องดูกฎหมายอื่นๆ ประกอบการก้าวเดินให้บริการด้วย

“ในการทำงาน เราพูดถึงไทยแลนด์ 4.00 มากี่สมัยมันบรรลุหรือยัง ในการใช้เทคโนโลยีและแพลตฟอร์มต่างๆ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลง แม่เหียะเราเป็นต้นแบบการใช้ข้อมูลและเทคโนโลยี ตอนนี้ สันนิบาตเทศบาลองค์กรปกครองท้องถิ่นเห็นเราแล้ว เอาด้วย นายกฯ เมืองแสนสุข ยะลา ก็สนใจจะทำ เราเป็นเจ้าแรกในประเทศเรื่องอนุมัติสร้างบ้านออนไลน์ และกิจการสาธารณสุข การขอเปิดกิจการร้านอาหาร แจ้งเรื่องมาทางออนไลน์ กิจการสุขภาพ พ.ร.บ.สาธารณสุข ทำร้านอาหาร ก็อยู่ในข่ายให้บริการที่สะดวกรวดเร็วขึ้น”

นายกฯ แม่เหียะ บอกอีกว่ายังใช้ข้อมูลที่เก็บมาใช้ประโยชน์ไม่เต็มสูบ อนาคตเขามีแนวความคิด ดึงฐานข้อมูลมาเป็นฐานเมือง ทำแอปพลิเคชัน ที่เรียกว่าเป็น 'ซูเปอร์แอป' ในชื่อว่า 'มีดีแม่เหียะ' โดยตนได้คุยกับบพท. แล้วในเรื่องนี้ สำหรับ แอพฯ 'มีดีแม่เหียะ' จะให้บริการข้อมูลทุกอย่างของเมือง กิน เที่ยว บริการ เศรษฐกิจลงทุน เช่น อยากรู้ว่าร้านกาแฟในแม่เหียะมีตรงไหน หรือร้านไหนมีโปรโมชั่น พอจิ้มไปข้อมูลก็จะขึ้นมา หรือดูเรื่องการใช้ประโยชน์ที่ดินก็จะดูได้ทันที ซึ่งข้อมูลพวกนี้ จะเป็นฐานในการตัดสินใจลงทุนของนักธุรกิจต่างๆ

“เราเป็นเมืองเล็กๆ ต้นแบบ อยากให้ท้องถิ่นกว่า 7,000 แห่งทำเหมือนเรา อนาคตแม่เหียะ ผมอยากเห็นว่าแม่เหียะ เป็นเมืองที่สมาร์ตยิ่งกว่าเดิม อัจฉริยะยิ่งกว่าเดิม เห็นการเปลี่ยนแปลงยิ่งกว่าเดิม “

เมื่อถามว่า กระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้ ทำให้เป็นจริงได้เกิดจากอะไร นายกฯ แม่เหียะ บอกว่า หัวใจหลักคือ เรื่องของคน ไม่ว่าคุณจะมีเทคโนโลยีแบบไหน จะมีราคาสูงๆ มากแค่ไหน แต่ถ้าคุณไม่สามารถเอาคนมาใช้ระบบได้ ก็คงไม่สำเร็จ ซึ่งนั่นคือคนในองค์กรต้องรวมกันเป็นหนึ่งก่อนแล้วเปิดวิสัยทัศน์นำ สู่กระบวนการเปลี่ยน ที่สำคัญทั้งผู้นำและประชาชนเอาด้วย
 

ต่อยอดสู่การเติบโต!! EA ปูทางขยายธุรกิจรถโดยสารไฟฟ้าเต็มตัว หลังเข้าซื้อหุ้น BYD 23% มูลค่ากว่า 6.99 พันล้าน

EA เดินหน้าต่อยอดธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดทุ่ม 6,997 ล้านบาท ส่งบ.ย่อยเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุน BYD สัดส่วน 23% เตรียมขยายธุรกิจรถโดยสารไฟฟ้า ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจที่จะเป็น New S-Curve ในอนาคต

นับเป็นอีกหนึ่งก้าวย่างที่สำคัญทางธุรกิจของบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ที่ยังคงเดินหน้าต่อยอดสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เมื่อนายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 65 อนุมัติให้ บริษัท อีเอ โมบิลิตี โฮลดิง จำกัด (EMH) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยเข้าลงทุนใน บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BYD, บริษัท เอซ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (ACE) และบริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด (TSB)

ทั้งนี้ EMH จะเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่บุคคลในวงจำกัด (PP) ของ BYD จำนวน 990,800,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 5 บาท หรือคิดเป็น 23.63% ของทุนชำระแล้วภายหลังการเพิ่มทุน ในราคาหุ้นละ 7.062 บาท คิดเป็นมูลค่าซื้อหุ้นเพิ่มทุน 6,997,029,600 บาท
 
สำหรับ BYD นั้น เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกอบธุรกิจหลักเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์จากกระทรวงการคลัง, คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ขณะที่ ACE ประกอบธุรกิจหลักในการเข้าถือหุ้นในบริษัทจำกัด และ/หรือ บริษัทมหาชน จำกัด โดยมี BYD ถือหุ้น ในอัตรา 49% และ TSB ประกอบธุรกิจหลักในการให้บริการรถโดยสารไฟฟ้าประจำทางในเขตกรุงเทพและปริมณฑล โดยมี ACE เป็นผู้ถือหุ้นในอัตรา 100%

นายอมร ระบุว่า การเข้าลงทุนใน BYD จะทำให้บริษัทได้มาซึ่งพันธมิตรทางธุรกิจ ซึ่งจะก่อให้เกิดโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจของบริษัทฯ เนื่องจากการลงทุนในครั้งนี้ จะทำให้บริษัทมีโอกาสในการสร้างยอดขายรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น ส่วนแหล่งเงินทุนที่ใช้มาจากกระแสเงินสดของบริษัทและเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน
 

เจาะสนามเลือกตั้งเมืองชาละวันดุเดือดแน่ ส.ส.นราพัฒน์ รอง หน.ปชป.พูดย้ำตั้งใจลงส.ส. พิจิตร เขต1

สนามการเลือกตั้ง ส.ส.พิจิตร ในศึกครั้งต่อไปคอการเมืองต้องจับจ้องห้ามกระพริบตาส่อแววแข่งขันดุเดือดแน่ เมื่อ ส.ส.นราพัฒน์ แก้วทอง รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ภาคเหนือลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ นายไพฑรูย์ แก้ว อดีต รมต.แรงงานให้สัมภาษณ์พูดย้ำอาจลงสมัคร ส.ส.พิจิตร เขต1 ไม่หวั่นแม้ต้องชนกับผู้สมัครพรรคภูมิใจไทยจากค่ายบ้านสีเขียวของเจ้าสัวประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์

วันที่ 14 กรกฎาคม 2565 ส.ส.นราพัฒน์ แก้วทอง รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์, นายไพฑรูย์ แก้วทอง ที่ปรึกษาอาวุโส ปชป. อดีต รมต.แรงงาน พร้อมด้วยญาติธรรมรวมถึงคนสนิทใกล้ชิดและผู้นำชุมชนในเขตพื้นที่อำเภอตะพานหินได้ร่วมจัดกิจกรรมถวายเทียนเข้าพรรษาให้กับวัดต่างๆ ในเขตพื้นที่อำเภอตะพานหิน ซึ่งเป็นเขตเลือก ส.ส.พิจิตร เขต 2 โดยงานนี้จัดแบบเรียบง่ายมีผู้ร่วมกิจกรรมประมาณ 100 คน 

จากนั้น นายนราพัฒน์ แก้วทอง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร และเป็นรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ภาคเหนือได้ให้สัมภาษณ์ตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงความพร้อมของ ปชป.ภาคเหนือ ที่นายนราพัฒน์ เป็นผู้รับผิดชอบดูแลจัดทัพจัดทีมหาตัวผู้สมัครลง ส.ส.เขต ในจังหวัดต่างๆ ว่ามีความพร้อมเพียงใด ซึ่ง นายนราพัฒน์ แก้วทอง รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ภาคเหนือ ได้กล่าวว่า มีความพร้อมในทุกเขตของ 16 จังหวัดภาคเหนือแล้วประมาณ 80-90% ซึ่งแต่เดิมมี 62 เขต แต่มีการกำหนดเขตขึ้นใหม่ ซึ่งจะต้องมี 71 เขต นั้นได้วางตัวผู้สมัครไว้แล้วซึ่งก็ต้องดูในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการรับสมัคร ซึ่งก็อาจต้องมีการปรับเพื่อความเหมาะสมหรือไม่นั้นก็ต้องขอรอดู กกต.ชี้ชัดเรื่องเขตและพื้นที่ในแต่ละเขตอีกครั้ง

ผู้ว่าฯ ชัชชาติ เล็งหาที่ฉาย 'คู่กรรม' ใหม่ หลัง รฟท. แจงยังไม่ได้รับเรื่องจาก กทม.

จากกรณีที่ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มีคำชี้แจงกรณีที่กรุงเทพมหานคร เสนอข่าวเตรียมจัดกิจกรรม 'กรุงเทพกลางแปลง' เรื่องคู่กรรม ที่สถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) ในวันที่ 17 กรกฎาคม 2565 เวลา 16.30 น. นั้น

ล่าสุดวันนี้ (14 ก.ค.) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวถึงกรณี รฟท. ไม่อนุญาตให้ฉายหนังกลางแปลงที่หัวลำโพง ว่า รับทราบแล้วว่า รฟท. ไม่อนุญาตให้ กทม. จัดฉาย 'กรุงเทพกลางแปลง' ที่สถานีรถไฟหัวลำโพง ในวันที่ 17 กรกฎาคมนี้ ตามที่ได้มีโปรแกรมฉายเรื่อง 'คู่กรรม' ประชาสัมพันธ์แจ้งประชาชนไปแล้ว

"รฟท. ไม่ให้จัดก็ไม่เป็นไร คงพิจารณาเรื่องความเหมาะสมแล้ว ไม่เป็นไร กทม. จะหาสถานที่อื่นจัดงานต่อไป และเรื่องนี้ ไม่อยากให้โยงไปเป็นประเด็นการเมืองข้ามหน่วยงานใด ๆ ไม่เป็นไรจริง ๆ เราหาสถานที่อื่นจัดแทนได้ " ผู้ว่าฯ ชัชชาติกล่าว

15 กรกฎาคม พ.ศ. 2410 ประเทศไทย สูญเสียดินแดนครั้งที่ 7 ยกเขมรและเกาะ 6 เกาะ ให้ฝรั่งเศส

เมื่อ 155 ปี ประเทศไทยสูญเสียดินแดนเขมรและเกาะ 6 เกาะ ให้ฝรั่งเศส ในยุคล่าอาณานิคม อีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ที่คนไทยทุกคนต้องศึกษาและจดจำ

วันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2410 เป็นอีกวันที่คนไทยทั้งชาติควรศึกษาและจดจำไว้เป็นบทเรียน กับเหตุการณ์หน้าประวัติศาสตร์ที่อันสำคัญในการรักษาอำนาจอธิปไตย ให้รอดพ้นจากการตกเป็นเมืองขึ้นในยุคล่าอาณานิคมจากชาติตะวันตก กับความเจ็บปวดที่แลกมากับการต้องสูญเสียดินแดน เขมรและเกาะ 6 เกาะ เป็นพื้นที่ 124,000 ตร.กม. ให้แก่ฝรั่งเศส ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นตรงกับสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ รัชกาลที่ 4 เป็นการเสียดินแดนครั้งที่ 7 จากทั้งหมด 14 ครั้ง นับตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเมื่อ พ.ศ.2325 จวบจนปัจจุบัน

สำหรับการเสียดินแดนเขมรและเกาะ 6 เกาะ นั้น สืบเนื่องจากการทำสงครามระหว่างไทยกับญวนหลายปี เพื่อแย่งชิงเขมรส่วนนอก หรือที่เรียกว่า "อานามสยามยุทธ" ซึ่งภายหลังได้มีการตกลงกันว่า จะให้เขมรเป็นประเทศราชของสยามต่อไป แต่ก็ต้องส่งบรรณาการไปให้ญวนเสมือนประเทศราชของญวนด้วย แต่ไทยมีสิทธิ์ในการสถาปนากษัตริย์เขมรดั่งเดิม 

โดยในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3  ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาให้ นักองด้วง เป็นกษัตริย์แห่งเขมร สมเด็จพระหริรักษ์รามาธิบดี หรือ สมเด็จพระหริรักษ์รามสุริยะมหาอิศวรอดิภาพ แต่ในปี 2397 เขมรได้แอบส่งสารลับไปยังฝรั่งเศส ขอให้ฝรั่งเศสช่วยกู้ดินแดนที่เสียให้ญวณกลับมาอยู่กับเขมรอีกครั้ง และมาช่วยคุ้มครองเขมรให้พ้นจากทั้งอำนาจของสยามและญวน 

ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ รัชการที่ 4 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ นักองราชาวดี หรือ สมเด็จพระนโรดมพรหมบริรักษ์ ขึ้นเป็นกษัตริย์เขมรองค์ต่อจาก สมเด็จพระหริรักษ์รามาธิบดี ที่เสด็จสวรรคต โดยในช่วงก่อนปี 2406 นั้น ฝรั่งเศสได้เข้ามามีอำนาจในดินแดนแถบอินโดจีนหรือญวนมากขึ้น และได้เข้ามาบีบบังคับโดยใช้กำลัง ทั้งทางกองเรือและทางการทูต


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top