Saturday, 28 June 2025
ค้นหา พบ 49068 ที่เกี่ยวข้อง

'สันติ' เตือน ระวังถูกทวงคืนปตท.อีกรอบ

'สันติ' แนะรัฐบาลอย่าอ้าง "ต้องปล่อยปตท. เพราะอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ กระทรวงการคลังคือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ บ.พลังงาน"

นายสันติ กีระนันทน์ รองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย และอดีตรองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้แสดงความคิดเห็นต่อเนื่องจากการแถลงข่าวกรณีวิกฤตพลังงานที่พรรคสร้างอนาคตไทย เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. ที่ผ่านมาว่า 

ในช่วงที่มีวิกฤติราคาพลังงานเกิดขึ้นนั้น ปตท. ซึ่งเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในอุตสาหกรรมพลังงานและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ก็จะตกเป็นจำเลยของสังคมทุกครั้ง และทุกครั้งก็จะมีขบวนการ "ทวงคืน ปตท." เกิดขึ้น ในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ผมเชื่อว่า อีกไม่ช้าไม่นาน ชนวนเหตุของราคาพลังงานแพง ซึ่งเป็นต้นทางของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงที่จะตามมานั้น มีโอกาสไม่น้อยที่จะนำไปสู่การเรียกร้องให้มีการ "ทวงคืน ปตท." ออกมาจากตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกในไม่ช้านี้

เมื่อวานนี้ 17 มิถุนายน 2565 ผมได้แสดงทัศนะไปแล้วว่า ในโรงกลั่น 6 โรง ไล่ลำดับความใหญ่โตของขนาดสินทรัพย์ คือ PTTGC, TOP, BCP, IRPC, ESSO, และ SPRC ซึ่ง 2 โรงหลังนั้น (ESSO และ SPRC) มีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ต่างชาติ คือ ExxonMobil และ Chevron ในขณะที่ PTTGC, TOP, และ IRPC มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ คือ ปตท. ซึ่งถือหุ้นไม่น้อยกว่า 45% และ BCP นั้น มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่เป็นคนไทย ได้แก่ สำนักงานประกันสังคม (14.4%) กองทุนรวมวายุภักษ์ (19.84%) กระทรวงการคลัง (4.76%) รวมแล้วคือ 39% 

และสำหรับ ปตท. ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของโรงกลั่นหลัก ก็มีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น 51.1%

จะเห็นได้ว่า ตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงของไทยนั้น ยังอยู่ในการควบคุมของรัฐ (โดยกระทรวงการคลัง) ด้วยการเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ แม้บริษัทเหล่านั้นจะเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

มักจะมีข้ออ้างว่า เมื่อเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว ผู้ถือหุ้น แม้จะเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ตามอำเภอใจ ซึ่งก็เป็นข้ออ้างที่ฟังดูดี แต่เมื่อพิจารณาโครงสร้างการถือหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว จะพบว่า เกือบจะไม่มีบริษัทจดทะเบียนใดเลย ที่ไม่มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และโดยสภาพความเป็นจริงอีกเช่นกัน ผู้ถือหุ้นรายใหญ่เหล่านั้น ก็เป็นเจ้าของเดิมและเป็นผู้กำหนดนโยบายหลักในการดำเนินธุรกิจของบริษัทจดทะเบียนเหล่านั้น นโยบายหลักใด ๆ ที่อาจจะมีผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นรายย่อยอย่างไม่เป็นธรรม ก็มีแนวปฏิบัติให้ไปขออนุมัติในที่ประชุมผู้ถือหุ้นให้เรียบร้อยก่อนที่จะดำเนินการตามนโยบายนั้น ... นั่นก็คือกระบวนการเพื่อสร้างความโปร่งใส ความยุติธรรม และคำนึงถึงการพัฒนาในระยะยาวเพื่อความยั่งยืน (sustainable development - SD) 

ข้ออ้างที่บอกว่า เมื่อเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีกต่อไป จึงเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นครับ และหากเป็นเช่นนั้นจริง บริษัทจดทะเบียนทั่วไปในตลาดหลักทรัพย์ฯ คงจะมีผลประกอบการที่เละเทะ เพราะผู้ถือหุ้นรายใหญ่หรือเจ้าของเดิม ก็จะเป็นผู้ที่มีความชำนาญและรู้แจ้งในธุรกิจ มากกว่าผู้ถือหุ้นรายย่อยที่เข้าไปร่วมในการระดมทุน (ในตลาดแรก และเปลี่ยนมือได้ในตลาดรอง) 

ผมพยายามอธิบายเหตุผลอย่างยืดยาวนี้ เพื่อชี้ให้เห็นว่า ใครก็ตามที่พยายามยกข้ออ้างว่า โรงกลั่น 4 โรงใหญ่ของประเทศไทย เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว รัฐจึงเข้าไปยุ่งไม่ได้ เป็นเรื่องไม่จริงครับ

อย่าลืมว่า บริษัทจดทะเบียนนั้น ต้องไม่มุ่งหวังกำไรระยะสั้นที่ทำให้อนาคตของบริษัทสั้นลงด้วย เพราะการกอบโกยโดยไม่คำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสีย (stakeholder) อย่างรอบด้านนั้น ย่อมทำให้เกิดการรังเกียจบริษัทนั้นในที่สุด และก็คงจะเกิดกระบวนการต่าง ๆ ทางสังคม ตัวอย่างที่เกิดขึ้นกับบริษัทในกลุ่มพลังงานนี้ก็คือ ขบวนการ "ทวงคืน ปตท." ซึ่งก็อาจจะนับได้ว่าเป็นหนึ่งใน social sanction ที่แสดงให้เห็นว่า stakeholder สำคัญ คือประชาชนซึ่งเป็นลูกค้า ไม่พอใจต่อการได้ "กำไรเกินควร" จากการดำเนินงานที่ไม่โปร่งใส จึงเกิดข้อเรียกร้องเหล่านั้น 

ผมอยากจะเรียนว่า ผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน อย่าประเมินกระบวนการทางสังคมต่ำเกินไปนะครับ เพราะพลังของกระบวนการทางสังคม มีพลังมากกว่าที่ท่านคาดคิดได้ เรามีตัวอย่างมาให้เห็นหลายครั้งแล้วนะครับ ต่อความประมาท ต่อความถือดีในอำนาจรัฐที่ตนเองถือครองอยู่ ... ในที่สุด ก็อยู่ไม่ได้ครับ

ดังนั้น ไม่เป็นการแปลกครับที่รัฐจะใช้โอกาสนี้ "ดูแลโรงกลั่นของรัฐ" ให้มี "ความรับผิดชอบต่อสังคม" ด้วยวิธีการที่โปร่งใส เป็นธรรม ยอมรับได้ และตอบสนองต่อ stakeholder อย่างรอบด้าน

หากท่านไม่มั่นใจว่า ท่านจะกำหนดนโยบาย (เช่น ค่าการกลั่น) ผิดไปจากความต้องการของผู้ถือหุ้น ท่านก็สามารถจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น เพื่อขออนุมัตินโยบายก็ได้ครับ

'สร้างอนาคตไทย' ประกาศยุทธศาสตร์ "ปรับ-เติม-เพิ่ม-ลด" ช่วยชาวอีสาน ปลอดหนี้

พรรคสร้างอนาคตไทยลงพื้นที่อีสาน ชูยุทธศาสตร์แก้หนี้สร้างรายได้อย่างเป็นรูปธรรม อุตตม ชี้ปรับโครงสร้างหนี้ – เติมทุน – เพิ่มแหล่งรายได้ - ลดต้นทุน ทางออกวิกฤตปากท้องคนไทย ด้านสนธิรัตน์ ปลุกชาวอีสานร่วมเครือข่าย “พี่น้องสร้างอนาคตไทย” ต่อสู้กับความยากจน ยกระดับเศรษฐกิจฐานราก  

วันนี้ (18 มิ.ย.) พรรคสร้างคนาคตไทยนำโดย นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค นาย สุพล ฟองงาม ประธานภาคอีสาน นายวิเชียร ชวลิต รองหัวหน้าพรรค นายนริศ เชยกลิ่น โฆษกพรรค นายวัชระ กรรณิการ์ รองเลขาธิการพรรค นายบุญส่ง ชเลธร รองเลขาธิการพรรค และนายสุทธิชัย จรูญเนตร รองประธานภาคอีสาน ได้เดินทางไปที่ตลาดเมืองทองเจริญศรี อ.เมือง จ.อุดรธานี เพื่อเปิดศูนย์ประสานงานพรรค และเปิดตัวผู้แสดงเจตจำนงเป็นสมัคร ส.ส.ในนามพรรคพลังสร้างอนาคตไทย จำนวน 3 เขต ได้แก่ เขต 1 คือ นายโกเมนทร์ ทีฆธนานนท์ เขต 2 คือ นายชัยฤทธิ์ เขาวงศ์ทอง และเขต 6 คือ นายมนตรี พึ่มชัย พร้อมกับการพบปะกับประชาชนทั้ง 3 เขต รวมกว่า 1,200 คน

นายอุตตม กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ได้รับเสียงสะท้อนว่า ชาวอีสานกำลังเผชิญกับ ปัญหาหนี้สิน รายได้ตกต่ำ ข้าวของแพง ต้นทุนการผลิตสูง ซึ่งเป็นเรื่องที่ประชาชนคนไทยทั่วประเทศกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ พรรคสร้างอนาคตไทยจึงขอประกาศยุทธศาสตร์ที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าว ภายใต้แนวคิด “ปรับ-เติม-เพิ่ม-ลด” เพื่อแก้ไขปัญหานี้ กล่าวคือวันนี้คนไทยทั้งเกษตรกรและผู้ประกอบการ ต้องเผชิญกับปัญหาหนี้สินสะสมมายาวนาน โดยเฉพาะช่วงสถานการณ์โควิด ดังนั้นสิ่งแรกที่ต้องทำคือ ปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลง จากนั้นต้องเติมเงินทุนเพื่อให้นำไปดำเนินกิจการต่อ ขณะเดียวกันก็ต้อง เพิ่มแหล่งรายได้ให้ประชาชนจากกิจกรรมที่ทำอยู่เดิมก่อนหน้านี้ และสุดท้ายต้อง ลดต้นทุนการผลิตเพื่อสร้างผลกำไรให้มากยิ่งขึ้น

“หลายสิบปีที่ผ่านมาหนี้สินของเกษตรกรไม่เคยถูกแก้ไขอย่างเบ็ดเสร็จ การพักหนี้แค่เพียงปีสองปีแต่ดอกเบี้ยเดินอยู่ไม่ได้ช่วยอะไร หากจะทำให้สำเร็จและเป็นรูปธรรม จะต้องมีการปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ ยืดหนี้ออกไปนานขึ้น จะเป็น 7-8 ปีก็ได้ แต่เกษตรกรต้องปรับตัวในการที่จะเพิ่มแหล่งรายได้ใหม่ๆ เพื่อให้ธนาคารมั่นใจว่าจะสามารถจ่ายหนี้ได้ โดยภาครัฐต้องช่วยส่งเสริมเงินทุน เทคโนโลยี และช่วยหาตลาด สุดท้ายต้องมีโครงการลดต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรอย่างจริงจัง” 

ด้านนายสนธิรัตน์ กล่าวว่า การลงพื้นที่อีสานครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่สองของทีมผู้บริหารพรรค โดยพรรคต้องการที่จะเชิญชวนพี่น้องชาวอีสานที่รู้สึกเบื่อหน่ายกับการเมืองแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เข้ามาร่วมเป็นเครือข่าย “พี่น้องสร้างอนาคตไทย” เพื่อที่จะดำเนินกิจกรรมทางการเมือง รวมทั้งแก้ไขปัญหาและขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่อีสานให้เจริญรุ่งเรือง จากที่ผ่านมากว่าสิบปีที่พี่น้องชาวอีสานรวมทั้งชาวไทยทั้งประเทศสูญเสียโอกาสไปมากจากการเมืองแบบเดิมๆ วันนี้ประเทศต้องการความสงบและความร่วมมือกันในการนำพาประเทศออกจากวิกฤต

“ผมไม่กังวลว่ากับคำว่าอีสานเป็นพื้นที่ของใคร จะเจาะได้หรือไม่ แต่ผมมั่นใจว่าพรรคสร้างอนาคตไทยคือหนึ่งในพรรคทางเลือกที่ดีที่พี่น้องชาวอีสานจะพิจารณา และเชื่อว่าพี่น้องทางภาคอีสานก็ต้องการความเปลี่ยนแปลงเหมือนกับพื้นที่อื่นๆทั่วประเทศ พรรคสร้รางอนาคตไทย ขอเชิญชวนประชาชนชาวอีสานมาร่วมเป็นพี่น้องสร้างอนาคตไทย ช่วยกันขับเคลื่อนให้อีสานเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตไปด้วยกัน เพื่ออนาคตของลูกหลานเรา” นายสนธิรัตน์ กล่าว

กลุ่มคนรักบุฟเฟต์โวย ร้านดารุมะ ซูชิ ตำรับบุฟเฟต์แซลมอน ปิดร้านอย่างไม่มีกำหนด คนซื้อคูปองล่วงหน้า 199 บาทเดือดร้อน ขณะที่ผู้ลงทุนซื้อแฟรนไชส์พยายามติดต่อเจ้าของเพื่อชี้แจง หวั่นเจ้าของหอบเงินหนี ซ้ำรอย ‘แหลมเกตซีฟู้ด’

วันนี้ (18 มิ.ย.) รายงานข่าวแจ้งว่า ในกลุ่มคนรักบุฟเฟต์ (Buffet Lovers) ได้วิพากษ์วิจารณ์กรณีที่ร้านดารุมะ ซูชิ ซึ่งเป็นร้านบุปเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่น ที่มีจุดขายคือบุฟเฟต์แซลมอน ซึ่งมีอยู่ 27 สาขา ได้ปิดร้านอย่างไม่มีกำหนด โดยระบุว่าปิดปรับปรุงชั่วคราว ส่งผลกระทบต่อลูกค้าที่ซื้อคูปองล่วงหน้าราคาใบละ 199 บาท และจองที่นั่งเอาไว้แล้ว ไม่สามารถใช้บริการได้ โดยมีความเสียหายตั้งแต่ 2 ใบ สูงสุดนับสิบใบ ขณะที่เฟซบุ๊ก Daruma และเว็บไซต์ darumasushithailand.com ไม่สามารถติดต่อได้ ทำให้ลูกค้าที่ซื้อคูปองล่วงหน้า หวั่นว่า อาจซ้ำรอย “แหลมเกต” ร้านซีฟู้ดชื่อดังที่ปิดร้านหนี จนกลายเป็นคดีความไปแล้วก่อนหน้านี้ 

ขณะนี้กลุ่มผู้เสียหายกำลังตั้งกลุ่มไลน์ "ผู้เสียหาย Daruma Sushi" และหารือกันเพื่อแจ้งความเรียกร้องค่าเสียหาย

อีกด้านหนึ่ง โลกโซเชียลฯ ได้แชร์ภาพจากผู้ใช้เฟซบุ๊ก Krittharawee Arys Pichitpongchai โพสต์ภาพถ่ายโฆษณาเชิญชวนเปิดร้านดารุมะซูชิ ค่าลิขสิทธิ์แฟรนไชส์ 2,500,000 บาท และข้อความระบุว่า "ขออนุญาตชี้แจงเรื่องร้านดารุมะซูชิ ที่เพชรได้ซื้อแฟรนไชส์มาจาก คุณเมธา ชลิงสุข ทั้งหมด 6 สาขา ซึ่งในขณะนี้ เพชรและเจ้าของสาขาต่างๆ อีก 10 กว่าสาขาซึ่งเป็นผู้เสียหายได้รวมตัวกันรวบรวมหลักฐานทั้งหมดเพื่อเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับบริษัทดารุมะและผู้บริหาร

โดยทางเพชรและผู้เสียหายที่ลงทุนซื้อแฟรนไชส์ได้ทำการลงเงินเพื่อเปิดสาขา โดยมีบริษัทดารุมะเป็นผู้บริหารจัดการและเป็นคนดูแลบัญชีรายรับรายจ่ายทั้งหมดเเต่เพียงผู้เดียว และจะปันผลเป็นรายเดือนให้กับผู้ลงทุน การจัดโปรโมชั่นต่างๆ เป็นการดำเนินการโดยผู้บริหารบริษัทดารุมะ ซึ่งทางผู้ลงทุนไม่มีส่วนในการบริหารจัดการ ณ เวลานี้ทางกลุ่มผู้ลงทุนพยายามติดต่อผู้บริหารบริษัทดารุมะเพื่อรอฟังคำชี้แจง"

ครอบครัวเพื่อไทย บุกตีงูเห่า ศรีสะเกษ ปลุกแลนด์สไลด์ เลือก ส.ส.ยกจังหวัด ขณะที่ ‘แพทองธาร’ ควง ‘พานทองแท้’ ปลุกพลังแลนด์สไลด์ ขออำนาจรัฐให้พรรคเพื่อไทยเข้าไปทำให้ชีวิตคนไทยดีขึ้น

เวลา 10.00 น. ที่ลานอเนกประสงค์ผู้ใหญ่เฮง อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ พรรคเพื่อไทย เปิดเวทีปราศรัย “ครอบครัวเพื่อไทย ไปศรีสะเกษ ไล่หนูตีงูเห่า’  พร้อมเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ศรีสะเกษ พรรคเพื่อไทย ใน 9 เขตเลือกตั้ง โดย มีน.ส.แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย ในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย  นายพานทองแท้ ชินวัตร สมาชิกพรรคเพื่อไทย  นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน  หัวหน้าพรรคเพื่อไทย  นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา เลขาธิการพรรคเพื่อไทย พร้อม ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย ใน จ.อุบลราชธานี จ.ยโสธร จ.อำนาจเจริญ และแกนนำพรรคเพื่อไทย ร่วมขึ้นเวที ท่ามกลางมวลชนที่สวมเสื้อสีแดง ครอบครัวเพื่อไทย จำนวนเกือบหมื่นคน 

จากนั้น จาตุรนต์ ฉายแสง สมาชิกพรรคเพื่อไทย กล่าวปราศรัยย้ำว่า เราต้องเปลี่ยนรัฐบาลเพื่อให้ชีวิตที่ดีเกิดขึ้นอีกครั้ง เราจะเปลี่ยนได้ด้วยการเลือกตั้งที่ภาคอีสานเพื่อเปลี่ยนรัฐบาล ซึ่งเคยเลือกพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลมาแล้ว โดยครั้งนี้เริ่มต้นที่ จ.ศรีสะเกษ ที่ อ.อุทุมพรพิสัย เปลี่ยนรัฐบาล เลือกพรรคเพื่อไทยมาเป็นรัฐบาล เลือกตั้งครั้งหน้าคนทั้งประเทศจะไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ คนอีสาน คน จ.ศรีสะเกษ ก็ไม่เอาแล้วกับ พล.อ.ประยุทธ์ 

จากนั้น นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวตอนหนึ่งโดยเรียกร้องให้ประชาชนเลือกพรรคเพื่อไทย โดยขอ ส.ส.ศรีสะเกษ ยกจังหวัด 9 เขตทั้งจังหวัดได้หรือไม่ จากนั้น ได้เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ศรีสะเกษ นายธเนศ เครือรัตน์  เขต 1 , นายสุรชาติ ชาญประดิษฐ์  เขต 2 , นายวิวัฒน์ชัย โหตระไวศยะ เขต 3 , นพ.ภูมินทร์ ลีธีระประเสริฐ เขต 4 , นายอมรเทพ สมหมาย เขต 5   , นายวีระพล จิตสัมฤทธิ์ เขต 6  , นายประวิทย์ จารุรัชกูล  เขต 7 , นางนุชนาถ จารุวงษ์เสถียร เขต 8  , นางวิลดา อินฉัตร เขต 9 

เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพน นำคณะสงฆ์ จากวัดพระเชตุพน เยือนนครวาติกัน เนื่องในโอกาสครบ 50 ปี วาติกัน-วัดพระเชตุพน เชื่อมสัมพันธ์มิตรภาพสองศาสนา 

วานนี้ (17 มิ.ย.) สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ได้ประทานเมตตาให้การต้อนรับคณะสงฆ์ และคณะผู้แทนจากวัดพระเชตุพน วิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร ที่นำโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร พร้อมด้วยพระเทพวัชราจารย์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาส พระราชรัตนสุนทร ผู้ช่วยเจ้าอาวาส พร้อมด้วยคณะสงฆ์ และนายฐาปน สิริวัฒนภักดี ไวยาวัจกรวัดพระเชตุพนฯ และกรรมการมูลนิธิสิริวัฒนภักดี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top