Saturday, 28 June 2025
ค้นหา พบ 49068 ที่เกี่ยวข้อง

Interstate Charging Station ‘สถานีชาร์จไฟฟ้าระหว่างเมือง’ อีกตัวแปร ‘สำคัญ’ ในการเลือกใช้ยานยนต์ไฟฟ้า

ต้องยอมรับว่าในหลายๆ ประเทศการขนส่งหลักจะใช้ยานยนต์เป็นหลัก ซึ่งการที่จะช่วยให้มีการเปลี่ยนจากเครื่องยนต์สันดาป ต้องคำนึงถึงเรื่องแบตเตอรี่ที่รอบรับการชาร์จได้รวดเร็ว 

ฉะนั้นนอกเหนือจากการมียานยนต์ไฟฟ้าที่ตอบสนองผู้บริโภคแล้ว สถานีชาร์จรถไฟฟ้า EV Charger ก็ยังเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนผ่านการใช้งานไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น

สำหรับสถานีชาร์จรถไฟฟ้า หรือ EV Charging Station เปรียบเทียบได้กับสถานีปั๊มน้ำมัน แต่เปลี่ยนจากเติมน้ำมันเป็นเติมประจุพลังงานไฟฟ้าแทน ซึ่งการชาร์จพลังงานให้กับแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้านั่น จะแบ่งออกเป็น 2 วิธีได้แก่...

1.) Normal Charge เป็นการชาร์จแบบปกติ เป็นการชาร์จด้วยไฟ AC โดยชาร์จผ่าน On Board Charger ที่อยู่ภายในตัวรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งทำหน้าที่ในการแปลงไฟ AC ไปเป็นไฟ DC โดยขนาดของ On Board Charger นั่นจะมีผลต่อระยะเวลาในการชาร์จไฟของแบตเตอรี่ ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าแต่ละคันก็มีขนาดไม่เท่ากัน

และ 2.) Quick Charge ซึ่งเป็นการชาร์จโดยใช้ตู้ EV Charging Station (สถานีชาร์จรถไฟฟ้า) ที่จะทำการแปลงไฟ AC ไปเป็นไฟ DC แล้วจ่ายไฟ DC เข้าที่แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าโดยตรง ไม่ผ่าน On Board Charger เหมือนกับ Normal Charge ซึ่งวิธีการชาร์จไฟฟ้า จะส่งผลให้ระยะเวลาที่ใช้ในการชาร์จลงน้อยลง
 

‘กองทัพบก’ เลี้ยงอาหารมื้อพิเศษ สั่ง ‘ไก่ทอด KFC’ ให้ทหารที่เพิ่งฝึกจบใหม่

ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 13 จัดเลี้ยงอาหารพิเศษไก่ทอด (KFC) ให้ทหารที่เพิ่งฝึกจบใหม่ เพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจ และสร้างความเชื่อมั่นว่าทหารใหม่จะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี

เมื่อวันที่ (15 มิ.ย.) เพจ "กองทัพบก Royal Thai Army" เผยภาพบรรยากาศการเลี้ยงอาหารมื้อพิเศษ "ไก่ทอด KFC" ให้กับทหารที่เพิ่งฝึกจบใหม่ ทางเพจระบุข้อความว่า "ขวัญและกำลังใจจากผู้บังคับบัญชา #น้องเล็กสุดท้อง

'อุตตม' ชี้!! ขีดแข่งขันไทยลดฮวบ สะท้อนอนาคตประเทศเสี่ยงสูง

หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย ชี้ ตัวเลขขีดความสามารถทางการแข่งขันไทยตก สะท้อนอนาคตประเทศมีความเสี่ยงสูง แนะเร่งยกระดับสินค้าส่งออก แก้ปัญหาหนี้สินของประชาชน และจัดหาแหล่งเงินทุนให้ผู้ประกอบการ

17 มิ.ย. 65 นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังจะเผชิญกับมรสุมเศรษฐกิจถึง 3 ลูก โดยลูกแรกคือโควิด แม้จะทุเลาลงแต่ก็ได้สร้างบาดแผลทางเศรษฐกิจต่อเนื่อง ลูกที่ 2 คือราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นจากสงครามยูเครน และลูกที่ 3 ซึ่งกำลังก่อตัวรุนแรงขึ้น คือภาวะเงินเฟ้อ ที่ส่งผลทำให้สินค้าราคาแพง กระทบกับการทำธุรกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน

“เรากำลังเผชิญกับปัญหาทั้งต้นทุนพลังงาน ปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นทั่วโลก สหรัฐอเมริกากำลังห่วงว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย จีนก็ยังไม่เปิดประเทศ ขณะที่ไทยต้องพึ่งพาการส่งออกไปยังประเทศเหล่านี้ จึงมีคำถามว่าเราจะบริหารจัดการกับภาวะท้าทายที่เกิดขึ้นนี้อย่างไร ไม่ใช่เพียงการจัดการระยะสั้น แต่ต้องมองไปถึงความยั่งยืนในอนาคตด้วย”

นายอุตตม กล่าวต่ออีกว่า ความกังวลประการหนึ่ง คือตัวเลขผลสำรวจขีดความสามารถทางการแข่งขันจากมุมมองของนักบริหารทั่วโลก ที่เพิ่งเผยแพร่โดยสถาบัน TMA ไปเมื่อเร็วๆ นี้ ปรากฏว่าปี 2565 ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 33 จากปีก่อนที่อยู่ในอันดับที่ 28 เป็นการลดลงถึง 5 อันดับ ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยพบว่าประเทศไทยจะมีอันดับลดลงมากขนาดนี้

โดยสมรรถนะทางเศรษฐกิจที่ลดลงมีผลมาจากปัจจัยหลักในเรื่องการค้า ทั้งการบริโภคภายในประเทศที่ลดลงจากโควิด ซึ่งต้องมีการบริหารจัดการต่อเนื่อง ส่วนการส่งออกแม้ที่ผ่านมาจะมีตัวเลขที่สูงขึ้น แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนทั่วโลก ทำให้เราไม่สามารถไว้วางใจได้ ที่สำคัญประเทศไทยจำเป็นต้องยกระดับสินค้าส่งออกให้สู้กับคู่แข่ง และตรงความต้องการของตลาดโลกในปัจจุบัน รวมทั้งพัฒนาระบบเศรษฐกิจจากฐานราก เพื่อความยั่งยืนในอนาคต 

ส่วนประสิทธิภาพภาครัฐ อันดับที่ตกลงมาเกิดจากการบริหารการคลัง ที่รัฐบาลจำเป็นต้องใช้เงินเพื่อบริหารจัดการผลกระทบโควิด ซึ่งผลการจัดอันดับนี้เป็นสัญญาณที่ชี้ว่า คนภายนอกหรือผู้บริหารทั่วโลกมองประเทศไทยอย่างไร มีความสามารถควบคุมความเสี่ยงด้านการคลังแค่ไหน เราจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อมาดูแลยามวิกฤตเป็นเรื่องถูกต้อง แต่ต้องดูว่ากู้มาแล้วเอาไปทำอะไร แก้ไขปัญหาถูกจุดหรือไม่ วันนี้เรากู้เต็มเพดานแล้วจะมีผลกระทบกับการคลังในอนาคตอย่างไร

สำหรับประสิทธิภาพภาคเอกชนที่ลดลง ต้องยอมรับว่าเป็นผลสะท้อนจากสมรรถนะเศรษฐกิจ และประสิทธิภาพภาครัฐมีผลต่อประสิทธิภาพของเอกชน เนื่องจากรัฐบาลคือผู้ขับเคลื่อนนโยบายที่จะสนับสนุนภาคเอกชน วันนี้ต้องดูว่านโยบายของภาครัฐนั้นถูกทิศทางและทันต่อสถานการณ์หรือไม่ ยุทธศาสตร์ที่วางไว้ตอบโจทย์กับความเสี่ยงในอนาคตหรือไม่

‘ผู้นำฝรั่งเศส-เยอรมนี-อิตาลี’ ดอดพบเซเลนสกี้ กล่อม ‘ยูเครน’ ให้อ่อนข้อต่อ ‘รัสเชีย’ จริงหรือ?

เฟซบุ๊กเพจ ‘Pat Sangtum’ โพสต์ข้อความในหัวข้อ ‘OVERNIGHT TRAIN TO KIEV’ ระบุว่า…

เมื่อผู้นำอิตาลี เยอรมนี และฝรั่งเศส นั่งรถไฟจากโปแลนด์ขบวนข้ามคืนเข้ายูเครน เพื่อไปเยี่ยม เซเลนสกี้ ที่กรุงคีฟ

เดากันว่า ผู้นำ 3 ท่านนี้ ไปเกลี้ยกล่อมให้เซเลนสกี้ เจรจากับปูติน 

อย่าเชื่อมาก!! 

เพราะข่าวต่าง ๆ จากการประชุม อ้างถึงคำพูดโอ้อวดและป้ายความเลวให้รัสเชียทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการฆ่าหมูชาวยูเครน หรือยุทธการของรัสเชียที่อ่อนแอ หรือกองทัพรัสเชียสูญเสียทหารและอาวุธจำนวนมาก

แต่บทสรุปจะออกมาเป็นเช่นไร ก็ยังไม่ทราบได้ หากอ้างถึงคำถามจาก ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส, นายกรัฐมนตรีโอลาฟ โชลซ์ ผู้นำเยอรมนี และนายกรัฐมนตรีมาริโอ ดรากี ผู้นำอิตาลี ว่า “ชัยขนะของยูเครน” มีนิยามว่าอย่างไร ชัยชนะทางทหารที่เซเลนสกี้ต้องการ คือ ชนะระดับไหน

อย่างไรเสีย ชาวยุโรปในประเทศต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินเฟ้อ และความขาดแคลนทั้งน้ำมัน และสินค้าอุปโภคบริโภค เริ่มออกมาบอก EU และผู้นำยูเครนว่า รัสเชียต้องการอะไร ให้สนองตอบให้เร็วที่สุด

รู้ความจริง 'งบส่วนราชการในพระองค์' ก่อนหลงเชื่อ ‘วาทกรรมมั่ว ๆ’ ที่ไม่มีอยู่จริง

>> ยาวหน่อยแต่อยากให้ค่อย ๆ อ่าน!!

นั่นก็เพราะนี่เป็นเรื่องของการเปิด ‘ข้อเท็จจริง’ ที่จริงเสียยิ่งกว่าจริง ให้คนที่ยังหลงผิดหลุดพ้นจากวาทกรรมบิดเบือนที่ถูกสร้างขึ้นแบบสมจริงเกี่ยวกับ ‘งบประมาณสถาบันพระมหากษัตริย์’ ซึ่งยังคงหลุดออกไปสู่สังคม และหลอมรวมให้เกิดข้อสงสัย จนนานวันได้กลายเป็นความเชื่อผิด ๆ และคนรู้ต้องมาตามไล่สีซอแบบไม่จบไม่สิ้น!!

อย่างล่าสุด ที่มีการกล่าวถึง งบประมาณสถาบันฯ จากข้อกล่าวอ้างของหน้าเดิม ๆ ฝ่ายโจมตีสถาบันฯ เดิม ๆ ส.ส.บางพรรคหน้าเดิม ๆ และกลุ่มเคลื่อนไหวที่เดาชื่อไม่ยากหน้าเดิม ๆ ว่า มีการปันงบไปให้สถาบันฯ จำนวนถึง 3 หมื่นกว่าล้านบาท แบ่งเป็น รายจ่ายโดยตรง 2 หมื่นล้านบาท และรายจ่ายโดยอ้อมอีก 1.5 หมื่นล้านบาท เป็นเงินจำนวนไม่น้อย แถมยังตรวจสอบไม่ได้อีกด้วย

พลันเห็นภาพแบบนี้ปรากฏ วินาทีนี้ จึงไม่อยากใช้คำว่า ‘ความเข้าใจผิด’ จากคนกลุ่มนี้ หากแต่ต้องใช้คำว่า ‘มั่ว’ ตั้งแต่มีการพูดชื่อ ‘งบฯ’ และสถานะที่ ‘ตรวจสอบไม่ได้’ !! 

>> ทำไมน่ะหรือ?

ก็เพราะว่ามันไม่มีคำว่า ‘งบประมาณสถาบันพระมหากษัตริย์’ ที่มีผู้เอาไปตีว่าความเป็นเงินไปให้ในหลวงใช้ส่วนตัวอย่างไรเล่า!! แล้วจะให้เอาที่ไหนมาตรวจสอบ? แถมไอ้พวกข้อมูลต่าง ๆ ทั้งจำนวนงบประมาณ, รายจ่ายโดยตรง, โดยอ้อม ที่มีการนำออกมาขยี้ ก็ล้วนแต่มั่ว หรือปั่นให้เกิดเป็น ‘เฟกนิวส์’ จนเกิดความเข้าใจผิดกันทั้งสิ้น

>> มั่วยังไง?

ก่อนอื่นเลย ขอให้ผู้อ่านทุกท่านเลิกเรียกคำว่า ‘งบประมาณสถาบันพระมหากษัตริย์’ ก่อน เพราะอย่างที่บอกว่าการใช้คำว่า ‘งบประมาณสถาบันฯ’ ทำให้เกิดความเข้าใจว่า เป็นเงินส่วนที่เอาไปให้สถาบันหรือว่าเอาไปให้ในหลวงใช้ >> ซึ่งมันไม่ใช่!! 

โดยชื่อจริง ๆ ของงบประมาณส่วนนี้ เขาเรียกว่า 'งบส่วนราชการในพระองค์' ท่องไว้นะ >> งบส่วนราชการในพระองค์ << 

พูดง่าย ๆ ก็คือ งบส่วนราชการในพระองค์นี้นั้น ก็เหมือนกับงบประมาณของหน่วยงานอื่น ๆ ยกตัวอย่างเช่น งบของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งจะมีการจัดสรรงบประมาณลงมาให้ใช้ภายในกระทรวงนั้น ๆ ไม่ใช่เอาไปให้รัฐมนตรีกระทรวงนั้น ๆ ใช้เป็นเงินส่วนตัว >> ชัดนะ!!

หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ งบประมาณที่ว่ามาเหล่านี้ ล้วนเป็น ‘งบประมาณแผ่นดิน’ ทั้งสิ้น

>> ขยายความให้!!

หมายความว่า เป็นงบที่ต้องถูกตรวจสอบ โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือว่า สตง. ทุกหน่วยงานนั่นเอง!!

จริง ๆ เรื่องนี้อาจจะแลดูเป็นเรื่องไม่สำคัญอันใด เพราะถ้าคนที่เข้าใจ เนื่องจากหลุดออกจากกรอบ ‘เฟกนิวส์’ ไปนานแล้ว จะไม่ติดใจ แต่พวกที่ยังหมกมุ่น เพราะต้องใช้เรื่องนี้เพื่อสร้างผลประโยชน์ให้เกิดการเคลื่อนไหวทางการเมืองต่อ ก็ยังคงจับมาขยี้ต่อไปเลิก เพราะมันเป็นวาทกรรมที่แตะต้องง่าย หาพวกได้เร็ว เร่งด้วยวลีที่สื่อสารให้เกิดความเท่าเทียมได้ง่าย คนรุ่นใหม่ช้อบ...ชอบ!!

ยิ่งได้เสียงจาก ส.ส. บางกลุ่ม เอาประเด็นเหล่านี้ไปพูดในสภาอันทรงเกียรติ และเผยแพร่จนประชาชนสับสน เข้าใจผิดไปหมดด้วยแล้ว ยิ่งช้อบ...ชอบ!! ทั้งที่จริง ๆ ถ้าใครได้ศึกษาหรือเปิดโลกออกจาก ‘ข้อมูลลวงสังคม’ จะรู้ว่าวาทกรรมเหล่านี้ ทั้ง ‘บ้ง’ ทั้ง ‘มั่ว’ 

>> นั่นก็เพราะในความเป็นจริงแล้ว สำนักงานงบประมาณจะมีการทำข้อมูลให้ดาวน์โหลดมาดูกัน แต่ก็ยังมีกระแสบิดเบียนออกมาอยู่เรื่อย ๆ โดยเฉพาะในช่วงที่มีการจัดสรรงบประมาณแผ่นดินในทุก ๆ ปี ซึ่งมักจะมีกระแสบิดเบือนเกี่ยวกับเรื่อง 'งบส่วนราชการในพระองค์' วนออกมาตลอด จากทั้งสื่อและพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ที่พยายามสร้างความเข้าใจผิดว่า 'งบส่วนราชการในพระองค์' เป็นงบประมาณก้อนใหญ่มหาศาลกว่า 3 หมื่นกว่าล้านบาท

ล่าสุด!! กล่าวหาไปถึง 9 หมื่นล้านบาท โดยมีความพยายามกล่าวหาว่าเป็นงบที่เอาไปให้ในหลวงใช้บ้าง ตรวจสอบไม่ได้บ้างกันเลยทีเดียว

แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่เลย!! แถมยิ่งไปกว่านั้น 'งบส่วนราชการในพระองค์' ก็อยู่ที่ประมาณ 8 พันล้านบาทเท่านั้น!!

จากร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 งบส่วนราชการในพระองค์ อยู่ที่ 8,611 ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนที่ลดลงมาจากปีที่แล้ว 150 ล้านบาท และเอาเข้าจริงแล้ว 'งบส่วนราชการในพระองค์' ก็ลดต่อเนื่องทุกๆ ปี เช่น ในปี 2564 งบประมาณส่วนนี้ได้รับ 8,981 ล้านบาท และในปี 2565 ได้รับ 8,761 ล้านบาท และถ้าหากเทียบ 'งบส่วนราชการในพระองค์' จะคิดเป็น 0.25% ของงบประมาณแผ่นดินทั้งหมดเท่านั้น!!

>> ว่าแต่ 'งบส่วนราชการในพระองค์' เอาไปใช้ทำอะไรบ้าง?

สัดส่วนราว 90% ของ 'งบส่วนราชการในพระองค์' ถูกจัดสรรไว้เป็นค่าดำเนินการ เงินเดือนที่จ่ายให้กับเจ้าหน้าที่และบุคลากรประมาณ 14,000 คน ที่เหลือก็เป็นค่าสาธารณูปโภคต่าง ๆ (เอาเข้าจริงไม่เพียงพอต่อการใช้จริง และค่าใช้จ่ายบางส่วนมาจากพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์) โดยบุคลากรส่วนนี้สังเกตได้จาก พนักงานสำนักพระราชวังที่ใส่อินทรธนู ท.ท.น. ที่ย่อมาจากคำว่า ‘เงินท้ายที่นั่ง’

พอเข้าใจกันขึ้นสักนิดแล้วนะว่า 'งบส่วนราชการในพระองค์' ถูกใช้ไปกับอะไรบ้าง แล้วก็ไม่ได้มโหฬารตามงานสร้างของ ‘สายมั่ว’ เลยแม้แต่น้อย

แต่ๆๆ เรื่องมันยังไม่จบง่าย ๆ !!

กลุ่มตรงข้ามกับสถาบันฯ เมื่อเริ่มจนต่อข้อมูลประจักษ์ ก็หาเรื่องมาปักธงรุกต่อ โดยมีการโจมตีว่า 'งบส่วนราชการในพระองค์' ทำไมถึงเพิ่มขึ้นจากเดิมในปี 2562 ที่ 6 พันล้านบาท เป็น 8 พันล้านบาทในปีถัด ๆ มา

>> เกิดขึ้นเพราะอะไร?

จริง ๆ จะเรียกว่าปรับเพิ่มขึ้นก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะว่าตัวเลขดังกล่าว มาจากการถ่ายโอนกำลังพลในปี 2562 ซึ่งมีการออก พ.ร.ก. โอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของ กองทัพบก, กองทัพไทย, กระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ 

พอมีการถ่ายโอนกำลังพล ก็ต้องมีการสำรองอัตราเงินเดือนต่าง ๆ มาด้วย ทำให้ตัวเลขงบประมาณส่วนนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งก็เป็นเหตุเป็นผล เป็นตรรกะธรรมดาไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร >> ชัดนะ!!

>> ทีนี้มาถึงไฮไลต์!!

ไอ้ที่มั่ว ๆ กันว่า รายจ่ายโดยตรง 2 หมื่นล้าน รายจ่ายโดยอ้อม 1.5 หมื่นล้าน รวมเป็น 3 หมื่นกว่าล้านบาท เอามาจากไหน?

ก็เพราะ ‘สายปั่นเฟกนิวส์’ ตัวจริง!! จะไปเหมารวมกับงบประมาณของโครงการหลวง, โครงการพระราชดำริ กล่าวคือ งบอะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวโยง หรือเชื่อมโยงกับสถาบันได้ ก็เหมารวมเป็น 'งบส่วนราชการในพระองค์' ไปซะหมด ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว โครงการพระราชดำริ กว่า 4,000 โครงการ เป็นโครงการที่เกิดขึ้นในสมัยของในหลวงรัชกาลที่ 9 แล้วก็เป็นโครงการที่ทำสำเร็จไปแล้วมากมาย และแต่ละโครงการ ในหลวงรัชกาลที่ 10 ก็ทรงสืบสาน รักษา ต่อยอด เพิ่มเติมจากโครงการเดิมที่ทำไว้ทั้งสิ้น 

ฉะนั้น ก็จะมีการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนส่วนนี้ขึ้นมาต่อเนื่อง เพื่อช่วยเหลือประชาชน รวมถึงเป็นเงินเดือนค่าจ้างบุคลากร ภายใต้ประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับประเทศและปวงชนชาวไทยด้วย

ยกตัวอย่างเช่น โครงการพระราชดำริเกี่ยวกับการสร้างเขื่อน หน่วยงานที่รับสนองพระราชดำริ ก็คือ กรมชลประทาน 

คำถาม คือ โครงการนี้เป็นประโยชน์กับประชาชนหรือเปล่า? ซึ่งก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นประโยชน์แน่นอน เพราะโครงการสร้างเขื่อน ช่วยป้องกันน้ำท่วม เพิ่มพื้นที่เขตชลประทาน ตลอดจนแก้ปัญหาภัยแล้งให้กับประชาชนได้ด้วย หมายความว่า พอมีการสร้างเขื่อน ก็จำเป็นต้องมีงบบำรุงรักษา ซึ่งก็จะมีการตั้งงบประมาณขึ้นมาในแต่ละปีนั่นเอง >> ชัดนะ!!

ดังนั้น จะเห็นได้ชัดว่า โครงการต่าง ๆ ที่ถูกตั้งงบประมาณขึ้นมา ล้วนแล้วแต่เพื่อนำมาสร้างผลประโยชน์แก่ประชาชน 

‘ในหลวง’ หรือ ‘สำนักพระราชวัง’ ท่านไม่ได้แตะต้องงบประมาณส่วนนี้เลย แม้แต่บาทเดียว!!

>> ยิ่งไปกว่านั้น ทุกโครงการพระราชดำริ ที่ในหลวงทรงดำริคิดค้นขึ้นมา จะส่งต่อให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการนำไปปฏิบัติต่อ ซึ่งโครงการไหนได้ผลต่อเนื่อง หรือว่าเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบันแค่ไหนอย่างไรนั้น ก็จะมีการจัดงบประมาณตามความเหมาะสม ซึ่งต้องไปว่าต่อกันในสภาฯ นั่นเอง

>> งบประมาณต่าง ๆ ที่ว่ามาทั้งหมด ที่บรรดา ‘สายมั่ว’ เอาไปเหมารวมแล้วก็เรียกว่าเป็น ‘งบประมาณสถาบันพระมหากษัตริย์’ ซึ่งมันไม่มีชื่อเรียกนี้จริงนั้น จึงกลายเป็นตัวเลขจำนวนมหาศาล ทั้งๆ ที่ 'งบส่วนราชการในพระองค์' เอย งบโครงการพระราชดำริเอย ก็ได้มีการแบ่งแยกเอาไว้ชัดเจนอยู่แล้ว แล้วสำนักงานงบประมาณก็ทำข้อมูลไว้ให้ดาวน์โหลดไปเปิดโลกอยู่แล้ว

แต่เหตุไฉน นักการเมือง ส.ส. บางกลุ่ม เอาประเด็นนี้ไปพูดในสภา และเผยแพร่จนประชาชนสับสน เข้าใจผิดไปหมด หรือไม่เข้าใจจริงๆ หรือจริงก็รู้อยู่แล้ว แต่จงใจ? 

จงใจอยู่แล้ว!! 

พวกเขารู้!! แต่เขาแค่ออกมาพูดเพื่อให้คนเอาไปพูดและไปขยายต่อให้เป็นข้อมูลบิดเบือนเท่านั้นเอง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top