‘อัครเดช’ ยัน ‘รทสช.’ ไม่ขอโควตารมต. เพิ่ม ปัดมติพรรคเปลี่ยนตัวนายกฯ ดัน ‘พีระพันธุ์’ เสียบ

‘อัครเดช’ ยัน ‘รทสช.’ไม่ขอโควตารมต. เพิ่ม ยึดเก้าอี้เดิม ปัดมติพรรค จี้เปลี่ยนตัวนายกฯ ชี้ให้ฟัง ‘พีระพันธุ์’ คนเดียว อย่าเชื่อข่าวจากคนอื่น แจงไม่ได้ชิ่งสัมภาษณ์สื่อ แต่รักษามารยาท

(22 มิ.ย. 68) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวว่าพรรค รทสช. ต่อรองขอเก้าอี้รัฐมนตรีเพิ่มในการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งนี้ ว่า เรื่องดังกล่าวไม่มีแน่นอน ตนได้พูดคุยกับผู้บริหารพรรค ยืนยันว่าพรรค รทสช.ไม่มีการต่อรองเพิ่ม

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่าไม่ได้ขอโควตารัฐมนตรีว่าการ เพิ่มอีก 1 เก้าอี้ใช่หรือไม่ นายอัครเดช กล่าวว่า ถ้าสมมุติมีการร่วมรัฐบาลต่อ พรรคก็จะยืนยันตำแหน่งโควตารัฐมนตรี 4 ตำแหน่งตามเดิม ส่วนบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งนั้น กลไกของพรรคได้มอบอำนาจให้นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค รทสช. เป็นผู้ตัดสินใจ

เมื่อถามว่ามีหลายคนในพรรคออกมาให้ข่าวมติของพรรค รทสช.คือขอให้เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี ไม่เช่นนั้นก็ไม่ร่วมรัฐบาล นายอัครเดช กล่าวว่า เรื่องมติพรรค ที่ผ่านมามีกระแสข่าวจากหลายที่ และมีคนออกมาให้สัมภาษณ์ อย่างไรก็ตาม มติพรรคที่ถูกต้อง จะต้องมาจากนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครทสช.พียงผู้เดียว เพราะพรรคได้มีมติให้นายพีระพันธุ์ เป็นคนพูดคนเดียว ซึ่งมติพรรคระบุรายละเอียดไว้ชัดเจนว่าใครเป็นผู้แถลง

“การที่มีแหล่งข่าวจากที่ต่างๆให้สัมภาษณ์ ก็อย่าเพิ่งไปเชื่อ ขอให้ฟังจากหัวหน้าพรรคเพียงคนเดียว” นายอัครเดช กล่าว

เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่า มีการเสนอให้เปลี่ยนตัวนายกฯ เป็นนายพีระพันธุ์ ทางนายอัครเดช กล่าวว่า ไม่มี ในวันที่ประชุมกรรมการบริหารพรรค เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน ที่ผ่านมา เราคุยกันแค่เพียงว่า จะทำยังไงเพื่อไม่ให้เกิดการยุบสภา เพราะจะทำให้เกิดผลกระทบกับประเทศหลายอย่าง ทั้ง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ที่ค้างอยู่ ซึ่งนายพีระพันธุ์เป็นห่วงเรื่องนี้มาก ส่วนการผลักดันให้นายพีระพันธุ์เป็นนายกฯนั้น ยืนยันว่าไม่มีการหารือเรื่องนี้ในที่ประชุมแน่นอน ตนการันตี ดังนั้นการให้ข่าวจากบุคคลอื่น จึงไม่สามารถรับฟังได้

นายอัครเดช กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่นายพีระพันธุ์ ไม่ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหลังการประชุมกรรมการบริหารพรรคนั้น เพราะกลัวเสียมารยาท เนื่องจากอยากให้นายกรัฐมนตรีรู้จากตัวท่านโดยตรง ไม่ใช่รู้ผ่านจากสื่อ เพราะเป็นมารยาททางการเมือง