Friday, 27 June 2025
ค้นหา พบ 49049 ที่เกี่ยวข้อง

นายกรัฐมนตรี ดันโมเดลเศรษฐกิจ BCG ‘เศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว’ เครื่องจักรตัวใหม่ขับเคลื่อนประเทศ ตั้งเป้าเพิ่ม GDP อีก 1 ล้านล้านบาท ใน 6 ปี

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เป็นประธานในการประชุมเพื่อพิจารณาแผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564-2569  พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) โดยที่ผ่านมาประเทศไทยใช้ทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งผลของการพัฒนาดังกล่าวต้องแลกด้วยความเสื่อมโทรมของทรัพยากรและการลดลงของความหลากหลายทางชีวภาพ เกิดของเหลือทิ้งที่สร้างมลพิษ ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาสุขภาพ จึงต้องใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อแก้ปัญหา

ยิ่งไปกว่านั้น การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ผ่านมาอยู่ในลักษณะ “ทำมากได้น้อย” เนื่องจากไม่สามารถสร้างมูลค่าให้กับทรัพยากรได้เต็มศักยภาพ เกิดการพัฒนาแบบกระจุกตัว และก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ เป็นอย่างมาก

โมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่เรียกว่า "BCG"  หรือ Bio-Circular-Green Economy เศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว เป็นรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจที่พัฒนาต่อยอดจากจุดแข็งของประเทศไทยคือ ความหลากหลายทางชีวภาพ และความหลากหลายทางวัฒนธรรม เป็นการเชื่อมโยงหลักคิดเศรษฐกิจพอเพียง (SEP) สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และเป็นการสานพลังของจตุภาคีทั้งภาคประชาชน เอกชน หน่วยงานภาครัฐ และเครือข่ายต่างประเทศ โดยโมเดลเศรษฐกิจ BCG ทำหน้าที่บูรณาการการพัฒนาตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม สร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Creation) จากฐานความหลากหลายของทรัพยากรชีวภาพและวัฒนธรรม

กิจกรรมหลักภายใต้โมเดลเศรษฐกิจ BCG ประกอบด้วย (1) อนุรักษ์ ฟื้นฟู พัฒนา เพิ่มพูนทรัพยากร ความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม (2) บริหารจัดการ การใช้ประโยชน์และบริโภค อย่างยั่งยืน (3) ลดและใช้ประโยชน์ของทิ้งจากกระบวนการผลิตสินค้าและบริการ (4) สร้างมูลค่าเพิ่ม ตลอดห่วงโซ่มูลค่า ตั้งแต่ภาคเกษตรที่เป็นต้นน้ำ จนถึงภาคการผลิตและบริการ และ (5) สร้างภูมิคุ้มกัน พึ่งพาตนเอง และเพิ่มสมรรถนะในการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

สำหรับการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564-2569  อยู่บนพื้นฐานของ 4 + 1 ประกอบด้วย 4  สาขายุทธศาสตร์ คือ 1.เกษตรและอาหาร 2.สุขภาพและการแพทย์  3.พลังงาน วัสดุและเคมีชีวภาพ และ 4.การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งมีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศปี 2561 รวมกัน 3.4 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 21 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) มีการจ้างแรงงานรวมกัน 16.5 ล้านคน หรือประมาณครึ่งหนึ่งของการจ้างงานรวมของประเทศ และ 1 ฐานความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม ซึ่งเป็นทุนพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศและการเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน  

“ด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG มีศักยภาพเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เป็น 4.4 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 24 ของ GDP ในอีก 6 ปีข้างหน้า และการรักษาฐานทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพให้สมดุลระหว่างการมีอยู่และใช้ไปเพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ BCG Model คือ เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน ประชาชนมีรายได้ดี คุณภาพชีวิตดี รักษาและฟื้นฟูฐานทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพให้มีคุณภาพที่ดี ด้วยการใช้ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม”

คณะกรรมการบริหารโมเดลเศรษฐกิจ BCG ได้อนุมัติแผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนการพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564-2569 ซึ่งประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ ได้แก่

ยุทธศาสตร์ที่ 1: สร้างความยั่งยืนของฐานทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพด้วยการจัดสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์

ธรรมชาติไม่ใช่เพียงทรัพยากรหรือปัจจัยการผลิตที่ใช้แล้วหมดไป แต่ธรรมชาติจะเป็นแหล่งกำเนิดของชีวิตและทุกสรรพสิ่งบนโลก เป็นพื้นฐานของความอยู่ดีกินดีของมนุษย์รวมถึงการนำกลับมาใช้ซ้ำตามหลักการหมุนเวียน

ยุทธศาสตร์ที่ 2: การพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็งด้วยทุนทรัพยากร อัตลักษณ์ ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยีสมัยใหม่

ใช้ศักยภาพของพื้นที่โดยการระเบิดจากภายใน เน้นการตอบสนองความต้องการในแต่ละพื้นที่เป็นอันดับแรก ใช้ประโยชน์จากความเข้มแข็งของ “ความหลากหลายทางชีวภาพ” และ “ความหลากหลายทางวัฒนธรรม” มาต่อยอดและยกระดับมูลค่าในห่วงโซ่การผลิตสินค้าและบริการให้มีมูลค่าสูงขึ้น

ยุทธศาสตร์ที่ 3 : ยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมภายใต้เศรษฐกิจ BCG ให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน

นำความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมมายกระดับประสิทธิภาพการผลิต ลดความสูญเสียในกระบวนการผลิตให้เป็นศูนย์ การหมุนเวียนทรัพยากรกลับมาใช้ หรือการนำไปสร้างมูลค่าเพิ่มตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ยกระดับมาตรฐานและให้ความสำคัญกับระบบการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นลักษณะเศรษฐกิจแบบ “ทำน้อยได้มาก” แทน

ยุทธศาสตร์ที่ 4: เสริมสร้างความสามารถในการตอบสนองต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก

เน้นการสร้างภูมิคุ้มกัน และสร้างความสามารถในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างเท่าทันเพื่อบรรเทาผลกระทบ ด้วยการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมไปเพิ่มศักยภาพของชุมชน ผู้ประกอบการ ปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิต/บริการ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาด สร้างการเติบโตอย่างมีคุณภาพ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อนำไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

ทั้งนี้ ที่ประชุมฯได้เห็นชอบกรอบแผนยุทธศาสตร์โมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564-2569 ยกเป็น “วาระแห่งชาติ” สำหรับการดำเนินวิถีชีวิตใหม่หลังการระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 (Post COVID-19 Strategy) พร้อมให้นำแผนยุทธศาสตร์ฯ ฉบับนี้เป็นกรอบการทำงานของงบประมาณปี 2565 ด้วย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า “ความท้าทายสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจไทยในทศวรรษหน้าคือ ความผันผวนทางเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การระบาดของโรคอุบัติใหม่และอุบัติซ้ำ การแปรปรวนของภาพภูมิอากาศ รวมถึงการลดลงของทรัพยากร ด้วยเหตุนี้การพัฒนาและขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะสามารถสร้างการพัฒนาอย่างสมดุลมากขึ้น ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และยังเปลี่ยนแรงกดดันหรือข้อจำกัดเป็นพลังในการขับเคลื่อน เพื่อให้เกิดการเร่งรัดพัฒนาความสามารถในการฟื้นตัว และการสร้างภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงจากภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพในเวลาอันรวดเร็ว”

"รองโฆษกพรรคกล้า" ดักคอพวกสีเทาค้านคาสิโนถูกกฎหมาย กลัวกระทบผลประโยชน์ ฝากถึง "สิระ" สาปแช่งคนเห็นต่าง ไม่ใช่การเมืองสร้างสรรค์ ย้อนเกล็ดเป็น ส.ส.มาปีกว่า แต่กลับมีบ่อนผุดในเขตหลักสี่ เพิ่งจับได้หลังโควิดระบาดระลอกสอง

นายแสนยากรณ์ สิงห์วีรธรรม รองโฆษกพรรคกล้า กล่าวถึงกรณี ส.ส.บางคน ออกมาคัดค้านข้อเสนอของพรรคกล้า ให้มีการพนันถูกกฎหมายว่า ต้องรับฟังความเห็นรอบด้าน ฝ่ายที่แสดงความเห็นต่างโดยสุจริตนั้นน่ารับฟัง แต่ก็จะมีพวกที่ค้านเพราะมีเจตนาแอบแฝงหรือไม่ เช่น นักการเมือง คนในเครื่องแบบ ที่มีผลประโยชน์อยู่กับบ่อนเถื่อนในเมืองใหญ่ หรือมีหุ้นกับคาสิโนในประเทศเพื่อนบ้าน 

ส่วนกรณีนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคพลังประชารัฐ ออกมาคัดค้านด้วยการสาปแช่งและท้าให้ข้ามศพไปก่อน รองโฆษกพรรคกล้า มองว่า เป็นการใช้วาทกรรมการเมืองที่รุนแรง ไม่สร้างสรรค์ ผลักคนเห็นต่าง ไม่ได้นำสังคมไปสู่การหาข้อสรุปร่วมกัน จึงรู้สึกเห็นใจพรรคพลังประชารัฐที่มีลูกพรรคแบบนี้ และขอให้ยอมรับความจริงว่า บ่อนเถื่อนคือปัญหาผลประโยชน์คนมีสี เกิดการมั่วสุมแพร่โรคระบาด หากนายสิระเกลียดบ่อนจริง ทำไมเป็น ส.ส.มาปีกว่า แต่บ่อนแจ้งวัฒนะ 14 เขตหลักสี่ เพิ่งโดนจับหลังโควิดระบาดระลอกสอง เมื่อเดือนที่แล้ว

นายแสนยากรณ์ กล่าวย้ำว่า พรรคกล้ามีเจตนาให้การพนันเป็นพิษภัยกับสังคมให้น้อยที่สุด ด้วยการนำเข้ามาอยู่ในการควบคุมของรัฐ ซึ่งนอกจากการจัดการปัญหามั่วสุมแพร่ระบาดโรคติดต่อได้แล้ว ยังป้องกันเงินไหลออกนอกประเทศ เนื่องจากพบว่านักพนันส่วนใหญ่ในบ่อนประเทศเพื่อนบ้านกว่าร้อยละ 90 เป็นคนไทย เงินไหลออกนอกประเทศปีละไม่น้อยกว่า 40,000 ล้านบาทเป็นอย่างต่ำ จึงเชื่อว่าหากอยู่ในการควบคุมของรัฐ จะก่อให้เกิดทั้งการสร้างรายได้ ตัดตอนผู้แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ เปลี่ยนส่วยเป็นภาษีพัฒนาประเทศ

‘ศรีสุวรรณ จรรยา’ จ่อบุกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินอีกรอบ จี้สอบ กอ.รมน.กรณีโซลาร์เชลล์แม่ฮ่องสอน มูลค่ากว่า 45 ล้านบาท ถูกทิ้งร้าง ชี้เข้าข่ายมีพฤติการณ์อันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีเพจชื่อดังรายงานว่า โครงการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ของ กอ.รมน. มีสภาพทิ้งร้างในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งเพจดังกล่าวได้รายงานว่าเป็นโครงการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน โดยติดตั้งเป็นระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์แก้ปัญหาภัยแล้ง พร้อมระบบกรองน้ำในพื้นที่ กอ.รมน.ภาค 3 จำนวน 20 ระบบ 20 หมู่บ้าน จุดละประมาณ 2 ล้านกว่าบาท รวม 45,590,000 บาท ในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน 12 จุด และจังหวัดตาก 8 จุด เมื่อปี 2561 ซึ่งผ่านมากว่า 2 ปี มีพลเมืองดีไปตรวจสอบพบว่า ทุกจุดอยู่ในสภาพไม่ได้ใช้งาน บางแห่งอยู่ในสภาพทิ้งร้างนั้น

กรณีดังกล่าวอาจมีลักษณะใกล้เคียงกับโครงการติดตั้งโชลาร์เชลล์ซึ่ง กอ.รมน.ดำเนินการที่ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ และถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์ถึงมูลค่าและค่าใช้จ่ายที่แพงเกินไปหรือไม่ เมื่อเปรียบเทียบราคากับกรณีของพิมรี่พาย ที่ไปดำเนินการที่หมู่บ้านแม่เกิบ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ซึ่งสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้นำความไปร้องเรียนต่อสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ให้ตรวจสอบไปแล้วเมื่อ 13 ม.ค.34 ที่ผ่านมา          

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า โครงการที่ กอ.รมน.ดำเนินการที่ จ.แม่ฮ่องสอนและ จ.ตาก ดังกล่าวเกินระยะเวลามากว่า 2 ปีแล้วจึงน่าจะเกินเวลาของการประกันผลงานตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว ก็เชื่อว่าอาจจะเป็นการดำเนินโครงการที่ไม่มีความคุ้มค่า ไม่มีผลสัมฤทธิ์ หรือไม่มีประสิทธิภาพตามที่กฎหมายกำหนด และอาจขัดต่อ พรบ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ 2560 และ พรบ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ 2542 หรืออาจมีการกระทำการอันเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน และกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ หรือการใช้จ่ายเงินแผ่นดินของ กอ.รมน. ที่อาจมีพฤติการณ์อันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ จงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อํานาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายหรือไม่ด้วย            

“ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงจะนำความพร้อมหลักฐานไปร้องเรียนต่อสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ให้ตรวจสอบโครงการโชลาร์เชลล์ทั้ง 2 จังหวัดดังกล่าวว่าเหตุใดจึงปล่อยทิ้งร้างและเสียหายและดำเนินการเป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือไม่ อย่างไร หากพบว่ามีพฤติการณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จะได้นำตัวผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาลงโทษตามครรลองของกฎหมายต่อไป และจะนำหลักฐานกรณีโครงการติดตั้งโชลาร์เชลล์ซึ่ง กอ.รมน.ดำเนินการที่ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ไปมอบเพิ่มเติมให้ สตง.ตรวจสอบเพิ่มเติมอีกด้วย โดยสมาคมฯจะเดินทางไปยื่นคำร้องในวันจันทร์ที่ 18 ม.ค.64 เวลา 10.00 น. ณ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซ.อารีย์ พญาไท กทม. “ นายศรีสุวรรณ กล่าว

‘ศรีสุวรรณ จรรยา’ จ่อบุกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินอีกรอบ จี้สอบ กอ.รมน. กรณีโซลาร์เชลล์แม่ฮ่องสอน มูลค่ากว่า 45 ล้านบาท ถูกทิ้งร้าง ชี้เข้าข่ายมีพฤติการณ์อันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีเพจชื่อดังรายงานว่า โครงการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ของ กอ.รมน. มีสภาพทิ้งร้างในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งเพจดังกล่าวได้รายงานว่าเป็นโครงการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน โดยติดตั้งเป็นระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์แก้ปัญหาภัยแล้ง พร้อมระบบกรองน้ำในพื้นที่ กอ.รมน.ภาค 3 จำนวน 20 ระบบ 20 หมู่บ้าน จุดละประมาณ 2 ล้านกว่าบาท รวม 45,590,000 บาท ในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน 12 จุด และจังหวัดตาก 8 จุด เมื่อปี 2561 ซึ่งผ่านมากว่า 2 ปี มีพลเมืองดีไปตรวจสอบพบว่า ทุกจุดอยู่ในสภาพไม่ได้ใช้งาน บางแห่งอยู่ในสภาพทิ้งร้างนั้น

กรณีดังกล่าวอาจมีลักษณะใกล้เคียงกับโครงการติดตั้งโชลาร์เชลล์ซึ่ง กอ.รมน.ดำเนินการที่ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ และถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์ถึงมูลค่าและค่าใช้จ่ายที่แพงเกินไปหรือไม่ เมื่อเปรียบเทียบราคากับกรณีของพิมรี่พาย ที่ไปดำเนินการที่หมู่บ้านแม่เกิบ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ซึ่งสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้นำความไปร้องเรียนต่อสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ให้ตรวจสอบไปแล้วเมื่อ 13 ม.ค.34 ที่ผ่านมา

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า โครงการที่ กอ.รมน.ดำเนินการที่ จ.แม่ฮ่องสอนและ จ.ตาก ดังกล่าวเกินระยะเวลามากว่า 2 ปีแล้วจึงน่าจะเกินเวลาของการประกันผลงานตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว ก็เชื่อว่าอาจจะเป็นการดำเนินโครงการที่ไม่มีความคุ้มค่า ไม่มีผลสัมฤทธิ์ หรือไม่มีประสิทธิภาพตามที่กฎหมายกำหนด และอาจขัดต่อ พรบ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ 2560 และ พรบ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ 2542 หรืออาจมีการกระทำการอันเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน และกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ หรือการใช้จ่ายเงินแผ่นดินของ กอ.รมน. ที่อาจมีพฤติการณ์อันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ จงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อํานาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายหรือไม่ด้วย

“ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงจะนำความพร้อมหลักฐานไปร้องเรียนต่อสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ให้ตรวจสอบโครงการโชลาร์เชลล์ทั้ง 2 จังหวัดดังกล่าวว่าเหตุใดจึงปล่อยทิ้งร้างและเสียหายและดำเนินการเป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือไม่ อย่างไร หากพบว่ามีพฤติการณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จะได้นำตัวผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาลงโทษตามครรลองของกฎหมายต่อไป และจะนำหลักฐานกรณีโครงการติดตั้งโชลาร์เชลล์ซึ่ง กอ.รมน.ดำเนินการที่ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ไปมอบเพิ่มเติมให้ สตง.ตรวจสอบเพิ่มเติมอีกด้วย โดยสมาคมฯจะเดินทางไปยื่นคำร้องในวันจันทร์ที่ 18 ม.ค.64 เวลา 10.00 น. ณ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซ.อารีย์ พญาไท กทม. “ นายศรีสุวรรณ กล่าว

รัฐบาล ย้ำขณะนี้ยังอยู่ภายใต้พ.ร.ก.ฉุกเฉินและพ.ร.บ.โรคติดต่อ ขอความร่วมมือประชาชน หลีกเลี่ยงการรวมตัวกัน หวั่นการชุมนุมทางการเมือง เป็นเหตุแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มมากขึ้น

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เนื่องด้วยขณะนี้ยังมีความจำเป็นในการใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และพ.ร.บ.โรคติดต่อ เพื่อควบคุมโรคระบาดอยู่ ดังนั้นรัฐบาลจึงขอความร่วมมือให้ประชาชนได้หลีกเลี่ยงการรวมตัวกันโดยเฉพาะการชุมนุมทางการเมืองในช่วงเวลานี้ ซึ่งรัฐบาลขอขอบคุณประชาชนส่วนใหญ่ที่ได้ให้ความสำคัญเรื่องการร่วมมือกันป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างดียิ่ง

นอกจากนี้ รัฐบาลก็กำลังเร่งพิจารณามาตรการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดระลอกใหม่นี้ รวมถึงการเร่งเตรียมการในเรื่องการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในขั้นต่อไป ดังนั้น รัฐบาลจึงไม่อยากเห็นตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นจากเหตุของการรวมตัวกันเพื่อชุมนุมทางการเมืองในช่วงนี้

จึงขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง และขอความร่วมมือสื่อมวลชนได้ช่วยประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบถึงความจำเป็นในการหลีกเลี่ยงการรวมตัวกันด้วยอีกทางหนึ่ง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top