8 วิธีการลงโทษสตรีที่โหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ การกดขี่จากบุรุษเพศ ที่ ‘สตรีต้องนิ่งเฉยและเชื่อฟัง’
ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่ผ่านมา 'สตรี' มักเป็นฝ่ายที่ถูกลงโทษอย่างรุนแรงและน่าสยดสยอง ซึ่งสะท้อนถึงความเหยียดเพศและเกลียดชังที่หยั่งรากลึกในวัฒนธรรมต่าง ๆ
ที่สำคัญการลงโทษสุดโหดร้ายเหล่านี้ ถูกวางให้เป็นเครื่องมือในการรักษาและจัดระเบียบทางสังคมโดยมีบุรุษเป็นใหญ่ เพื่อใช้ในการควบคุม ป้องปราม และเข้มงวดต่อพฤติกรรมของสตรี
บทความนี้จะเจาะลึกประวัติศาสตร์อันมืดมนของการลงโทษเหล่านี้ โดยตรวจสอบต้นกำเนิด วิธีการ และทัศนคติของสังคมที่สนับสนุนความโหดร้ายที่รุนแรงดังกล่าว ที่กลายมาเป็นมรดกอันมืดมนตลอดห้วงประวัติศาสตร์ ภายใต้บรรทัดฐานทางสังคม ที่มักจะมีอคติต่อสตรีมาเป็นตัวตัดสินอย่างชัดเจน
ทั้งนี้ วิธีการลงโทษที่ใช้กับสตรี มักถูกออกแบบมาเพื่อมุ่งเป้าไปยัง ร่างกาย พฤติกรรม และบทบาทของพวกเธอในสังคม โดยการลงโทษเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงการแก้แค้นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการรักษาโครงสร้างสังคมที่บุรุษเป็นใหญ่ ซึ่งสตรีถูกคาดหวังให้ต้องยอมจำนนและเงียบเฉย ตั้งแต่ยุโรปในยุคกลาง ไปจนถึงการล่าแม่มดในโลกยุคใหม่
แล้วการลงโทษที่เลวร้ายที่สุดบางส่วนที่สตรีต้องเผชิญ มีอะไรบ้าง?
1. ‘บังเหียนสำหรับหญิงปากมาก’ (The Scold’s Bridle) : อุปกรณ์ที่ทำให้สตรีที่พูดตรงไปตรงมาเงียบเสียง อังกฤษและสกอตแลนด์ในศตวรรษที่ 16 และ 17 สตรีที่ถูกมองว่า พูดตรงไปตรงมาหรือชอบแสดงความคิดเห็น มักจะถูกลงโทษด้วยอุปกรณ์ที่เรียกว่า 'หน้ากากโลหะ' หรือเรียกอีกอย่างว่า ‘Branks’ ออกแบบมาเพื่อทำให้ผู้ถูกสวมใส่เงียบเสียงโดยการล็อกศีรษะและใส่ที่ปิดปากที่มีหนามแหลมคมเข้าไปในปาก ซึ่งสามารถเจาะลิ้นได้หากสตรีผู้นั้นพยายามที่จะพูด ซึ่งไม่เพียงแต่เจ็บปวดเท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้สวมใส่ได้รับความอับอายอีกด้วย เนื่องจากสตรีเหล่านั้นมักจะถูกพาเดินไปตามท้องถนนพร้อมกับสวมมัน
สำหรับการลงโทษนี้ เป็นความพยายามที่ชัดเจนในการบังคับใช้บรรทัดฐานทางสังคมที่กำหนดว่าสตรีควรได้รับการมองเห็น แต่ไม่ควรได้รับการได้ยิน เป็นเครื่องมือที่ทั้งในการสร้างความเจ็บปวดทางร่างกายและการควบคุมทางสังคม ช่วยให้สตรีที่พูดจาไม่สมควรได้รับความอับอายต่อหน้าธารกำนัล ผลกระทบของการลงโทษนี้ขยายออกไปไกลเกินกว่าความเจ็บปวดทางร่างกาย เนื่องจากตอกย้ำความเชื่อของสังคมในยุคนั้นที่ว่า ‘สตรีต้องนิ่งเฉยและเชื่อฟัง’
2. ‘ไวโอลินของหญิงปากร้าย’ (The Shrew’s Fiddle) : เครื่องมือสำหรับควบคุมสตรีที่ 'ดื้อรั้น' เช่นเดียวกับ ‘บังเหียนสำหรับหญิงพูดมาก’ โดย ‘ไวโอลินของหญิงปากร้าย’ เป็นอุปกรณ์อีกชนิดหนึ่งที่ใช้ลงโทษสตรีที่ถูกมองว่าดื้อรั้นหรือเป็นอิสระเกินไป ซึ่งอุปกรณ์นี้จะล็อกศีรษะและมือของสตรีไว้ในโครงสร้างไม้เพียงอันเดียว ทำให้เธอเคลื่อนไหวไม่ได้และถูกบังคับให้ต้องทนกับการล้อเลียนในที่สาธารณะ
ทั้งนี้ คำว่า 'Shrew' มักใช้เพื่ออธิบายถึงสตรีที่ไม่ปฏิบัติตามบทบาทที่ต้องยอมจำนนตามที่สังคมคาดหวัง Shrew's Fiddle เป็นการลงโทษทั่วไปในบางส่วนของยุโรป โดยเฉพาะในเยอรมนีและออสเตรีย ซึ่งใช้เพื่อบังคับให้สตรีต้องยอมจำนน เป็นการเน้นย้ำถึงความพยายามที่สังคมในยุคนั้นจะดำเนินการเพื่อรักษาการกดขี่และบังคับควบคุมสตรี
3. ‘การล่าแม่มดและการเผา’ (Witch Hunts and Burnings) : การข่มเหงทางเพศขั้นสุดยอด บทหนึ่งในประวัติศาสตร์การลงโทษสตรีที่โหดที่สุดคือ การล่าแม่มดที่เกิดขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 ถึงศตวรรษที่ 18 สตรีที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด มักถูกทรมานอย่างโหดร้าย เพื่อให้รับสารภาพก่อนจะถูกประหารชีวิต โดยปกติแล้วจะถูกเผาโดยผูกไว้กับเสา
ทั้งนี้การล่าแม่มด ยังเป็นการแสดงออกถึงการเกลียดชังสตรีที่หยั่งรากลึก โดยสตรีที่เบี่ยงเบนจากบรรทัดฐานทางสังคมหรือผู้ที่เปราะบาง (เช่น แม่ม่ายหรือหมอแผนโบราณ) จะถูกมองว่าเป็นพวกแม่มด ความกลัวและความเกลียดชังสตรีที่ถูกมองว่ามีอำนาจเหนือโครงสร้างสังคมที่บุรุษครอบงำ ทำให้มีผู้เสียชีวิตด้วยสาเหตุนี้หลายหมื่นคนทั่วทั้งยุโรปและอเมริกาในยุคอาณานิคม
โดยวิธีการที่ใช้ในการทรมานสตรีที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดนั้นหลากหลายและน่าสยดสยอง ด้วยเทคนิคต่าง ๆ ได้แก่ การยืดแขนขาของเหยื่อให้ยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ และการแช่น้ำ โดยให้สตรีแช่น้ำเย็นเพื่อตัดสินความผิดของตนเอง และผู้ที่ลอยน้ำถือเป็นแม่มด ส่วนผู้ที่จมน้ำถือเป็นผู้บริสุทธิ์ ขณะที่การพิจารณาคดีก็ใช้วิธีพิสดารและป่าเถื่อน โดยมักมีการบังคับให้สารภาพภายใต้การบังคับทารุณอย่างหนัก จนผู้ถูกทรมานต้องรับสารภาพและไม่สามารถหลีกเลี่ยงการประหารชีวิตได้
4. ‘เก้าอี้คุกเข่าและเก้าอี้ก้มตัว’ (The Cucking and Ducking Stools) : จากความอับอายสู่ความตาย ‘เก้าอี้คุกเข่า’ (The Cucking Stools) เป็นเก้าอี้ไม้ที่ใช้สำหรับมัดสตรีที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด เช่น ดุด่า ล่วงประเวณี หรือทำผิดกฎหมาย ต้องอับอายต่อหน้าธารกำนัล สตรีผู้นั้นจะถูกมัดกับเก้าอี้และต้องเดินไปตามถนน โดยถูกล้อเลียนและข่มเหงจากประชาชน ซึ่ง ‘เก้าอี้ค้อมตัว’ (The Ducking Stools) เป็นรูปแบบที่โหดร้ายมาก โดยสตรีผู้นั้นจะผูกติดกับเก้าอี้ซึ่งผูกติดกับคันโยกยาว และถูกจุ่มลงไปในแม่น้ำหรือบ่อน้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งเก้าอี้ก้มตัวนั้น ถือเป็นการทรมานที่อันตรายอย่างยิ่ง เนื่องจากหากทำซ้ำ ๆ อาจทำให้สตรีผู้นั้นจมน้ำจนเสียชีวิตได้
ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงจาก ‘เก้าอี้คุกเข่า’ เป็น ‘เก้าอี้ค้อมตัว’ แสดงถึงความรุนแรงของการลงโทษสตรีที่เพิ่มมากขึ้น แม้ว่า แต่เดิม ‘เก้าอี้คุกเข่า’ จะเป็นเพียงเครื่องมือสำหรับการทำให้ขายหน้าในที่สาธารณะเป็นหลัก แต่ ‘เก้าอี้ค้อมตัว’ ยังเพิ่มองค์ประกอบของความรุนแรงทางกายภาพอีกด้วย วิธีนี้มักใช้กับสตรีที่ถูกกล่าวหาว่าทำพิธีกรรมเวทมนตร์หรือก่ออาชญากรรม 'ทางศีลธรรม' อื่น ๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเต็มใจของสังคมที่จะทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรงเพื่อบังคับให้ปฏิบัติตามบรรทัดฐานทางสังคมในยุคนั้น
5. การทำร้ายร่างกายและการตีตรา (Mutilation and Branding) : ตราบาปตลอดชีวิต ในบางวัฒนธรรม สตรีที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดในคดี เช่น ล่วงประเวณีหรือค้าประเวณี จะถูกทำร้ายร่างกายเพื่อเป็นการลงโทษ ที่อาจรวมถึงการตัดจมูกหรือหู ซึ่งเป็นการกระทำที่ตั้งใจจะทำเครื่องหมายให้สตรีผู้นั้นเป็นคนนอกสังคมอย่างถาวร โดยในยุคกลาง ตัวอย่างเช่น ในฝรั่งเศส สตรีที่ถูกกล่าวหาว่าล่วงประเวณีอาจถูกตัดจมูก ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ดำเนินมาในรูปแบบต่าง ๆ จนกระทั่งถึงยุคสมัยใหม่ตอนต้น โสเภณีมักถูกตีตราด้วยเหล็กเผา มักจะตีที่ใบหน้าหรือไหล่ เพื่อให้พวกเธอได้รับการตราหน้าว่าทำผิดตลอดชีวิต หรือนายทาสมักจะตีตราเครื่องหมายบนตัวทาส
ทั้งนี้ การทำร้ายร่างกายมีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ เป็นการลงโทษที่สร้างความเจ็บปวดในทันที ซึ่งจะส่งผลตามมาในระยะยาว และยังเป็นการเตือนใจถึงการกระทำผิดของสตรีผู้นั้นด้วย ที่สำคัญการตีตราโสเภณี ไม่เพียงแต่เป็นการลงโทษเท่านั้น แต่ยังเป็นการควบคุมอีกด้วย โดยการตีตราสตรีเหล่านี้ เป็นการสร้างสถานะที่ถูกละเลยของพวกเธอของสังคมในสมัยนั้น และรับรองว่าพวกเธอจะไม่สามารถกลับคืนสู่สังคมได้อย่างสมบูรณ์
6. วงล้อทำลายล้างและความน่ากลัวอื่น ๆ ในยุคกลาง (The Breaking Wheel and Other Medieval Terrors) หรือที่เรียกอีกอย่างว่า 'วงล้อแคทเธอรีน' เป็นอุปกรณ์ที่น่ากลัวซึ่งใช้ในยุโรปยุคกลางเป็นหลัก โดยการมัดเหยื่อไว้กับวงล้อไม้ขนาดใหญ่ จากนั้นหักแขนขาของเหยื่อด้วยค้อนหรือแท่งเหล็ก
สำหรับวิธีการทรมานนี้ บางครั้งใช้กับสตรี โดยเฉพาะผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าก่ออาชญากรรมร้ายแรง เช่น เป็นพวกนอกรีต หรือฆ่าเด็ก ซึ่งตัววงล้อทำลายล้างไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อฆ่าคนอย่างรวดเร็ว แต่กลับทำให้ต้องทนทุกข์ทรมานนานขึ้น โดยเหยื่อบางคนอาจถูกปล่อยให้ตายอย่างช้าๆ เป็นเวลาหลายวัน เพื่อเป็นการเตือนสติผู้อื่น และแม้ว่าสตรีจะถูกกระทำในลักษณะนี้น้อยกว่าบุรุษ แต่ก็ไม่ได้พ้นจากความโหดร้ายนี้ ดังนั้นวงล้อจึงถือเป็นสัญลักษณ์ของมาตรการสุดโต่งที่สังคมจะใช้ลงโทษผู้ที่ละเมิดขอบเขตอันเข้มงวดที่กำหนดโดยศาสนาและบรรทัดฐานทางสังคมในสมัยนั้น
7. การถลกหนังทั้งเป็น (Flaying Alive) : ชะตากรรมที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตาย เป็นรูปแบบการลงโทษแบบโบราณที่ยังคงใช้มาจนถึงยุคกลาง แม้ว่าจะนิยมใช้กับบุรุษมากกว่า แต่ก็มีกรณีของการลงโทษอันน่าสยดสยองนี้ที่สตรีต้องเผชิญ โดยเฉพาะผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าก่ออาชญากรรมร้ายแรง เช่น กบฏหรือทำเวทมนตร์
ทั้งนี้ การถลกหนังมีจุดประสงค์เพื่อให้เจ็บปวดและอับอายมากที่สุด โดยบางครั้งเหยื่อจะถูกปล่อยให้มีชีวิตอยู่ระหว่างการถลกหนังสัตว์ เพื่อยืดเวลาการทนทุกข์ทรมาน การถลกหนังมีรากฐานมาจากวัฒนธรรมอัสซีเรียโบราณ แต่ยังคงใช้กันมาจนถึงยุคกลางในยุโรปและตะวันออกกลาง ซึ่งบันทึกทางประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่ากระบวนการทรมานนี้จะดำเนินไปอย่างช้ามาก เพราะมันถูกออกแบบมาเพื่อให้เจ็บปวดมากที่สุด และส่วนใหญ่เหยื่อมักจะเสียชีวิตจากอาการช็อกหรือเสียเลือด แต่ไม่ใช่ก่อนที่จะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างที่ไม่สามารถจินตนาการได้ ... สำหรับสตรี การลงโทษนี้ไม่ใช่แค่การล้างแค้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการลิดรอนความเป็นมนุษย์ในความหมายที่แท้จริงที่สุดอีกด้วย
8. เสื้อคลุมคนเมา (The Drunkard’s Cloak) : เป็นการทำให้ผู้ถูกลงโทษขายหน้าต่อสาธารณะและถูกล้อเลียน เป็นการลงโทษที่แปลกประหลาดและน่าอับอาย ซึ่งใช้กันในอังกฤษในศตวรรษที่ 17 เป็นส่วนใหญ่ และบางครั้งก็ใช้ในส่วนอื่น ๆ ของยุโรป การลงโทษนี้มักสงวนไว้สำหรับบุคคลทั้งสตรีและบุรุษที่ถือว่าเป็นคนขี้เมาเป็นประจำ โดยผู้กระทำความผิดจะถูกบังคับให้เข้าไปในถังไม้ขนาดใหญ่ที่เจาะรูไว้สำหรับหัว แขน และขา ทำให้ดูเหมือนเป็นถังไม้ขนาดเท่าคน เมื่อถูกขังแล้ว ผู้กระทำความผิดจะถูกพาเดินไปทั่วถนน ทำให้ชาวเมืองที่พบเห็นพากันล้อเลียนและหัวเราะ เพื่อทำให้ผู้กระทำความผิดอับอายต่อสาธารณะสำหรับนิสัยการดื่มสุราที่มากเกินไป ด้วยใช้การล้อเลียนเป็นเครื่องป้องกัน
สำหรับการลงโทษนี้ ไม่เพียงแต่สร้างความอึดอัดทางร่างกายเท่านั้น แต่ยังเป็นการย่ำยีศักดิ์ศรีของชุมชนนั้น ๆ อีกด้วย ถือเป็นการตอกย้ำมาตรฐานทางศีลธรรมของชุมชนที่แสดงออกผ่านความอับอายของผู้ถูกลงโทษ
โดยสรุปแล้ว การที่สตรีต้องเผชิญกับการลงโทษที่รุนแรงเช่นนี้ในประวัติศาสตร์ เพราะสังคมส่วนใหญ่มักเป็นสังคมที่บุรุษเป็นใหญ่ ดังนั้นการลงโทษเหล่านี้จึงใช้เป็นเครื่องมือในการบังคับใช้บรรทัดฐานทางสังคม ปราบปรามความเห็นต่าง และควบคุมพฤติกรรมของสตรี การเบี่ยงเบนจากบทบาทที่คาดหวัง เช่น การพูดจาตรงไปตรงมา การสำส่อน หรือความเป็นอิสระ มักจะได้รับการปฏิบัติที่รุนแรงเพื่อสร้างความกลัวและรักษาสถานะเดิมเอาไว้
ในขณะที่การลงโทษบางอย่าง ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับสตรี การลงโทษอื่น ๆ เช่น การหักล้อหรือการถลกหนัง ใช้กับทั้งบุรุษและสตรี อย่างไรก็ตาม เมื่อใช้กับสตรี การลงโทษเหล่านี้มักจะมาพร้อมกับองค์ประกอบเพิ่มเติมของการดูหมิ่นหรือเหยียดหยามทางเพศ ซึ่งสะท้อนถึงอคติทางเพศในสมัยนั้น
ทว่า การลงโทษที่รุนแรงส่วนใหญ่ที่กล่าวถึงนั้นถูกยกเลิกไปในศตวรรษที่ 18 และ 19 เมื่อบรรทัดฐานทางสังคมพัฒนาขึ้นและมีการปฏิรูปกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม การทำให้ขายหน้าต่อสาธารณะและความรุนแรงทางเพศในรูปแบบต่าง ๆ ยังคงเกิดขึ้นอยู่ทั่วโลก แม้ว่าจะไม่ใช่รูปแบบที่รุนแรงเหมือนในอดีตก็ตาม หรือสตรีบางคนก็เลือกต่อต้านการลงโทษเหล่านี้ด้วยการหลบหนี ท้าทาย หรือใช้ความสัมพันธ์ทางสังคมและการเมืองเพื่อหลีกเลี่ยงการลงโทษ เพียงแต่การต่อต้าน ก็ถือเป็นเรื่องยากและมักประสบกับผลกระทบที่รุนแรงกว่า ทำให้เกิดขึ้นได้ยากและอันตราย และสังคมในยุคสมัยนั้นให้เหตุผลสำหรับการลงโทษเหล่านี้ผ่านกรอบทางศาสนา กฎหมาย และศีลธรรม เพื่อแสดงให้เห็นว่า สตรีเป็นคนบาปโดยกำเนิด อ่อนแอ หรือเป็นอันตราย จนสังคมในยุคสมัยนั้นมองว่า สตรีเป็นภัยคุกคามต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม จึงมีเหตุผลในการใช้มาตรการที่รุนแรงเพื่อควบคุมและแก้ไขพวกเธอ
การลงโทษสตรีอย่างเหี้ยมโหดในประวัติศาสตร์ เป็นเครื่องเตือนใจที่น่าหดหู่ใจถึงความพยายามของสังคมในการควบคุมและกดขี่ประชากรครึ่งหนึ่ง วิธีการอันโหดร้ายต่าง ๆ เหล่านี้ มิใช่เพียงการกระทำอันโหดร้ายเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือกดขี่ที่จงใจใช้เพื่อรักษาลำดับชั้นทางสังคมที่เข้มงวด ซึ่งให้สตรีอยู่อันดับล่างสุด และถึงแม้ว่าการปฏิบัติเหล่านี้หลายอย่างจะถูกละทิ้งไปนานแล้ว แต่มรดกของการปฏิบัติเหล่านี้ยังคงหลงเหลืออยู่ จึงยังคงมีการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมทางเพศและการต่อต้านความรุนแรงทางเพศ
ดังนั้น การทำความเข้าใจในบริบทที่มืดมนจากประวัติศาสตร์เหล่านี้ จึงถือเป็นความสำคัญที่ไม่เพียงแต่เพื่อรับรู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการยอมรับอคติที่หยั่งรากลึก ซึ่งยังคงมีอิทธิพลต่อทัศนคติของสังคมที่มีต่อสตรีในปัจจุบัน ภายใต้การหันมาร่วมพินิจไตร่ตรองถึงความอยุติธรรมในอดีต ที่จะช่วยส่งต่อให้ผู้คนในยุคสมัยใหม่ลุกขึ้นมาท้าทายและรื้อระบบที่ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันทางเพศอย่างต่อเนื่องอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
เรื่อง: ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล
👍 ติดตามผลงาน อาจารย์ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล เพิ่มเติมได้ที่ : https://thestatestimes.com/author/ดร.ปุณกฤษ%20ลลิตธนมงคล