แลกกันคนละหมัด 'ประชาธิปัตย์' vs 'ภูมิใจไทย' เลือกตั้งครั้งใหม่ ความเกรงใจคงไม่ต้องมีให้กัน

น่าสนใจยิ่งกับการช่วงชิงฐานทางการเมืองในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคภูมิใจไทย ถึงขั้น 'อนุทิน ชาญวีรกูล' หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ลั่นวาจาออกมาแล้วว่า “เลือกตั้งครั้งหน้าจะได้ไม่ต้องเกรงใจกัน”

ที่กล่าวมาต้องการสื่อให้เห็นว่า เกมแย่งชิงพื้นที่ภาคใต้ถูกลากเข้ามาเล่นกันในสภาแล้ว 'ประชาธิปัตย์ จับมือกับ 'เพื่อไทย' ให้ถอน พ.ร.บ.กัญชา - กัญชง ออกไปปรับปรุงก่อน เพื่อให้ครอบคลุมการควบคุมดูแลเด็กและเยาวชนในการเข้าถึงกัญชา กัญชง รวมถึงต้องการให้กัญชา กัญชง เป็นยาเพื่อการแพทย์อย่างแท้จริง โดยมี สาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ นำทีม 

แน่นอนว่า โดยธรรมชาติของกฎหมายจากฟากรัฐบาลนั้น ยังไงทางฝ่ายค้าน โดยเฉพาะอย่างพรรคเพื่อไทย เขาก็ต้องออกมาคัดค้านอยู่แล้ว แต่การที่พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลมาร่วมค้านด้วย ย่อมเป็นประเด็นที่ทำให้พรรคภูมิใจไทยไม่พอใจ

“คนที่พูดในสภา ผมฟังแล้วไม่รู้จะเถียงอย่างไร ในเมื่อไม่ใช่ความจริง เอาการเมืองนำผลประโยชน์ของประชาชน ก็จะเห็นว่าสภาพปัจจุบันเป็นอย่างไร ผู้สื่อข่าวยังคิดได้เลย ใกล้ช่วงเลือกตั้งเลยเอาเรื่องการเมืองมาโยงเพื่อหาคะแนน” อนุทินกล่าวและว่า

“ดีเสียอีกที่เป็นแบบนี้ พรรคร่วมรัฐบาลไม่สนับสนุนกันเอง ใกล้เลือกตั้งที่จะถึง ก็จะได้ไม่ต้องเกรงใจ” 

ด้าน สาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ย้ำจุดยืนพรรคประชาธิปัตย์ ว่า ไม่ได้คัดค้านร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กัญชา กัญชง (ฉบับที่...) พ.ศ. ... โดยเฉพาะการใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ หรือใช้เป็นพืชเศรษฐกิจ แต่มีเจตนาที่ต้องการเห็นเนื้อหาในการกำกับควบคุมการใช้กัญชา ให้อยู่ในกรอบที่คำนึงถึงผลกระทบต่อเด็ก และเยาวชน เนื่องจากร่างกฎหมายที่รับหลักการ และผ่านการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.กัญชาฯ มีการแก้ไขโดยเพิ่มเนื้อหาจำนวนมาก จากเดิมมี 45 มาตรา แต่คณะ กมธ. ปรับแก้เพิ่มเป็น 95 มาตรา คือ มีการเพิ่มใหม่ 69 มาตรา และมีการตัดบางมาตราทิ้ง โดยเฉพาะมีบางส่วนที่เห็นว่าอาจจะกำกับดูแลควบคุมไม่ดีพอ เช่น การให้ประชาชนทั่วไปขอจดแจ้งปลูกกัญชาครัวเรือนบ้านละ 15 ต้น ใช้เพื่อประโยชน์ในครัวเรือน แต่มีการบัญญัติไว้ว่าเพื่อการบริโภคภายในครัวเรือน เพื่อประโยชน์ในการรักษาสุขภาพ แต่ไม่มีการกำหนดมาตรการควบคุมที่ส่งผลกระทบต่อเด็ก และเยาวชน

“หากไม่ถอนร่างกฎหมายดังกล่าวออกไป อาจทำให้ร่างกฎหมายค้างอยู่ในการพิจารณาของสภา ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถนำไปแก้ไขปรับปรุงให้เกิดความรอบคอบรอบด้านได้ แต่หากถอนออกไป จะทำให้แก้ไขปรับปรุงร่างกฎหมายได้” สาทิตย์ กล่าว

ไม่ใช่แค่ พ.ร.บ.กัญชา กัญชง แต่ในสภายังลามมาถึงการแก้ไข พ.ร.บ.เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ที่มีบางพรรคการเมืองเสนอให้ลดดอกเบี้ยลง เหลือ 2% บ้าง 1% บ้าง 0.50% บ้าง แต่ด้าน พรรคภูมิใจไทย ก็ได้เสนอให้ดอกเบี้ยเป็น 0% คือ ไม่คิดดอกเบี้ย พ่วงท้าย ไม่มีคิดเพิ่มสำหรับคนผิดนัด ไม่ต้องมีคนค้ำประกัน และให้มีผลย้อนหลังด้วย

จะเรียกว่า พรรคภูมิใจไทย หาเสียงกับ กยศ.เต็มสูบ เพื่อยกมาเป็นผลงานของพรรคเลยก็ไม่ผิด ทั้งๆ ที่แต่ข้อเท็จจริงแล้ว เรื่องเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา เป็นนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ที่ริเริ่มขึ้นมาสมัย 'นายหัวชวน' ครั้นเป็นนายกรัฐมนตรี

และนั่นก็ทำให้ก่อนหน้า ได้มีข้อท้วงติงมากมายกับการแก้กฎใหม่ของเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา โดยเฉพาะในประเด็นของการไม่คิดดอกเบี้ย ไม่เอาเรื่องเอาราวกับคนผิดนัด ซึ่งมันจะทำให้นักศึกษาที่กู้ยืมเงินไปบางคนขาดระเบียบ ขาดวินัยทางการเงิน คือมีงานทำแล้วก็ไม่จ่าย ไม่หนีไปไหน เพราะดอกเบี้ยก็ไม่มี ไม่มีคนตามทวงเงินกู้ นายประกันก็ไม่ต้อง อนาคตของเงินกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาจะเป็นอย่างไร จะขาดสภาพคล่องไหม? เมื่อเงินเก่าไม่ไหลคืน รัฐบาลต้องตั้งงบใหม่เข้ากองทุนงั้นเหรอ? ยังมีงบบริหารจัดการอีกปีละ 2,000 กว่าล้าน จะเอามาจากไหน? โอ๊ย!! สารพัด!!

แล้วคนที่มีวินัยทางการเงิน จ่ายครบ ไม่บิดไม่เบี้ยว มันจะเป็นธรรมกับคนเหล่านี้ไหม? เข้าใจได้ว่ากฎหมายล้าสมัยก็ต้องมีการปรับปรุง แต่การปรับปรุงแบบ 'สุดซอย' เช่นนี้ มันจะส่งผลกระทบต่ออนาคตเพียงใด? ใครจะรับผิดชอบ? ต้องเจียดเงินจากภาษีประชาชนไปโปะทุกปีจากการออกนโยบายหาเสียงแบบสุดโต่งงั้นเหรอ?

อันที่จริงแล้ว หากย้อนกลับไปถึงปฐมเหตุของเรื่องความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาลระหว่าง 'ประชาธิปัตย์' กับ 'ภูมิใจไทย' นั้น มีมานานพอควร แต่ขยายผลมากขึ้นเมื่อพรรคภูมิใจไทยประกาศจะยึดพื้นที่ 6 จังหวัดฝั่งอันดามัน 15 ที่นั่ง ตั้งแต่ ระนอง, ภูเก็ต, พังงา, กระบี่, ตรัง และสตูล ซึ่งพื้นที่เหล่านี้เดิมเป็นของประชาธิปัตย์ทั้งหมด และนั่นก็ทำให้ประชาธิปัตย์ กร้าว!! ประกาศเป็นยุทธศาสตร์เลยว่า ต่อจากนี้จะต้องยึดคืนพื้นที่หลังจากครั้งเลือกตั้งปี 2562 ได้สูญเสียที่นั่งหลายพื้นที่ให้กับพรรคภูมิใจไทย และพรรคพลังประชารัฐ

เมื่อพิจารณาจากสองสามประเด็นนี้ จึงไม่แปลกใจเลยว่า ปมความขัดแย้งระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคภูมิใจไทย เหตุใดจึงยิ่งขยาย 'กว้าง-ลึก' ออกไปจนยากจะประสาน ก่อนหน้านี้อาจจะเจ็บลึกกันอยู่ในใจ แต่เวลานี้เปิดหน้าแลกหมัดกันได้แบบไร้ความเกรงใจ

แถมต่อจากนี้ ยังมีนโยบายกระจายอำนาจให้จับตากันอีกคำรบ เพราะฟากพรรคภูมิใจไทยนั้น เคยประกาศนโยบาย 'ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน' ขณะที่ฝั่งประชาธิปัตย์เขาก็ยืนยันว่าเป็นเจ้านโยบายกระจายอำนาจมาตั้งแต่ยุคก่อตั้งพรรค ที่ถูกบรรจุไว้เป็น 1 ใน 10 ของนโยบาย และขยายผลต่อยอดมาอย่างต่อเนื่อง จะมาเคลมกันง่ายๆ ได้อย่างไรกัน

ฉะนั้นต้องติดตามดูว่า จะมีพรรคไหนไปไกลสุดโต่ง ประกาศเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด, ยกเลิกราชการส่วนภูมิภาค, ยกเลิกกำนัน, ผู้ใหญ่บ้าน หรืออาจจะแค่ยกฐานะเมืองใหญ่ในรูปแบบจังหวัดจัดการตนเอง อันเป็นการนำร่องไปก่อนบ้าง

อ้อ!! แต่ที่แน่ๆ พรรคก้าวไกล ก้าวไปก่อนแล้วกับแนวทาง 'ปลดล็อกท้องถิ่น' เลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด, ยกเลิกนายอำเภอ, กำนัน, ผู้ใหญ่บ้าน 

เอวัง...นโยบายกระจายอำนาจนี้ จึงน่าจะเป็นอีกนโยบายที่ช่วงชิงความเป็น 'เจ้า' ระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ กับ พรรคภูมิใจไทย ลำดับถัดไป