Monday, 23 June 2025
ค้นหา พบ 48981 ที่เกี่ยวข้อง

‘ครูเป็ด’ ให้ข้อคิด ‘ฟืนเปียก’ จุดไม่ติดก็ต้องทิ้ง แล้วเก็บไม้ขีดจุดฟืนที่พร้อมลุกโชนเป็นไฟดีกว่า

กลายเป็นอีกกระแสบนโลกโซเชียล หลังจากคุณครูท่านหนึ่งได้ออกมาตัดพ้อถึงความเป็นครูที่นักเรียนไม่แม้แต่เคารพ พร้อมเผยภาพให้เห็นข้อความหยาบคายจากเด็กนักเรียนที่ไม่พอใจ เดินตรงไปเขียนกระดานดำว่า ‘ควาย’ หลังถูกครูผู้สอนยึดโทรศัพท์มือถือกลางห้องขณะเรียน พร้อมเนื้อหาระบุว่า…

เมื่อเข้าห้องสอน บอกให้เก็บโทรศัพท์ เริ่มเข้าเนื้อหา ก็บอกให้เก็บโทรศัพท์ ทบทวนเนื้อหา ก็บอกให้เก็บโทรศัพท์ รอบที่ 3 ฉันเดินเข้าไปยึดโทรศัพท์ และบอกให้มาสอบเพื่อแลกเอาโทรศัพท์คืน (คะแนนไม่มีสักช่อง) นักเรียนลุกขึ้นยืนและเดินผ่านหน้าดิฉัน เดินผ่านดิฉันขณะสอนอยู่ เพื่อนนั่งฟังอยู่ และเดินไปทางกระดานดำ หยิบชอล์กขึ้นมาเขียน แล้วเดินกลับไป

ตอนส่งงานเอางานที่จดไม่ครบ ไม่เสร็จมาส่ง ดิฉันบอกว่า งานไม่ครบนะ อุตส่าห์เอาสมุดเพื่อนที่ครบมาเปิดให้ดู แต่นักเรียนไม่ดู เอื้อมมือมาหยิบโทรศัพท์และเดินสะพายกระเป๋าออกไป ม.1 ขนาดนี้ ต่อไปขนาดไหน #ครูไม่มีสิทธิดุเด็ก #ครูไม่มีสิทธิตีเด็ก #ครูไม่มีสิทธิแสดงกริยาท่าทางไม่เหมาะสมหรือรุนแรงกับเด็ก #ครูต้องเป็นผู้มีสติละวางอารมณ์ให้ได้ #ครูต้องไม่พูดจารุนแรงกับเด็ก #ครูต้องมีจรรยาบรรณ #ใช่ค่ะครูต้องเป็นผู้รู้ผู้เบิกบาน #แต่ฉันก็เป็นคนผู้หนึ่งที่มีความโลภโกรธหลงมีจิตใจเช่นกัน” 

นับตั้งแต่เรื่องราวดังกล่าวถูกแชร์ก็มีคนแห่เข้ามาให้กำลังใจคุณครูกันอย่างล้นหลาม หนึ่งในนั้น คือ นายมนต์ชีพ ศิวะสินางกูร หรือ ‘ครูเป็ด’ สมาชิกพรรคสร้างอนาคตไทย ที่ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในฐานะที่เป็นครูเหมือนกัน โดยระบุว่า... 

'ไทยสร้างไทย' วอนรัฐเห็นใจผู้ค้าหวย ‘รายย่อย-เปราะบาง’ ถูกตัดสิทธิไม่เป็นธรรม

กลุ่มผู้ค้าสลากรายย่อย ร้อง ‘ไทยสร้างไทย’ โวยรัฐจ้องจัดการแต่ผู้ค้ารายย่อย ปัดต้นเหตุทำหวยแพง รองโฆษกย้ำไม่คัดค้านสลากดิจิทัล อ้อนขอความเห็นใจกลุ่มเปราะบางด้วย

(1 ก.ค.65) คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย น.ส.เกณิกา ตาปสนันท์ รองโฆษกพรรคไทยสร้างไทย รับหนังสือร้องเรียนจากกลุ่มผู้ค้าสลากเสรีรากหญ้าทั่วประเทศ นำโดยนายสำอาง ซ่อนกลิ่น นายสุมิตร เลอเกียรติวรกุล ซึ่งนำตัวแทนยื่นหนังสือถึงปัญหาความเดือดร้อนจากการเปลี่ยนนโยบายขายสลากกินแบ่งรัฐบาล

ตัวแทนผู้ค้าสลาก เปิดเผยถึงปัญหาในการค้าสลาก ซึ่งคนตัวเล็กถูกรังแกจากมาตรการต่าง ๆ ของทางสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยอ้างว่าผู้ค้าสลากขายเกินราคาไม่ทำตามกฎระเบียบ แม้ผู้ค้าจะพยายามดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ แต่คนตัวเล็กก็ยังถูกตัดสิทธิ์ ทั้งจากสถานการณ์โควิด และระเบียบต่าง ๆ อยากถามไปยังกองสลากว่า เหตุใดจึงต้องตั้งธงในการมาตัดสิทธิ์ผู้ค้ารายย่อยที่มีสลากไปอยู่ในแพลตฟอร์มต่าง ๆ โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตมีสาเหตุมากมายทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ รวมถึงกลุ่มเปราะบางผู้สูงอายุผู้พิการทั้งหลายที่ถูกตัดสิทธิ์โดยไม่สนใจความเดือดร้อน

สิ่งที่กองสลากเคยรับปากโร้ดแมปดังกล่าวไว้กลับไม่ดำเนินการ ทำให้ผู้ค้าสลากรายย่อยถูกตัดสิทธิ์ประมาณ 5หมื่นราย หรือถ้าในครัวเรือนก็เกือบ 2 แสนคน จึงมาร้องเรียนกับพรรคไทยสร้างไทยให้ช่วยประสานงาน ดูแลกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้มีเจตนาในการกระทำความผิด ไม่มีการไต่สวนข้อเท็จจริง ขอให้ผู้มีอำนาจช่วยให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายด้วย สลากแพงเกินราคาไม่ได้มาจากผู้ค้ารายย่อย ซึ่งมีกำไรเพียงเดือนละ 4,000-5,000 บาท ที่จะมาเป็นผู้กำหนดราคา ซึ่งรัฐบาลก็ทราบถึงปัญหาและต้นตอที่จำเป็นต้องไปจัดการ แต่ที่ผ่านมากลับไม่เป็นเช่นนั้น ผู้มีอำนาจมาไล่กดดันกับผู้ค้าคนตัวเล็ก ซึ่งถือว่าไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง

๔ กรกฎาคม วันคล้ายวันประสูติ สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้าคณะผู้บริหารและพนักงาน สำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIME

4 กรกฎาคม วันคล้ายวันประสูติ สมเด็จเจ้าฟ้า ฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี

สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ประสูติเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ.2500 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต

ทรงเป็นพระราชธิดาพระองค์เล็กในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

ได้รับพระราชทานพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี

พระนาม จุฬาภรณ์ หมายถึง การอัญเชิญพระนาม "จุฬา" ในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มาเป็นคำต้นพระนามของพระองค์ เนื่องด้วยในวันประสูตินั้น เป็นวันมหาปีติของนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จฯ ไปพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา

ทรงเริ่มศึกษาระดับอนุบาลที่โรงเรียนจิตรลดา ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ทรงได้รับการปลูกฝังทางศิลปะ นาฏศิลป์และดนตรี จากพระอาจารย์ทั้งชาวไทยและต่างชาติ ทั้งยังทรงสนพระทัยวิชาคำนวณและวิทยาศาสตร์ ขณะเดียวกันโปรดศึกษาวิชาภาษาต่างประเทศ และวิชาศิลปะควบคู่กันไป โดยทรงเลือกเรียนสายวิทยาศาสตร์ ในระดับมัธยมปลาย เพื่อนำความรู้มาต่อยอดทำประโยชน์เพื่อความสุขของประชาชน

เมื่อสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลาย ทรงเข้าศึกษาระดับปริญญาตรีคณะวิทยาศาสตร์ สาขาอินทรีย์เคมี เกียรตินิยมอันดับ 1 จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทรงสอบได้ที่ 1 ในวิชาเคมีและชีววิทยา ทั้งยังทรงได้รับรางวัลเรียนดีจากมูลนิธิศาสตราจารย์ ดร.แถบ นีละนิธิ

พ.ศ.2528 ทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาดุษฎีบัณฑิต สาขาอินทรีย์เคมี มหาวิทยาลัยมหิดล ทั้งนี้ยังทรงสำเร็จการอบรมระดับหลังปริญญาเอก จากมหาวิทยาลัยอูล์ม สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี

พ.ศ.2550 ทรงสำเร็จการศึกษาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

พ.ศ.2557 ทรงสำเร็จการศึกษาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพสัตวแพทย์ (หลักสูตรนานาชาติ) จากคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อนำความรู้ไปช่วยเหลือสัตว์ต่างๆ

ทรงมีพระธิดา 2 พระองค์ คือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ และ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ

สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ ทรงอุทิศพระวรกายเพื่ออาณาประชาราษฎร์ให้มีความสุข อยู่ดีกินดี และร่วมพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศ ไม่ว่าจะในแขนงใด

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ ที่ 3 กรกฎาคม 2565 : หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

พ่อแม่นี่แหละ
เป็นอะไรทุกอย่างให้เรา
เป็นพระของเรา
เป็นพระพรหมของเรา
เป็นครูคนแรกของเรา
เป็นผู้ที่เราควรเคารพกราบไหว้
บูชาสักการะทุกค่ำเช้า

- หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ -

‘หม่อมปลื้ม’ ปลื้ม!! เดินหน้าโครงการเหมืองโปแตซ ยก ‘สุริยะ’ ตัวจริงพาฉลุย!! แนะอย่าแคร์เอ็นจีโอแขวะ

ถือเป็นความเคลื่อนไหวจากภาครัฐ โดยเฉพาะผลงานที่ถูกขับเคลื่อนโดยกระทรวงอุตสาหกรรม จนทำให้พิธีกรฝีปากกล้าอย่าง ‘หม่อมปลื้ม’ หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล ผู้ดำเนินรายการ ‘The Daily Dose’ ที่ออกมาเชียร์ให้รัฐบาลเดินหน้าสุดซอยกับโครงการเหมืองโปแตซ โดยหม่อมปลื้มได้ลงรายละเอียด ระบุว่า...

ข่าวดี!! ครม.อนุมัติ ‘เอเชีย แปซิฟิค’ บริษัทในเครืออิตาเลียนไทย เดินหน้าเหมืองโปแตซ อุดรฯ ลงทุน 3.6 หมื่นล้านบาท เตรียมให้ประทานบัตร กำลังการผลิตปีละ 2 ล้านตัน เพื่อลดการพึ่งพาปุ๋ยต่างประเทศเสียที

ทุกวันนี้ประเทศไทยนำเข้าปุ๋ยปีละ 4 ล้านตัน มูลค่า 60,000 ล้านบาท เป็นปุ๋ยโปแทชเซียมประมาณ700,000 ตัน คิดเป็น 9,000 ล้านบาทต่อปี ทั้ง ๆ ที่ประเทศไทยมีศักยภาพในการผลิตโปแตซเซียมสูงมาก ซึ่งคาดว่าไทยมีสำรองแร่โปแตชสูงสุดเป็นอันดับ 4 ของโลกอยู่ที่ 400,000 ล้านตัน รองจากแคนาดา, เบลารุส และเยอรมนี

สำหรับพื้นที่พบแร่โปแตชขนาดใหญ่ในไทยมี 2 แหล่ง คือ ‘แอ่งสกลนคร’ ประกอบด้วย จังหวัดสกลนคร, หนองคาย, อุดรธานี และ นครพนม

และ ‘แอ่งโคราช ประกอบด้วย จังหวัดขอนแก่น, กาฬสินธุ์, มหาสารคาม, ร้อยเอ็ด, ยโสธร, อุบลราชธานี, ศรีสะเกษ, นครราชสีมา และ ชัยภูมิ

แน่นอนว่าตอนนี้ ‘กระทรวงอุตสาหกรรม’ ได้อนุมัติประทานบัตรให้กับเอกชน 2 ราย คือ บริษัท ไทยคาลิจำกัด จ.นครราชสีมา และ บริษัท อาเซียนโปแตชชัยภูมิ จำกัด (มหาชน) จ.ชัยภูมิ เพื่อเข้ามาดำเนินโครงการเหมืองโปแตซ ที่จะนำไปสู่การผลิตปุ๋ยใช้เองในประเทศได้แล้ว

โดยล่าสุดกระทรวงอุตสาหกรรมเสนอโครงการเหมืองแร่โปแตช จ.อุดรธานี ให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเมื่อวันที่ (28 มิ.ย.) ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นโครงการของบริษัท เอเซีย แปซิฟิค โปแตชคอร์ปอเรชั่น จำกัด (เอพีพีซี) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์จำกัด (มหาชน) หรือ ไอทีดี ซึ่งเข้าไปซื้อกิจการบริษัทเอเซีย แปซิฟิค โปแตช คอร์ปอเรชั่นจำกัด เมื่อปี 2549

สำหรับเรื่องของการเคาะโครงการเหมืองโปแตช ‘อุดร’ นั้น นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ครม.เห็นชอบโครงการเหมืองแร่โปแตช จ.อุดรธานี ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยขั้นตอนจากนี้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ จะไปเร่งออกประทานบัตร เพื่อเป็นประโยชน์ในการแก้ปัญหาการขาดแคลนปุ๋ยช่วยเหลือเกษตรกรต่อไป

ถึงตรงนี้ ผมขอปรบมือให้ครับ!! โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับรัฐมนตรีอย่างคุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และ คุณสมศักดิ์ เทพสุทิน

เขา 2 คนเป็นคนที่อยู่เงียบๆ แต่ทำงานจริง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการอนุมัติโครงการสำคัญต่อประเทศ อย่างโครงการเหมืองโปแตซนี้ ที่ได้รับการอนุมัติจากคุณสุริยะ มันสำคัญมากๆ

(กลับมาที่เนื้อหาต่อ) ทั้งนี้ในส่วนของโครงการเหมืองแร่โปแตช จังหวัดอุดรธานี ถือเป็นเหมืองแร่ขนาดใหญ่โดยเหมืองดังกล่าว มีแผนการผลิต 2 ล้านตันต่อปี โดยประเมินว่า จะมีปริมาณการผลิตตลอดอายุโครงการ 25 ปี อยู่ที่ 33.67 ล้านตัน เบื้องต้นมีมูลค่าการลงทุนของโครงการประมาณ 36,000 ล้านบาท โดยที่ผ่านมา บริษัท เอเซีย แปซิฟิค โปแตช คอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้ยื่นขอประทานบัตรไปแล้ว

ที่ผ่านมากระทรวงอุตสาหกรรมได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน และส่วนราชการตามกฎหมายถึงโครงการดังกล่าวแล้ว รวมทั้งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยังได้พิจารณารายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมแล้วด้วย ซึ่งก็พบว่าเป็นไปตามข้อกำหนด ดังนั้นจึงได้เสนอเข้ามาใน ครม. เพื่อพิจารณาเห็นชอบ

หลังจากโครงการเหมืองแร่โปแตช จังหวัดอุดรธานี ได้ผ่านการเห็นชอบจาก ครม.แล้ว ขั้นตอนต่อไปจะไปเร่งออกประทานบัตร ซึ่งภาคเอกชนก็อยากทำไห้เร็ว คาดว่า อย่างเร็วที่สุดภายใน 6 เดือน หรือ 1 ปีก็คงเริ่มต้นดำเนินการได้ โดยจะค่อยๆ เริ่มทำไป ซึ่งเหมืองแร่แห่งนี้มีปริมาณการผลิตอยู่ที่ 2 ล้านตันต่อปี

ส่วนอีก 2 บริษัทที่ได้รับประทานบัตรทำเหมืองแล้ว คือ บริษัท เหมืองแร่โปแตชอาเซียน จำกัด (มหาชน) จังหวัดชัยภูมิ อยู่ระหว่างให้กระทรวงการคลังดำเนินการเริ่มการเพิ่มทุน ขณะที่บริษัท ไทยคาลิ จำกัด จังหวัดนครราชสีมา อยู่ระหว่างการขุดอุโมงค์เพื่อเริ่มทำเหมืองตามขั้นตอน แต่ยังไม่ได้เปิดการทำเหมืองได้ โดยในส่วนของกำลังการผลิตเหมืองโพแทชในประเทศไทยทั้งหมด หากสามารถเปิดเหมืองทั้ง 3 แห่งได้นั้น จะอยู่ที่ 3.2 ล้านตันต่อปีเลยทีเดียว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top