Tuesday, 24 June 2025
ค้นหา พบ 48993 ที่เกี่ยวข้อง

ส.ส.พรรคก้าวไกล ดาหน้า จี้รัฐบาล เร่งเดินหน้าฝ่าวิกฤตโควิดซัด ชู 3 ประเด็นร้อน มาตรการเยียวยา, สินเชื่อซอร์ฟโลน SMEs 5 แสนล้าน และการศึกษา ซัด โครงการเราไม่ทิ้งกันล่าช้า หวั่นประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิม

ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.เขตบางขุนเทียน พรรคก้าวไกล พร้อมด้วย วรภพ วิริยะโรจน์ และ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ถอดบทเรียนรัฐบาลที่เคยเผชิญในภาวะวิกฤติการระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 ในระลอกเเรก เมื่อต้นปี 2563 โดยระบุถึง 3 ประเด็นหลักควรเร่งแก้ไขอย่างตรงจุด ตรงประเด็น เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง เเละได้ประโยชน์ต่อประชาชนโดยตรง ได้แก่ การช่วยเหลือ SMEs ที่ต้องทำให้ผู้ประกอบการเข้าถึงกลุ่มทุนโดยตรง การศึกษาหรือปัญหาการเรียนออนไลน์ที่ต้องลดความเหลื่อมล้ำให้ได้ เเละมาตรการเราไม่ทิ้งกันรอบ 2 ของกระทรวงการคลัง ที่ต้องเตรียมเงินเยียวยาให้แก่ประชาชนให้ทั่วถึงและทันเวลา

วรภพ ระบุว่า ในส่วนที่เกี่ยวกับ SMEs รัฐบาลต้องเร่งช่วยให้ตรงจุด ด้วยการเร่งแก้ไข พ.ร.ก. Soft Loan (พ.ร.ก. การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ) รวมถึงการพักชำระหนี้ เนื่องจากมาตรการ ‘ล็อคดาวน์ที่ไม่เรียกว่าล็อคดาวน์’ กำลังดับความหวังสุดท้ายของ SMEs โดยเฉพาะตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ หลายธุรกิจต้องหยุดดำเนินกิจการโดยที่ไม่ได้ทำผิดพลาดอะไรเลย แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นล้วนมาจากความหละหลวมของรัฐบาล ที่ปล่อยให้มีขบวนการลักลอบนำเข้าแรงงานต่างด้าว บ่อนพนันกลางเมือง ในวันนี้ SMEs ยังอยู่ในสภาวะโคม่า จากยอดรวม SMEs 1.8 ล้านล้านบาทที่มาขอพักชำระหนี้ในรอบที่แล้วยังมีที่ยังอยู่ในสภาวะปรับโครงสร้างหนี้อีกประมาณ 678,000 ล้านบาท ดังนั้น รัฐบาลต้องเร่งออกมาตรการช่วยเหลือ SMEs รอบใหม่โดยด่วนที่สุด

“รัฐบาลต้องเสนอให้สภาผู้เเทนราษฎรเร่งแก้ไขพระราชกำหนดซอร์ฟโลน 5 แสนล้าน เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเข้าถึงได้จริง ในเรื่องนี้พรรคก้าวไกลได้พยายามผลักดันในคณะกรรมาธิการแก้ไขงบประมาณโควิดมาตลอด เพราะที่ผ่านมามีการเบิกจ่ายไปเพียง 20 % เท่านั้น เนื่องจากติดเงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรม เข้าถึงยาก เรื่องนี้จำเป็นต้องแก้ไขเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถฟื้นตัวได้เองหลังจากภาวะวิกฤติ” วรภพ กล่าว

ในด้านประเด็นการศึกษา วิโรจน์ ระบุว่า มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายให้กระทรวงศึกษาธิการ และนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พิจารณานำไปปรับใช้ ดังต่อไปนี้

1.) กระทรวงศึกษาธิการต้องเร่งทบทวน และจัดทำสื่อการเรียนการสอนที่มีคุณภาพให้ครบถ้วนตั้งแต่ประถมศึกษา จนถึงมัธยมศึกษา เนื้อหาส่วนใดที่ผิดพลาด ให้เร่งแก้ไข พร้อมกับจัดทำใบงาน แบบฝึกหัด และเอกสารประกอบการเรียนการสอน ให้ถูกต้องครบถ้วน มีงบประมาณในการจัดพิมพ์ให้กับนักเรียน ไม่ต้องให้นักเรียนไปพิมพ์กันเอาเอง มีการวางตารางเวลา จัดสรรเวลาในการเรียนรู้ด้วยตนเองให้กับนักเรียนอย่างชัดเจน มีการซักซ้อมกับพ่อแม่ ผู้ปกครอง ให้มีความเข้าใจในบทบาทของตนเอง ในการให้คำปรึกษากับบุตรหลาน ในการเรียนรู้ด้วยตนเองที่บ้าน ไม่ใช่ปล่อยให้พ่อแม่ไปจัดการกันเอง ตามมีตามเกิดแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

2.) นักเรียนระดับอนุบาล และประถมศึกษา ป.1-6 การมาพบปะคุณครู เพื่อให้ครูได้แนะนำ ยังคงมีความจำเป็นอยู่มาก แต่เพื่อลดความหนาแน่นลง โรงเรียนแต่ละแห่งสามารถแบ่งนักเรียนหนึ่งห้อง ออกเป็น 4 รอบ เพื่อทยอยมาพบกับคุณครู เช่น จันทร์พุธศุกร์เช้า จันทร์พุธศุกร์บ่าย อังคารพฤหัสเสาร์เช้า อังคารพฤหัสเสาร์บ่าย นักเรียนที่มีอยู่ห้องละ 40 คน ก็จะเหลือรอบละแค่ 10 คน ซึ่งอยู่ในวิสัยที่จะจัดการให้นักเรียนมี Social Distancing ได้ และหากมีปัญหาการระบาดเกิดขึ้น นักเรียนก็จะไม่ระบาดข้ามกลุ่มกันด้วย โดยให้คุณครูคอยทบทวนเนื้อหาสำคัญ ในเฉพาะวิชาที่สำคัญ ต่อการเรียนรู้ต่อยอดด้วยตนเองในบทเรียนถัดๆ ไป เช่น ภาษาไทย คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ เป็นต้น และสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ซึ่งพอจะมีทักษะในการเรียนรู้ด้วยตนเองในระดับหนึ่งแล้ว อาจจะมาพบคุณครู ที่โรงเรียนน้อยกว่าระดับประถมศึกษา โดยอาจจะมาพบเพียงสัปดาห์ละ 1-2 วัน เท่านั้น เพื่อให้ครูทบทวนเนื้อหาเฉพาะวิชาที่สำคัญ เช่นเดียวกัน

3.) มีการกำหนดบทบาทหน้าที่ให้แก่ครู ในการโทรศัพท์ติดตามนักเรียน เพื่อสอบถามถึงความเข้าใจในการเรียน และอาจะให้คำแนะนำเพิ่มเติมแก่นักเรียนที่มีข้อสงสัย มีระบบ Call Center ในวิชาต่างๆ เพื่อให้นักเรียนที่เรียนรู้ด้วยตนเองแล้วไม่เข้าใจ สามารถโทรศัพท์มาสอบถามคุณครูได้ ไม่ต้องเก็บความไม่เข้าใจเอาไว้

4.) สำหรับนักเรียนที่มีความขาดแคลนจริง ๆ ไม่สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองที่บ้าน อันเนื่องมาจากไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีแท็บเล็ต หรือไม่สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองได้จริง ๆ อันเนื่องจากที่บ้านไม่มีผู้ดูแล เพราะทั้งพ่อแม่ต่างต้องไปทำงาน กระทรวงศึกษาธิการ ควรอนุญาตให้นักเรียนเหล่านี้ มาเรียนโดยใช้คอมพิวเตอร์ที่โรงเรียน ภายใต้การกำกับของครู ซึ่งคาดว่านักเรียนที่มีข้อจำกัดเหล่านี้ ไม่น่าจะมีจำนวนมากนัก ซึ่งก็ย่อมอยู่ในวิสัยของโรงเรียนที่จะป้องกันการระบาดได้

“กระทรวงศึกษาธิการ ควรจะเร่งจัดสรรงบประมาณที่เพียงพอให้กับโรงเรียนแต่ละแห่ง ในการจัดสร้าง จัดหา จัดเตรียม อุปกรณ์ต่าง ๆ ในการป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาให้เพียงพอได้แล้ว เช่น การจัดสร้างอ่างล้างมือหน้าห้องเรียน การจัดหาอุปกรณ์ในการวัดอุณหภูมิ เจลแอลกอฮอล์ สบู่เหลวล้างมือ หน้ากากอนามัย สำหรับนักเรียนที่ขาดแคลน หรือไม่ได้นำมาจากที่บ้าน เพื่อให้เมื่อโรงเรียนสามารถเปิดการเรียนการสอนได้อีกครั้ง โรงเรียนแต่ละแห่งจะได้มีศักยภาพในการควบคุม และป้องกันการแพร่ระบาดของโรคได้ดีกว่าที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้” วิโรจน์ กล่าว

สำหรับในส่วนประเด็นมาตรการเราไม่ทิ้งกัน รอบ 2 ที่มีกระเเสข่าวออกมาว่ารัฐเตรียมออกมาตรการเพื่อชดเชยเเละเยียวยานั้น ณัฐชา ระบุว่า สุดท้ายมาตรการเยียวยาจะออกมาเป็นอย่างไร สิ่งที่พรรคก้าวไกลเสนอคือ รัฐบาลต้องถอดบทเรียนและเรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีตเพื่อปรับปรุงให้การเยียวยารอบใหม่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ตรงจุด และมีกระสุนที่มากพอที่จะรองรับความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน โดยมีเรื่องที่ต้องนำไปพิจารณา คือ

1.) ต้องไม่มีกระบวนการพิสูจน์สิทธิ์ที่ซับซ้อน ขั้นตอนต้องเข้าถึงคนออฟไลน์ บทเรียนจากในคราวที่แล้วคือในการขอรับสิทธิ์ต้องผ่านกระบวนการพิสูจน์สิทธิ์ที่ยุ่งยาก หลักเกณฑ์ ‘อาชีพอิสระ’ ไม่มีความชัดเจน ทำให้คนที่เดือดร้อนจำนวนหนึ่งไม่ได้รับสิทธิ์ หรือได้รับสิทธิ์ล่าช้าเพราะต้องลงทะเบียนใหม่ ในขณะที่ผู้ที่เดือดร้อนบางส่วนก็เข้าไม่ถึงโครงการ เพราะไม่สามารถเข้าถึงระบบอินเตอร์เน็ตได้ ทำให้คนที่เดือดร้อนจากพิษเศรษฐกิจจำนวนมากไม่ได้รับการเยียวยาจากรัฐบาล

2.) การเยียวยาต้องรวดเร็ว ต้องไม่ให้เหมือนรอบที่แล้ว ที่กว่าที่ประชาชนจะได้เงินไปต่อชีวิตต้องรอเวลาเป็นเดือนๆ ทั้งที่ค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นทุกวัน (เปิดลงทะเบียนครั้งแรกวันที่ 29 เม.ย. จ่ายเงินงวดสุดท้าย 26 มิ.ย.) รัฐบาลล่าช้ามามากพอแล้วในการออกมาตรการเยียวยา เราหวังว่ามาตรการที่ออกมาจะไม่มีการจ่ายเงินเยียวยาที่ล่าช้ายิ่งขึ้นไปอีก

3.) นโยบายต้องมีความชัดเจน ออกแบบให้รัดกุม คิดให้จบ ไม่ให้เหมือนครั้งที่แล้ว ที่ไม่มีความชัดเจนเรื่องผู้มีสิทธิ์ลงทะเบียน เดี๋ยวก็บอก 3 ล้านคน เดี๋ยวก็ 24 ล้านคน เดี๋ยวก็ 15 ล้านคน เงื่อนเวลาก็ขยายแล้วขยายอีก ตอนแรกบอก 5 วันหลังลงทะเบียนได้รับเงิน ตอนหลังขยายไป 7 วัน แล้วก็ขยายไปเรื่อย ๆ ทำให้การจ่ายเงินล่าช้า

“รัฐบาล โดยเฉพาะรัฐมนตรีคลังคนใหม่มีบทเรียนจากมาตรการที่ผ่านมาแล้ว มาตรการในรอบนี้จึงควรต้องรู้ว่าจะจัดกระบวนการเยียวยาให้รวดเร็วและทั่วถึงได้อย่างไร และรัฐบาลมีงบประมาณเหลือพอที่จะใช้เยียวยาประชาชนรอบใหม่ ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.ก. เงินกู้ 1 ล้านล้าน ที่อนุมัติไปได้ครึ่งเดียวเท่านั้น และงบประมาณปี 2564 ที่ยังไม่เคยนำมาเกลี่ย เรามักคิดว่าเรื่องปากท้องกับการควบคุมโรคเป็นเรื่องที่ต้องแลกกัน แต่สำหรับพรรคก้าวไกล เราเชื่อว่ารัฐบาลที่ดี สามารถประคับประคองให้ทั้งสองเป้าหมายเดินไปด้วยกันได้” ณัฐชากล่าวทิ้งท้าย

นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล เปิดเผยว่า สถานการณ์โควิด-19 ขณะนี้มีความจำเป็นยิ่ง ที่ไทยต้องเตรียมตั้ง รพ.สนาม เพื่อรองรับผู้ป่วยโควิด19 โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงหลาย ๆ พื้นที่ ที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น

ต้องเร่งจัดหาสถานที่ที่เหมาะสมตามหลักวิชาการ นำมาพัฒนาเป็น รพ.สนาม ที่สามารถดูแลผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการ แต่แพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ และรักษาผู้ป่วยที่อาการไม่รุนแรง เพื่อแยกผู้ป่วยโควิด-19 ไม่ให้สัมผัสกับคนปกติ

หากไม่เร่งดำเนินการตั้งแต่ตอนนี้ จะยิ่งทำให้สถานการณ์การระบาดในไทยรุนแรงเพิ่มขึ้น

สำหรับ รพ.สนาม มีความจำเป็น 4 ข้อ คือ

1.) ผู้ป่วยทั่วไปใน รพ.จะลดการติดเชื้อ แยกแยะระหว่างผู้ป่วยโรคทั่วไป ผู้ป่วยโควิด19 ไม่ให้ปะปนกัน

2.) บุคลากรสาธารณสุข แพทย์ พยาบาล ลดความเสี่ยงติดเชื้อ เพื่อให้ทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพ

3.) รพ.ในระบบปกติ จะมีเตียงเพียงพอสำหรับผู้ป่วยโรคอื่นๆ ไม่ต้องงดรับผู้ป่วยทั่วไป เหมือนช่วงระบาดเมื่อต้นปี 63

และ 4.) ชุมชนจะปลอดภัยมากขึ้น เพราะ รพ.สนาม จะรองรับผู้ป่วยโควิด-19 ผู้ติดเชื้อ ผู้กักกันตัวเองที่อยู่ระหว่างรอผลยืนยัน ช่วยแยกคนติดเชื้อออกจากชุมชน ลดการแพร่เชื้อได้อย่างดี

ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวย้ำว่า รอบนี้การติดเชื้อมาจากเรื่องที่ผิดกฎหมาย แหล่งอบายมุข การลับลอบเข้าเมือง การสอบสวนโรคจึงทำได้จำกัด ดังนั้นผู้ต้องสงสัยว่าติดเชื้อที่ยังไม่เข้าสู่ระบบ ยังปิดบังไทม์ไลน์และไม่กักตัว ยังใช้ชีวิตตามปกติ ยังมีอีกมาก ในที่สุดไทยจะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น และมีอาการรุนแรงขึ้น จนทำให้เตียงในรพ.ไม่พอ เหมือนหลายๆ พื้นที่เสี่ยงที่ รพ.ในพื้นที่เริ่มส่งสัญญาณแล้ว

นายแพทย์เกรกอรี ไมเคิล วัย 56 ปี สูตินรีเวชวิทยา จากศูนย์การแพทย์เมาท์ไซนาย ในไมอามีบีช รัฐฟลอริดา กลายเป็นอีกหนึ่งรายที่ต้องสงสัยว่าเสียชีวิตจากวัคซีนของบริษัทใหญ่แห่งสหรัฐอเมริกา

โดยเขาได้เสียชีวิตลงเมื่อวันจันทร์ (4ม.ค.) หลังจากมีอาการหลอดเลือดสมอง ชนิดเลือดออกในสมอง (hemorrhagic stroke) ซึ่งในทางการแพทย์เชื่อว่าอาการดังกล่าวมีต้นตอจากการขาดเกล็ดเลือด

ไมเคิล ได้รับวัคซีนของไฟเซอร์เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม จากนั้นก็มีอาการรุนแรง จากการเปิดเผยของ เฮดี เนคเคิลมันน์ ภรรยาของเขา

เนคเคิลมันน์ ได้เขียนลงบนเฟซบุ๊กเมื่อวันอังคาร (5 ม.ค.) ว่า 3 วันหลังจากได้รับวัคซีน ไมเคิลต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล เนื่องจากมีตุ่มผุดขึ้นบริเวณผิวหนังของเขา ซึ่งบ่งชี้ว่าเขาอาจมีอาการตกเลือดภายใน

แพทย์สรุปว่าเขามีอาการเกล็ดเลือดต่ำซึ่งพวกเขาพยายามเพิ่มเกล็ดเลือด แต่ไม่ประสบความสำเร็จ

“พวกผู้เชี่ยวชาญจากทั่วประเทศเข้ามามีส่วนร่วมดูแลรักษาเขา แต่ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไร เกล็ดเลือดก็ไม่เพิ่มขึ้น” เธอเขียนบนทวิตเตอร์

เนคเคิลมันน์ เล่าว่า "ไมเคิล มีสติและดูกระฉับกระเฉงตลอดกระบวนการทั้งหมด จนกระทั่งเขามีอาการหลอดเลือดสมอง ซึ่งคร่าชีวิตเขาภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที"

กระทรวงสาธารณสุขรัฐฟลอริดา ระบุว่า บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์กำลังนำการสืบสวน และจะมอบผลการค้นพบแก่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคต่อไป

ด้าน ไฟเซอร์ บริษัทผู้พัฒนาวัคซีนบอกว่า ทางบริษัทฯ จะเปิดการสืบสวนต่อเหตุเสียชีวิตของไมเคิลเช่นกัน “เรากำลังสืบสวนอย่างกระตือรือร้นในคดีนี้ในเวลานี้ เราไม่เชื่อว่ามันจะมีความเกี่ยวข้องโดยตรงใดๆ กับวัคซีน”

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นไม่กี่วัน หลังจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขคนหนึ่งในโปรตุเกส เสียชีวิต 2 วันหลังจากได้รับวัคซีนโควิด-19 ซึ่งข่าวคราวที่สร้างความช็อกแก่ประชาคมโลกนี้ ยิ่งเพิ่มข้อสงสัยเกี่ยวกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพวัคซีนของไฟเซอร์ไปอีกขั้น


ที่มา : นิวยอร์กโพสต์

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (8 มกราคม พ.ศ. 2564)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 205 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 9,841 ราย รวมยอดผู้เสียชีวิต 67 ราย รักษาหายเพิ่ม 734 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 5,255 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 4,519 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 205 ราย เป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ จากอินเดีย 1 ราย ,สวีเดน 1 ราย ,ฝรั่งเศส 1 ราย ,สหราชอาณาจักร 1 ราย ,สาธารณรัฐเช็ก 1 ราย ,สหรัฐอเมริกา 4 ราย

เดินทางมาจากต่างประเทศ ผ่านเส้นทางธรรมชาติ จากเมียนมา 7 ราย

ผู้ติดเชื้อในประเทศ จำนวน 131 ราย

ตรวจคัดกรองเชิงรุก 58 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 173 ราย รักษาหายแล้ว 149 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 386 ราย รักษาหายแล้ว 362 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 7.98 แสน ราย รักษาหายแล้ว 6.59 แสน เสียชีวิต 23,520 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 40 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.28 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.03 แสน ราย เสียชีวิต 521 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.29 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.12 แสน ราย เสียชีวิต 2,799 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 4.82 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.49 แสน ราย เสียชีวิต 9,356 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 58,813 ราย รักษาหายแล้ว 58,562 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมติดเชื้อ 1,509 ราย รักษาหายแล้ว 1,353 ราย เสียชีวิต 35 ราย

ตัวแทนนักร้อง นักดนตรีอาชีพอิสระ ยื่นหนังสือ 4 ข้อเรียกร้องถึงนายกรัฐมนตรี ขอให้รัฐบาลช่วยเหลือกลุ่มคนอาชีพทำงานกลางคืนในพื้นที่สีแดง 28 จังหวัด หลังไม่มีงาน เหตุโควิด-19 ระบาดระลอกใหม่

ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล ตัวแทนกลุ่มคนทำงานสถานบันเทิง นักร้อง นักดนตรี และอาชีพกลางคืน จำนวน 10 คน นำโดย นายทักษะศิลป์ อุดมชัย ตัวแทนนักร้อง นักดนตรีอาชีพอิสระ ยื่นหนังสือถึง นายกรัฐมนตรี โดยมีนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับหนังสือ เพื่อเรียกร้องขอให้รัฐบาลช่วยเหลือกลุ่มคนอาชีพนักร้องนักดนตรีอิสระ กลุ่มคนอาชีพทำงานกลางคืนในพื้นที่ 28 จังหวัดซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาด โควิด-19 รอบสอง เนื่องจากไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ

ผลกระทบจากวิกฤตดังกล่าวทำให้ตกงาน จึงมีข้อเรียกร้อง คือ

1.) มาตรการเยียวยา 5000 บาทระยะเวลาสองเดือน แต่ถ้าสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นก็ขอให้เยียวยาต่ออีกรวมเป็นสามเดือน ทั้งนี้โปรดพิจารณาตอบกลับทางกลุ่มก่อนวันที่ 1กุมภาพันธ์

2.) พักชำระหนี้ โดยเฉพาะกรณีพักชำระหนี้ไฟแนนซ์รถยนต์ รถจักรยานยนต์ รวมถึงช่วยเหลือเรื่องค่าเช่าหรือผ่อนที่พักอาศัย โดยขอให้ทางรัฐบาลออกหนังสือรับรองให้พวกเราเป็นบุคคลไร้รายได้ฉุกเฉินเนื่องจากถูกสั่งให้ไม่สามารถทำงานได้ เพราะเป็นพื้นที่แพร่กระจายโรคโควิด-19 ทั้งนี้หนังสือรับรองเป็นบุคคลไร้รายได้ฉุกเฉินเพื่อให้เราสามารถขอผ่อนผันค่างวดบ้าน คอนโด ที่พักอาศัยออกไปก่อน จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น แล้วกลับมามีอาชีพ มีรายได้ตามปกติ

3.) ขอผ่อนปรนใบอนุญาตการแสดงดนตรีของสถานประกอบการให้กับร้านอาหาร เพื่อให้สามารถแสดงดนตรีได้และให้เคร่งครัดในการปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข

4.) วอนรัฐบาลช่วยเหลือการจัดจ้างงาน ให้เราได้ใช้ความสามารถและความเชี่ยวชาญในอาชีพการแสดงดนตรี กับผู้ประกอบการหรือองค์กรที่สนใจนำการแสดงดนตรีช่วยส่งเสริมการขายทางออนไลน์

หวังว่ารัฐบาลจะพิจารณาให้ความช่วยเหลือตามข้อเสนอทั้งสี่ข้อกับพวกเราตามเห็นสมควรทั้งนี้เพื่อความอยู่รอดขอให้มีรายได้จุนเจือครอบครัวต่อไปไม่มากก็น้อย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังยื่นหนังสือของกลุ่มดังกล่าว น.สพ.บูรณ์ อารยพล ในฐานะ ผจก.ทีมก๊อปปี้โชว์.com ได้กล่าวถึงการขอให้แก้กฎหมายเพื่อช่วยเหลือให้ผู้ประกันตนได้รับการเยียวยาด้วย และจะมาติดตามเรื่องข้อเรียกร้องของทางกลุ่มฯ กับความคืบหน้าเรื่องกองทุนประกันสังคม ในวันจันทร์ที่ 11 ม.ค. 64 เวลา 09.00น. ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top