Sunday, 22 June 2025
ค้นหา พบ 48957 ที่เกี่ยวข้อง

หากจะพูดถึง หุ้นที่ร้อนแรงที่สุดประจำปี 2563 ถ้าในต่างตลาดประเทศ คนอาจจะโฟกัสไปที่หุ้นรถยนต์ไฟฟ้า TESLA แต่ถ้าเมืองไทยชั่วโมงนี้ต้องยกให้ DELTA ที่ขี่พายุทะลุฟ้า ราคาทะยานในรอบ 1 ปี ถึง 3,000% !!!

กระแสความร้อนแรงของหุ้น TESLA ที่ทะยานทำจุดสูงสุดใหม่ หรือ นิวไฮ ที่ 695 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น เมื่อวันที่ 18 ธ.ค ที่ผ่านมา ขึ้นมาจากจุดต่ำสุดในรอบปี ที่ 70 เหรียญ เมื่อวันที่ 18 มี.ค. ช่วงที่โควิด -19 เริ่มระบาดและส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก แต่ TESLA ก็สามารถทะยานขึ้นมาเกือบ 1,000% หรือ 10 เท่าภายในเวลา 9 เดือนอย่างสวยงาม อาจจะไม่ได้สร้างความฮือฮามากนัก

แต่เมื่อย้อน กลับมามองตลาดหุ้นไทย ที่ต้องยกตำแหน่งหุ้นร้อนแรงแห่งปีให้กับหุ้นบริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA ที่ราคาหุ้นพุ่งทะยานอย่างร้อนแรงไม่แพ้กัน จากราคาที่ลงไปต่ำสุดที่ 27 บาท ในระหว่างชั่วโมงซื้อขายวันที่ 13 มีนาคม 63 ซึ่งเป็นวันที่ตลาดหุ้นไทยร่วงลงไปต่ำสุดในรอบปีที่ 969 จุด เช่นกัน

แต่หลังจากนั้น ราคาหุ้น DELTA เริ่มพุ่งทะยานจนขึ้นไปสูงสุดระหว่างชั่วโมงซื้อขายของวันที่ 28 ธันวาคม โดยพุ่งขึ้นไปยืนที่ 838 บาท เรียกได้ว่าเป็นการสร้างปรากฎการณ์สุดยอดหุ้นแห่งปีที่คนในวงการหุ้นต้องกล่าวถึง

เพราะเมื่อเทียบกับราคาปิด ณ สิ้นปี 2562 กับจุดสูงสุดที่ 838 บาท หุ้น DELTA ปรับตัวเพิ่มขึ้น 784.50 บาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 1,466.35% หรือ 14.66 เท่า

แต่ถ้าเทียบกับจุดต่ำสุดที่ 27 บาท หุ้น DELTA ปรับตัวเพิ่มขึ้น 811 บาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 3,003.70% หรือ 30.03 เท่ากันเลยทีเดียว

แน่นอนว่า ราคาหุ้นที่ทะยานขึ้นอย่างร้อนแรงภายใน 1 ปี สร้างผลตอบแทนถึง 14 เท่า ไม่ได้เกิดขึ้นให้เห็นกันได้ง่าย ๆ ว่ากันว่านักลงทุนบางคนที่เข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ อาจจะได้เห็นปรากฎการณ์ DELTA เป็นหุ้นตัวแรกที่พุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงเกินกว่า 1,000% ภายใน 1 ปีก็ได้

สำหรับ DELTA เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่ปี 2538 โดยเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านการจัดการระบบกำลังไฟฟ้า รวมถึงชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์บางประเภท

เป็นบริษัทจดทะเบียนที่ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ที่สุด มีมาร์เกตแคปหรือมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด 5.46 แสนล้านบาท (ณ ราคาปิด วันที่ 29 ธันวาคม 2563 ) และเมื่อคำนวณจากราคาสูงสุด 838 บาท จะมีมาร์เก็ตแคปสูงถึง 1.04 ล้านล้านบาท เป็นรองแค่เพียงปตท. เท่านั้น (ปัจจุบัน มาร์เก็ตแคป อันดับ 1 คือ PTT 1.17 ล้านล้านบาท ส่วนอันดับ 2 คือ AOT 8.78 แสนล้าน)

แต่อย่างไรก็ตาม ความร้อนแรงของ DELTA อาจปิดฉากลงแล้วเมื่อวันจันทร์ที่ 28 ธันวาคมที่ผ่านมา หลังจากวิ่งมาราธอน จนสร้างจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ที่ราคา 838 บาท จากนั้นก็ถูกเทขายอย่างหนักกระทั่งราคาร่วงอย่างหนัก โดยราคาปิดล่าสุด ณ วันที่ 29 ธันวาคม 63 ลงมาที่ 438 บาท เมื่อเทียบกับราคาสูงสุด 838 บาท เท่ากับว่าราคาร่วงไปแล้ว 47%

ซึ่งอาจมองได้ว่าราคาหุ้น DELTA อาจจะหมดรอบแล้วก็เป็นได้ เพราะราคาเริ่มสะท้อนความเป็นจริง หลังจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้สอบถามไปยังผู้บริหาร DELTA ว่า บริษัทมีพัฒนาการด้านใดเป็นพิเศษที่ทำให้ราคาหุ้นขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

และเมื่อได้รับคำตอบจากฝ่ายบริหาร DELTA ที่ส่งเอกสารชี้แจงเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม ระบุว่า บริษัทไม่มีพัฒนาการใดที่ส่งผลต่อการซื้อขายหุ้น หลังจากนั้นราคาหุ้น DELTA ก็ดิ่งเหวทันที

อย่างไรก็ตาม การลากราคาหุ้น DELTA และทิ้งดิ่งเหวในครั้งนี้ คงไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่พอจะอนุมานได้ว่า เป็นการทำราคาของกองทุนขนาดใหญ่ นั่นหมายถึงกองทุนต่างประเทศ ที่พากันลากขึ้นมา เพราะปีหน้า DELTA จะถูกดันเข้าไปอยู่ในกลุ่ม SET 50 ที่จะทำให้เป็นที่สนใจของกองทุนทั้งไทยและต่างประเทศ

บทเรียนจากราคาหุ้นที่ร้อนแรงแห่งปี ทั้ง TESLA และ DELTA ทำให้นักลงทุนทั้งมือเก่าและมือใหม่ ได้เรียนรู้ว่า หุ้นที่ขึ้นมาจากพื้นฐานธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างชัดเจนอย่าง TESLA มักจะทำราคาสูงสุดได้อย่างต่อเนื่องและราคาจะไม่ร่วงดิ่งเหว ผิดกับ DELTA ที่ราคาขึ้นอย่างร้อนแรง โดยไม่มีเหตุผลและพื้นฐานทางธุรกิจรองรับ เมื่อถึงจุดที่นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น ราคาจึงสะท้อนให้เห็นดังเช่น 2 วันที่ผ่านมานั่นเอง

ครม.อนุมัติปรับปรุงเงื่อนไขโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่โดยภาครัฐและเอกชน พร้อมขยายไปจนถึง 31 ธันวาคม 2564 เพื่อให้ลูกจ้างที่เข้าร่วมโครงการได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐ ครบ 1 สิทธิ์ 1 ปี ต่อ 1 คน

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม.อนุมัติปรับปรุงเงื่อนไขโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่โดยภาครัฐและเอกชน ตามข้อเสนอของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ โดยปรับคุณสมบัติผู้จบการศึกษาใหม่ คือ เป็นผู้มีสัญชาติไทย มีอายุไม่เกิน 25 ปี หากอายุเกิน 25 ปี ต้องจบการศึกษาปี 2562 เป็นต้นไป

ส่วนเงื่อนไขสำหรับนายจ้าง ปรับใหม่เป็น ให้เป็นไปตามข้อตกลงการจ้างงานระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง แต่ต้องไม่ต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของจังหวัด ตามประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง โดยรัฐบาลให้การอุดหนุนเงินเดือน ไม่เกิน 50% ต่อคนต่อเดือน

โดยรัฐบาลจะจ่ายเงินอุดหนุนเป็นไปตามวุฒิการศึกษา ได้แก่ ปริญญาตรี ไม่เกิน 7,500 บาท ปวส. ไม่เกิน 5,750 บาท ปวช. ไม่เกิน 4,700 และ ม.6 ไม่เกิน 4,345 บาท จากเดิมที่กำหนดไว้ คือ ค่าจ้างตามวุฒิการศึกษา ได้แก่ ปริญญาตรี ไม่เกิน 15,000 บาท ปวส. ไม่เกิน 11,500 บาท ปวช. ไม่เกิน 9,400 และ ม.6 ไม่เกิน 8,690 บาท

ทั้งนี้เงื่อนไขการจ่ายเงินอุดหนุนให้แก่ลูกจ้าง ปรับใหม่เป็น ‘รัฐจ่ายเงินอุดหนุน 3 ครั้งต่อเดือน’ จากเดิมที่กำหนดให้ นายจ้างจ่ายค่าจ้างเดือนละ 1 ครั้ง (ภายในสิ้นเดือน) เพื่อให้สอดคล้องกับรอบการจ่ายเงินค่าจ้างของนายจ้าง ดังนี้

1.) นายจ้างจ่ายค่าจ้างภายในสิ้นเดือน รัฐจ่ายเงินอุดหนุนภายในวันที่ 5 ของเดือนถัดไป

2.) นายจ้างจ่ายค่าจ้างหลังสิ้นเดือน (ภายในวันที่ 1-5 ของเดือนถัดไป) รัฐจ่ายเงินอุดหนุนภายในวันที่ 10 ของเดือนถัดไป

และ 3.) นายจ้างจ่ายค่าจ้างตามข้อ 1 และ ข้อ 2 แต่การจัดทำเอกสารในระบบไม่สมบูรณ์ รัฐจะจ่ายเงินอุดหนุนภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป

ขยายระยะเวลาการดำเนินงานของโครงการ จากเดิม คือ ระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน (ปีงบประมาณ 2564 เริ่มตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2563 ถึง 30 กันยายน 2564) ขยายไปจนถึง 31 ธันวาคม 2564 เพื่อให้ลูกจ้างที่เข้าร่วมโครงการได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐ ครบ 1 สิทธิ์ 1 ปี ต่อ 1 คน ระยะเวลาการจ้างงานครบ 12 เดือน แต่ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม 2564

ขาเที่ยวเตรียมวางแผนปีหน้าไว้เลย เมื่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติเคาะ 'วันหยุดกรณีพิเศษ' และ 'วันหยุดประจำภาค' รวมถึงเลื่อนวันหยุดราชการในปีหน้าเพิ่มเข้ามาอีกถึง 8 วัน รวมแล้วในปี 2564 จะมีวันหยุดรวม 24 วัน เพื่อเพิ่มการหมุนเวียนเงินเศรษฐกิจภายในประเทศ

ในส่วนของวันหยุดราชการเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษ มีเซอร์ไพรซ์ คือ

- วันศุกร์ที่ 12 ก.พ.2564 วันตรุษจีน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลไทยประกาศให้วันตรุษจีนเป็นวันหยุดราชการ

- วันจันทร์ที่ 12 เม.ย. 2564 เพื่อจะได้หยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ (เสาร์ที่ 10 อาทิตย์ที่ 11 จันทร์ที่ 12 อังคารที่ 13 พุธที่ 14 และพฤหัสฯที่ 15)

- วันอังคารที่ 27 ก.ค. 2564 ชดเชยวันเข้าพรรษา เพื่อจะได้หยุดยาว (เสาร์ที่ 24 วันอาสาฬหบูชา อาทิตย์ที่ 25 วันเข้าพรรษา จันทร์ที่ 26 ชดเชยวันอาสาฬหบูชา อังคารที่ 27 ชดเชยวันเข้าพรรษา และพุธที่ 28 วันเฉลิมพระชนมพรรษาฯ)

- วันศุกร์ที่ 24 ก.ย. 2564 วันหยุดราชการกรณีพิเศษ วันมหิดล

นอกจากนี้ ครม.ยังมีมติกำหนดวันหยุดประจำภาคต่างๆ ทุกภาคจะมีวันหยุดเทศกาลประจำปี ได้แก่...

- วันหยุดราชการภาคเหนือ: ประเพณีไหว้พระธาตุ วันศุกร์ที่ 26 มี.ค. 2564

- วันหยุดราชการภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: งานเทศกาลบุญบั้งไฟ วันจันทร์ที่ 10 พ.ค.2564

- วันหยุดราชการภาคใต้: พิธีสารทเดือน 10 วันพุธที่ 6 ต.ค. 2564

สำหรับกรณีเลื่อนวันหยุดชดเชย เช่น วันปิยมหาราช 23 ต.ค. 2564 ตรงกับวันเสาร์ เพื่อเติมให้เป็นวันหยุดยาว 4 วัน หรือ 5 วัน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

ทั้งนี้ สถาบันการเงิน ภาคเอกชน จะไม่หยุดตามนี้ก็ได้

หลังจากโควิดกลับมาระบาดหนัก ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประกาศมติ ศปค.สธ.ขอให้คนไทยงดเดินทางนอกจังหวัด ห่วงคุมเชื้อ COVID-19 ยาก ย้ำชัดหากจัดกิจกรรมปีใหม่เกิน 100 คน ต้องขออนุญาต

นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขกรณีโรคติดเชื้อโควิด-19 (ศปก.สธ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมศูนย์ฯ ได้วางแผนควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศที่ปัจจุบันแพร่กระจายไป 45 จังหวัดแล้ว เพื่อให้กลับมาปลอดเชื้อภายใน 4 สัปดาห์ แต่ขณะนี้เป็นช่วงจังหวะเทศกาลปีใหม่ ทำให้มีการเดินทางไปจังหวัดต่าง ๆ และการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลอง ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการควบคุมโรคให้เป็นไปตามแผน

ทั้งนี้ ศปก.สธ.ได้ประสานไปยังคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดให้จัดทำแผนเตรียมความพร้อมรับมือที่เหมาะสมกับสถานการณ์ และมาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) โดยในพื้นที่ควบคุมสูงสุดให้งดจัดกิจกรรมสาธารณะ ส่วนพื้นที่เฝ้าระวังให้ลดการจัดกิจกรรมสาธารณะมากที่สุด พร้อมรณรงค์ให้ประชาชนกวดขันดูแลตัวเองให้เป็นไปตามหลักอนามัย

สำหรับการการจัดกิจกรรมช่วงปีใหม่ ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดให้งดการจัด ส่วนในพื้นที่เฝ้าระวังให้ลดการจัดกิจกรรมมากที่สุด อยู่เฉพาะในครอบครัว หากจะจัดจะต้องได้รับอนุญาต รวมทั้งคงมาตรการป้องกันโรค และลดความแออัดของผู้ร่วมกิจกรรม ไม่น้อยกว่า 1 ตารางเมตรต่อคน หากจัดมากกว่า 100 คนต้องขออนุญาต

“คงต้องขอความร่วมมือให้เดินทางเท่าที่จำเป็น และงดกิจกรรมเสี่ยง เพื่อลดการแพร่เชื้อและรับเชื้อ หากเราสามารถควบคุมสถานการณ์ให้ดีขึ้นได้ก็จะสามารถผ่อนคลายมาตรการลง”

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ ‘พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ’ เล็งบังคับใช้กฎหมายจริงจังกับผู้ใช้โซเชียลหน้าเก่าโพสต์ ผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ หลังยื่นคำสั่งศาลไปกว่า 8,000 URLs แต่ยังลบข้อความหมิ่นไม่หมด

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส) เปิดเผยว่า กระทรวงฯ ดำเนินการส่งคำสั่งศาลการแจ้งแพลตฟอร์มต่าง ๆ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ ที่เข้าข่ายละเมิดสถาบันหลักของชาติ ตั้งแต่เดือนสิงหาคม - ธันวาคม 2563 รวมทั้งสิ้น 7 ครั้ง จำนวน 8,443 URLs โดยแบ่งเป็น

• เฟซบุ๊ก 5,494 URLs ปิดกั้นแล้ว 3,107 URLs เหลืออีก 2,387 URLs

• ยูทูบ 1,755 URLs ปิดกั้นแล้ว 1,722 URLs เหลือ 33 URLs

• ทวิตเตอร์ 674 URLs ปิดกั้นแล้ว 63 URLs เหลือ 611 URLs

• และอื่น ๆ 520 URLs ปิดกั้นแล้ว 133 URLs คงเหลือ 387 URLs

ซึ่งมีบัญชีผู้ใช้งานรายเดิม แต่พบว่ายังมีการกระทำผิดซ้ำอย่างต่อเนื่อง เช่น ชื่อบัญชีของนายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ Pavin Chachavalpongpun มีจำนวนคำสั่งศาล 194 คำสั่ง บัญชีของ นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล Somsak Jeamteerasakul มี 51 คำสั่งศาล นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ (เพนกวิน) มี 2 คำสั่งศาล เป็นต้น

ทั้งนี้ กองป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิด ทางเทคโนโลยีและสารสนเทศ (ปท.) กระทรวงดิจิทัลฯ ได้รวบรวมหลักฐานส่งฟ้องต่อ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(บก.ปอท.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินคดีกับแพลตฟอร์ม ตามมาตรา 27 และดำเนินคดีกับบัญชีผู้ใช้งานที่กระทำผิดแล้ว และอยู่ระหว่างสืบสวนหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ

"ฝากเตือนให้ประชาชนตระหนักในการใช้โซเชียลมีเดียอย่างมีความรับผิดชอบ ระมัดระวังไม่ละเมิดกฎหมาย ไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลตามรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะไม่ละเมิดสถาบันหลักของชาติ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนยันว่าจะบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น" นายพุทธิพงษ์ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top