Monday, 30 June 2025
ค้นหา พบ 49099 ที่เกี่ยวข้อง

‘ขนส่งทางบก’ ขานรับนโยบาย รมว.คมนาคม คุมเข้ม!!! รถบรรทุกและรถโดยสารควันดำ แก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ชี้หากพบค่าควันดำเกินกฎหมายกำหนด ปรับสูงสุด 5,000 บาท ห้ามใช้รถจนกว่าจะแก้ไขและนำเข้าตรวจสภาพ เดินหน้าสนับสนุนการใช้รถพลังงานสะอาดและรถพลังงานไฟฟ้า

นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า ตามที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดเร่งดำเนินการลดปริมาณค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 เกินมาตรฐาน พร้อมให้ติดตามผลการดำเนินการแก้ไขตามข้อสั่งการที่ประชุมคณะรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตของประชาชน กรมการขนส่งทางบก ได้ดำเนินการตามมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ตามแผนที่กำหนดไว้อย่างต่อเนื่อง

พร้อมทั้งเข้มงวดการตรวจสภาพรถบรรทุกและรถโดยสาร ณ กรมการขนส่งทางบก และสำนักงานขนส่งทั่วประเทศ ตามมาตรฐานการตรวจสภาพรถที่กำหนดไว้ และออกตรวจวัดควันดำรถโดยสารและรถบรรทุก ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 20 จุด และบนถนนสายหลักและสายรองที่เข้าสู่กรุงเทพมหานคร พร้อมทั้งบูรณาการความร่วมมือกับกรมควบคุมมลพิษ และกองบังคับการตำรวจจราจร ตรวจสอบควันดำรถโดยสารประจำทางขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ณ เขตการเดินรถ และบริเวณที่มีค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 สูง โดยบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด

หากพบรถโดยสารหรือรถบรรทุกที่มีค่าควันดำเกินกำหนด เปรียบเทียบปรับสูงสุด 5,000 บาท และสั่งห้ามใช้รถทันที จนกว่าจะดำเนินการแก้ไขและผ่านการตรวจสภาพกับสำนักงานขนส่ง จึงจะนำรถกลับไปใช้งานได้ สำหรับผลดำเนินการตรวจสอบควันดำรถโดยสารและรถบรรทุก ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2562 จนถึงปัจจุบัน (21 มกราคม 2564) ตรวจรถแล้วจำนวนทั้งสิ้น 689,333 คัน พบรถที่มีค่าควันดำเกินกำหนดและพ่นห้ามใช้ จำนวน 8,762 คัน สำหรับรถที่ค่าควันดำไม่เกินกำหนด แต่อยู่ในระดับสูง จะออกหนังสือแนะนำให้หมั่นตรวจสอบดูแลสภาพรถไม่ให้เกิดควันดำ หากตรวจพบบนท้องถนนจะลงโทษอย่างเด็ดขาดต่อไป

นอกจากนี้ กรมการขนส่งทางบกได้ขยายการให้บริการตรวจสภาพรถพร้อมรับชำระภาษีรถประจำปี สำหรับรถโดยสารและรถบรรทุกตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 ณ สถานีขนส่งสินค้าชานเมือง (พุทธมณฑล ร่มเกล้า และคลองหลวง) เพื่อลดจำนวนรถบรรทุกและรถโดยสารเข้าเขตกรุงเทพมหานครชั้นใน

อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวต่อไปว่า เพื่อให้การแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ที่เกิดจากภาคขนส่งมีความยั่งยืน กรมการขนส่งทางบกได้เพิ่มมาตรการเข้มงวดการตรวจสภาพรถยนต์ของสถานตรวจสภาพรถเอกชน (ตรอ.) โดยควบคุมการดำเนินงานแบบเรียลไทม์ผ่านกล้อง CCTV เพื่อให้เป็นไปตามกฎระเบียบที่ทางราชการกำหนด และมีแผนที่จะยกระดับเครื่องมือตรวจวัดควันดำของสถานตรวจสภาพรถเอกชนให้มีคุณภาพสูงยิ่งขึ้น เปิดช่องทางให้ประชาชนแจ้งเบาะแสรถบรรทุกและรถโดยสารควันดำทางสายด่วน 1584 ตลอด 24 ชั่วโมง, Line@: @1584DLT Facebook: 1584 ร้องเรียนรถโดยสารสาธารณะ https://www.facebook.com/dlt1584/ แอปพลิเคชัน DLT GPS

นอกจากนี้ กรมการขนส่งทางบก ยังได้รณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนมีส่วนร่วมป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ด้วยการตรวจสอบสภาพรถเบื้องต้นด้วยตัวเองเพื่อให้รถอยู่ในสภาพสมบูรณ์และไม่มีควันดำ รวมถึงสนับสนุนให้หันมาใช้รถยนต์พลังงานสะอาดและไม่ก่อมลพิษเพิ่มมากขึ้น เช่น รถยนต์ไฟฟ้า หรือเครื่องยนต์ NGV ซึ่งตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ได้ลดอัตราภาษีรถประจำปี ต่ำกว่า รถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อร่วมสนับสนุนลดมลพิษทางอากาศ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยลดฝุ่นละออง PM 2.5

‘แรมโบ้’ ซัดกลับ ‘โฆษกเพื่อไทย’ กรณีวิจารณ์ ‘บิ๊กตู่’ บริหารประเทศ 7 ปี สู้ ประธานาธิบดีไบเดน ทำวันเดียวไม่ได้ ชี้วิจารณ์ไม่ดูวีรกรรม ‘ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์’ ที่ได้ชื่อว่าเป็นนายกฯ โคตรโกง สร้างความเสียหายให้ประเทศมูลค่าหลายล้านล้านบาท

นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ ดร.อรุณี กายานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย วิจารณ์การทำงานของนายกรัฐมนตรี 7ปี สู้ โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ ทำวันเดียวไม่ได้ ว่า อยากให้พรรคเพื่อไทย ย้อนกลับไปว่า นับตั้งแต่ รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ทำอะไรบ้าง

"อย่าว่าแต่แค่คำสั่งที่มิชอบที่ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ เคยทำเอาไว้เลย พล.อ.ประยุทธ์ มาล้างโครงการโคตรโกงที่รัฐบาล 2 พี่น้องเคยทำเอาไว้มากมาย และยังมีผลงานโปรเจคในรัฐบาลนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมากมาย  แต่ไม่เคยมีข่าวทุจริตเรื่องการเรียกเก็บสินบนใต้โต๊ะเหมือนในสมัยรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย เหมือนในอดีตยุคของทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ที่ปล่อยให้ เจ้ ด.เข้ามาสั่งการทุกเรื่อง"

“พล.อ.ประยุทธ์ต้องใช้ความสามารถหาเงินใช้หนี้แทนหลายโครงการ อาทิ โครงการจำนำข้าว ที่ต้องหาเงินมาช่วยชาวนาหลังจากเจ๊ ด. หอบเงินแสนล้านหนีไปสมทบพี่ชาย น้องสาวในต่างประเทศ ไปเสวยสุขกันที่นั่น ปล่อยให้ลิ่วล้อติดคุกติดตะราง กันจนทุกวันนี้ คนไทยไม่มีวันลืมได้ลง และเจ็บปวดหัวใจที่สุด"

นายสุภรณ์ ยังกล่าวอีกว่า "ยังไม่หมดเท่านี้ โครงการโคตรโกงที่ศาลตัดสินแล้ว คิดเป็นมูลค่าความเสียหายมากมายมหาศาล โฆษกพรรคเพื่อไทย ยังจะมีหน้ามาพูดอีกว่า รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ 7 ปีไม่มีผลงาน และไม่ได้ทำอะไร หัดใช้สมองไตร่ตรองดูหน่อย ถ้าทำดีไม่โกง จะหนีหัวซุกหัวซุนไปทำไม แผ่นดินนี้ศักดิ์สิทธิ์ ใครทำไม่ดีพระสยามเทวาธิราชจะลงโทษ จะไม่มีแผ่นดินอยู่ จะถูกคนไทยตราหน้าว่าทรราชย์ หากพรรคเพื่อไทยยังสนับสนุนทรราชย์ ก็จะได้ชื่อว่าเป็นสมุนของทรราชย์ เช่นเดียวกัน"

“ถ้าคิดจะเอาการแก้ปัญหาโควิด-19 มาโจมตีพล.อ.ประยุทธ์ ขอบอกเลยว่าคิดผิด เพราะทั้งโลกเขายกย่อง องค์การอนามัยโลก ก็ยกย่องประเทศไทย ในการเอาชนะโควิด ฉะนั้นพรรคเพื่อไทย กรุณาตรวจสอบข่าวด้วยอย่าพูดพล่อยๆ พูดมั่วๆ “

 "โฆษกพรรคเพื่อไทย ยังอ่อนหัดพรรษาทางการเมือง จะพูดจาอะไรระวังเข้าตัว พรรคจะเสียหาย เอาสมองส่วนไหนมามาคิด หน้าก็ดูสวยดี แต่สมองกลับบูดเบี้ยวตรงกันข้ามกับใบหน้ามาก เอาอะไรมาพูด ประธานาธิบดีโจไบเดนเพิ่งเข้ามา 1 วันจะมีผลงานมากกว่าได้อย่างไร เป็นคำพูดเปรียบเปรยที่ทุเรศไร้สาระมาก ๆ ความคิดต่ำกว่าเด็กอนุบาลเสียอีก"

"พล.อ.ประยุทธ์ทำงานมา7ปี ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย เรื่องการโกง หรือทุจริตคอร์รัปชัน เหมือนกับคู่อดีตนายกฯสองพี่น้องของพรรคเพื่อไทย ที่เป็นผู้นำเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ จากเงินภาษีของพี่น้องประชาชนคนไทย จนร่ำรวย สุดท้ายหอบเงินหนีไปใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่ต่างประเทศ เห็นแก่ตัวเอาเปรียบคนไทยที่สุด อย่างนี้เรียกว่า มีผลงานขี้โกงใช่ไหม ทำไมโฆษกสมองเด็กอนุบาลเช่นน.ส.อรุณี ไม่นำมาเปิดเผยให้ประชาชนทราบบ้าง" นายสุภรณ์ กล่าว

 

อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เผยภาพถ่ายจระเข้ขนาดใหญ่ ขึ้นมานอนอาบแดดบริเวณต้นแม่น้ำเพชรบุรี คาดเป็นจระเข้น้ำจืดหายากใกล้สูญพันธุ์ของไทย เตรียมส่งเจ้าหน้าที่ดูแลอารักขา เพราะเป็นพันธุ์ที่หายากและกำลังจะสูญพันธุ์

ช่วงเวลาดีๆ ของธรรมชาติ!!

แม้ว่าประเทศไทยจะยังอยู่ท่ามกลางวิกฤตโควิดระบาด แต่ทว่าธรรมชาติเริ่มกลับมาสมบูรณ์ ล่าสุดเพจเฟสบุ๊กอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน - Kaeng Krachan National Park ได้เปิดเผยภาพจากกล้องดักถ่ายสัตว์ป่า (Camera Trap) ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน พบจระเข้น้ำจืดสายพันธุ์ไทย (Crocodylus siamensis) ขึ้นมานอนอาบแดด

ซึ่งนับว่าเป็นข่าวดีที่พบเจอสัตว์ป่าที่หายากมากในธรรมชาติและกำลังจะสูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติ คือ จระเข้สายพันธุ์ไทยดั้งเดิม นั่นเพราะจระเข้พันธุ์นี้หลงเหลืออยู่ในธรรมชาติประมาณ 20 ตัวเท่านั้น

สำหรับจุดที่พบ อยู่บริเวณต้นน้ำของแม่น้ำเพชรบุรี เหนือบ้านโป่งลึกและบ้านบางกลอย ยืนยันสถานะภาพ ยังคงอยู่ได้ ไม่ได้พบภาพใหม่มานานและยืนยันได้มากกว่าหนึ่งตัว ที่บันทึกภาพได้ จากที่เฝ้าติดตามมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ทางเพจฯ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า จระเข้น้ำจืด, จระเข้บึง, จระเข้สยาม หรือ จระเข้น้ำจืดสายพันธุ์ไทย (Crocodylus siamensis) มีถิ่นกำเนิดในบริเวณประเทศไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม กาลีมันตัน ชวา และสุมาตรา จัดเป็นจระเข้ขนาดปานกลางค่อนมาทางใหญ่ (3–4 เมตร) มีเกล็ดท้ายทอด มีช่วงวัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุ 10–12 ปี จระเข้ชนิดนี้วางไข่ครั้งละ 20–48 ฟอง โดยมีระยะเวลาฟักไข่นาน 68-85 วัน เริ่มวางไข่ในช่วงต้นฤดูฝนประมาณเดือนพฤษภาคม โดยขุดหลุมในหาดทรายริมแม่น้ำ ใช้เวลาเฉลี่ยราว 80 วัน ชอบอยู่และหากินเดี่ยว

โดยปกติจระเข้น้ำจืดจะกินปลาและสัตว์อื่นที่เล็กกว่าเป็นอาหาร จะไม่ทำร้ายมนุษย์หากไม่ถูกรบกวนหรือมีอาหารเพียงพอ ในอดีตในประเทศไทยเคยพบชุกชุมในแหล่งน้ำทั่วทุกภาคของประเทศ โดยเฉพาะในแถบที่ราบลุ่มภาคกลาง เช่น บึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ ได้ชื่อว่าเป็นสถานที่จระเข้ชุม เคยมีรายงานว่าพบจระเข้ถึง 200 ตัว หรือในวรรณกรรมพื้นบ้านเรื่องต่าง ๆ เช่น ไกรทอง ของจังหวัดพิจิตร เป็นต้น แต่ปัจจุบันได้สูญหายไปจนหมดแล้ว

แต่ในต่างประเทศยังคงพบอยู่เช่นที่ทะเลสาบเขมร ประเทศกัมพูชา โดยเฉพาะทิวเขาพนมกระวาน ซึ่งช่วงแรกค้นพบเพียง 3 ตัว จนนำไปสู่การค้นพบจระเข้นับร้อยตัวที่อาศัยโดยไม่พึ่งพาอาศัยมนุษย์ แต่ที่นี่ก็ประสบปัญหาการจับจระเข้ไปขายฟาร์มจำนวนมาก[2] สถานะในอนุสัญญาของไซเตสได้ขึ้นบัญชีจระเข้น้ำจืดไว้อยู่ในบัญชีหมายเลข 1 (Appendix 1)

ปัจจุบัน จระเข้สายพันธุ์นี้แท้ ๆ ก็ยังหายากในสถานที่เลี้ยง เนื่องจากถูกผสมสายพันธุ์กับจระเข้สายพันธุ์อื่นจนเสียสายพันธุ์แท้ไปด้วยจากเหตุผลทางด้านเศรษฐกิจ

ด้านนายพิชัย วัชรวงษ์ไพบูลย์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (สบอ.3) สาขาเพชรบุรี กล่าวว่า ชุดลาดตระเวนของอุทยานออกลาดตระเวนบริเวณต้นแม่น้ำเพชรบุรีและแม่น้ำบางกลอย พบร่องรอยจระเข้ จึงทำการติดตั้งกล้องไว้กว่าเดือน พอย้อนกลับไปตรวจสอบภาพดู ปรากฏว่าเจอจระเข้น้ำจืดกำลังขึ้นมาอาบแดด เป็นขนาดใหญ่สมบูรณ์มาก นอกจากนี้ยังเตรียมส่งกำลังเจ้าหน้าที่ติดตามดูแลอารักขา เนื่องจากเป็นชนิดพันธุ์ที่หายากและกำลังจะสูญพันธุ์

ที่มา : เพจ อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน - Kaeng Krachan National Park

 

สวนดุสิตโพล เผย ‘10 ความสุขยุคโควิด-19’ พบ สิ่งที่คนรู้สึกมีความสุขในช่วงโควิด-19 มากที่สุด คือได้มีเวลาให้ตัวเองมากขึ้น ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ รองลงมาคือ ได้อยู่กับครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตาทำกับข้าวกินเอง

สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นของประชาชนเรื่อง ‘10 ความสุขในยุคโควิด-19’ กลุ่มตัวอย่าง 1,136 คน สำรวจวันที่ 15 – 22 มกราคม 2564 พบว่า สิ่งที่คนรู้สึกมีความสุขในช่วงโควิด-19 มากที่สุด คือ

อันดับ 1 ได้มีเวลาให้ตัวเองมากขึ้น ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ 86.92%

อันดับ 2 ได้อยู่กับครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตาทำกับข้าวกินเอง 75.22%

อันดับ 3 ไม่ต้องตื่นเช้า ไม่ต้องเร่งรีบ 56.10%

อันดับ 4 ได้ออกกำลังกายหันมาดูแลสุขภาพของตนเองมากขึ้น 29.81%

อันดับ 5 การปรับตัวเข้าสู่โลกออนไลน์ ได้พัฒนาทักษะเทคโนโลยี 13.46%

อันดับ 6 ยังมีงานทำ ยังไม่ถูกเลิกจ้าง 13.08%

อันดับ 7 รถไม่ค่อยติด เดินทางสะดวก 10.44%

อันดับ 8 บุคลากรทางการแพทย์ของไทยทำงานได้ดี 8.18%

อันดับ 9 ได้เห็นความร่วมมือร่วมใจ การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของคนไทย 5.03%

อันดับ 10 ทรัพยากรธรรมชาติได้พัก เป็นการฟื้นฟู 1.89%

จากผลการสำรวจ พบว่า ในความทุกข์ที่เกิดจากโควิด-19 นี้ ประชาชนก็ยังมีความรู้สึกสุขใจอยู่บ้าง โดยเฉพาะในด้านเวลา ทั้งการให้เวลากับตนเอง การให้เวลากับครอบครัว เงื่อนไขเรื่องเวลานี้ทำให้ผู้คนได้มีโอกาสในการคิดพิจารณาและทำสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่เคยได้ทำมากขึ้น อีกทั้งยังได้พัฒนาตนเองในด้านการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เรียกได้ว่าต้องขอบคุณโควิด-19 ที่ทำให้คนไทยได้พลิกวิกฤตเป็นโอกาสในการพัฒนาตนเองมากขึ้น

ในทุกสถานการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้น แม้มีปัญหามีความทุกข์แต่ก็มีสิ่งที่ดี ๆ และมีสิ่งที่เป็นความสุขเกิดขึ้นอยู่ด้วยเสมอ ดังนั้น การปรับทัศนคติ การปรับมุมมองหรือการคิดเชิงบวกจึงเป็นเรื่องสำคัญ อย่ามองที่ปัญหาแต่ให้เลือกมองโอกาสที่เกิดขึ้น จากปัญหานั้น ๆ เช่นเดียวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงนี้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของคนไทยและคนทั้งโลก ซึ่งประเด็นปัญหาและความทุกข์ที่มีอยู่นี้ เราทุกคนรู้และสัมผัสได้อยู่แล้ว

‘บิ๊กตู่’ ขอบคุณและเป็นกำลังให้ บุคลากรการแพทย์-ทุกภาคส่วน ที่เสียสละ ทุ่มเททำงานอย่างหนัก ร่วมยับยั้งการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอบคุณและเป็นกำลังให้คณะแพทย์ เจ้าหน้าที่ บุคลากรสาธารณสุข ฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ ตลอดจนอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการทำงานอย่างหนักเพื่อป้องกันยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา หลังจากเกิดกรณีพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวนมาก ที่ตลาดกลางกุ้ง จังหวัดสมุทรสาคร เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.2563 ซึ่งหลายภาคส่วนได้เสียสละทำงานอย่างไม่มีวันหยุด เพื่อควบคุมสถานการณ์ให้ได้โดยเร็ว

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ ขอเป็นกำลังใจทุกภาคส่วนได้ทำหน้าที่ต่อไป จนกว่าจะควบสถานการณ์ได้ทั้งหมดและการติดเชื้ออยู่ในเกณฑ์ต่ำ ซึ่งปัจจุบันสามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้วในหลายจังหวัด ทั้งหมดนี้เป็นผลจากการทุ่มเททำงานอย่างหนักของทุกองคาพยพ และความร่วมมือของประชาชน โดยนายกรัฐมนตรี ยังฝากให้ทุกคนทำงานด้วยความระวัดระวัง อย่าประมาท เน้นความปลอดภัยทั้งตนเองและส่วนรวม รัฐบาลพร้อมสนับสนุนปัจจัยด้านต่างๆอย่างเต็มที่ เพื่อความปลอดภัยของประชาชน

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า รัฐบาลยังต้องขอความร่วมมือประชาชน ช่วยกันลดความเสี่ยงการติดโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็น การงดการเดินทางโดยไม่จำเป็น งดเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง งดการรวมกลุ่ม สวมใส่หน้ากากอนามัยเมื่อออกจากบ้าน ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์อย่างสม่ำเสมอ ติดตั้งแอปพลิเคชันหมอชนะ ฯลฯ และขอบคุณประชาชนที่ให้ความมือเป็นอย่างดีเสมอมา โดยหลังจากนี้ จะมีการผ่อนปรนมาตรการต่างๆตามลำดับ แต่ต้องไม่ประมาท การ์ดไม่ตก

 

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top