Wednesday, 4 June 2025
WORLD

นักศึกษารัสเซีย ผุดไอเดียขอรับบริจาคบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อนำชิ้นส่วนภายในไปผลิตเป็นโดรนรบกับยูเครน

โดยทั่วไปแล้ว หลายประเทศมักมีแคมเปญรณรงค์ให้นักศึกษาเลิกสูบบุหรี่ไฟฟ้า ด้วยการยกเหตุผลด้านสุขภาพ ซึ่งหาก ‘ลด-ละ-เลิก’ ได้ ก็จะส่งผลดีต่อร่างกายในระยะยาว 

แต่ทว่า ที่ ‘รัสเซีย’ กลับมีแคมเปญที่แปลกกว่านั้น คือ ขอบริจาคบุหรี่ไฟฟ้า...เพื่อชาติ!!

แคมเปญดังกล่าวนี้ ถูกจัดขึ้นโดยนักศึกษาจากชมรม Falcon Patriotic Military Club ของ University of Samara ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของรัสเซีย ที่ผุดแคมเปญสุดพิสดาร ด้วยการผสมผสานไอเดียที่ใช้รณรงค์ลดการสูบบุหรี่ไฟฟ้า เข้ากับแนวคิดชาตินิยม 

โดยจะมีการจัดกลุ่มอาสาสมัคร ถือกล่องตระเวนรับบริจาคบุหรี่ไฟฟ้าจากเพื่อนๆ นักศึกษาในสถาบัน ด้วยเหตุผลจูงใจอย่างการสนับสนุนปฏิบัติการทางทหารของรัสเซียในยูเครน

นอกจากนี้ ยังมีการออกใบปลิว และ โปสเตอร์ประกอบแคมเปญด้วยการดัดแปลงภาพสไตล์ย้อนยุคสมัยสหภาพโซเวียต ที่เคยใช้จริงตอนที่รัฐบาลกำลังรณรงค์ให้ชาวรัสเซียลดการดื่มเหล้าวอดก้า เพียงแต่คราวนี้ เปลี่ยนจากวอดก้า เป็นบุหรี่ไฟฟ้าแทน  พร้อมสโลแกนเท่ๆ ว่า…

“1 e-cigarette = 1 drone attack on the enemy!” หรือ “บุหรี่ไฟฟ้า 1 มวน = โดรนพิฆาต 1 ลำ สำหรับโจมตีข้าศึกของเรา”

หลายท่านอาจจะงงว่า เป้าหมายสำคัญของการขอรับบริจาคบุหรี่ไฟฟ้าของนักศึกษากลุ่มนี้ จะมีส่วนให้กองทัพรัสเซีย นำไปใช้ผลิตโดรนพิฆาตในการสู้รบในสงครามรัสเซีย-ยูเครน จริงๆ ได้อย่างไร? ซึ่งเรื่องนี้ทางกลุ่มนักศึกษาเจ้าของแคมเปญ ก็อธิบายว่า... 

“อันที่จริงแล้ว ตัวบุหรี่ไฟฟ้าไม่สามารถนำมาใช้เป็นอาวุธได้ แต่ชิ้นส่วนภายใน เช่น แผงวงจรไมโครและแบตเตอรี สามารถนำไปดัดแปลงใช้ใหม่ในระบบปล่อยกระสุนของโดรนพิฆาตได้”

สำหรับชมรม Falcon Patriotic Military Club ก่อตั้งในปี 2008 มีวัตถุประสงค์ในการปลุกจิตสำนึกรักชาติแก่เยาวชน และ นักศึกษาของรัสเซีย  ซึ่งที่ผ่านมามีการจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง ทั้งให้ความรู้เกี่ยวกับหน้าที่ของทหารในโรงเรียน หรือ รับบริจาคสิ่งของ และจัดส่งของจำเป็นให้กับทหารแนวหน้าในสงครามยูเครน อาทิ โทรศัพท์มือถือ, เตาภาคสนาม, เสื้อผ้า อาหาร ฯลฯ และล่าสุดทำแคมเปญบริจาคบุหรี่ไฟฟ้าเพื่อนำไปผลิตโดรนพิฆาตให้กับกองทัพรัสเซีย 

อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่องนี้เล็ดลอดถึงหูสื่อยูเครน ก็ได้มีการรายงานบลัฟอย่างรวดเร็วว่า “ไอเดียการดัดแปลงบุหรี่ไฟฟ้ามาเป็นโดรนโจมตีนั้น ได้มาจากนักศึกษาของยูเครนต่างหาก โดยสถาบัน Chernivtsi Polytechnic College ทางตะวันตกเฉียงใต้ของยูเครนเคยทำมาก่อนแล้ว  นอกจากนี้ยังมีโปรเจกต์สนับสนุนกองทัพที่ล้ำหน้านั้นอีก ด้วยการพัฒนาโครนโจมตีขนาดจิ๋ว Powerbank สุดอึดที่สามารถชาร์ตโทรศัพท์มือถือได้นานถึง 10 วันอีกด้วย” 

ก็ไม่น่าเชื่อว่าจากแคมเปญเลิกบุหรี่ไฟฟ้า จะกลายมาเป็นไอเดียสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ที่เข้าไปช่วยเสริมศักยภาพในสงครามได้ ภายใต้แนวคิดปลุก ‘จิตสำนึกในความรักชาติ’ 

เพียงแต่มันก็ยังไม่รู้สึกถึงแง่มุมดีๆ ที่จะมีต่อโลกใบนี้ยังไงก็ไม่รู้!! 

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

‘ญี่ปุ่น’ เริ่มทดลองขาย ‘ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน’ ที่ร้านขายยาแล้ว ชี้!! ถือเป็นก้าวสำคัญของประเทศ ที่อนุญาตใช้โดยไร้ใบสั่งแพทย์

เมื่อวานนี้ (28 พ.ย.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ญี่ปุ่นได้เริ่มทดลองจำหน่าย ‘ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน’ (morning-after pills) ที่ร้านขายยาแล้ว ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับการอนุญาตใช้ยาคุมฉุกเฉินได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์

กระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่นรายงานว่า ขณะนี้ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินซึ่งสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ได้ในระดับหนึ่ง หากรับประทานภายใน 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์โดยไม่มีการป้องกัน มีจำหน่ายที่ร้านขายยา 145 แห่งทั่วญี่ปุ่น ราคาประมาณ 7,000-9,000 เยน (ประมาณ 1,640-2,110 บาท)

รายงานระบุว่าผู้หญิงอายุ 16 ปีขึ้นไปที่ยินดีให้ความร่วมมือในการทดลองนี้สามารถซื้อยาดังกล่าวได้ โดยผู้หญิงอายุ 16-17 ปี ต้องได้รับอนุญาตจากพ่อแม่หรือผู้ปกครองก่อน

ร้านขายยาที่ได้รับเลือกให้จำหน่ายยาเพื่อการศึกษาข้างต้น ต้องผ่านเกณฑ์เงื่อนไขบางประการ อาทิ มีเภสัชกรที่ผ่านการอบรมและสามารถจ่ายยาตอนกลางคืน วันหยุดสุดสัปดาห์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ รวมถึงมีห้องให้คำปรึกษาส่วนตัว

ทั้งนี้ ผู้ซื้อยาจะได้รับการร้องขอให้ตอบแบบสอบถามที่จะถูกนำมาใช้ในการศึกษา

ก่อนการทดลองดังกล่าว ผู้หญิงในญี่ปุ่น ซึ่งรวมถึงเหยื่อจากการถูกล่วงละเมิดทางเพศ ต้องไปคลินิกหรือโรงพยาบาลเพื่อรับใบสั่งยาก่อนรับยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน

'เพจประวัติศาสตรพลัส' แชร์!! 'ไกด์พม่า' เผยเหตุผลที่อังกฤษขุดคลองให้ในอดีต เพื่อผลประโยชน์และทรัพย์สมบัติชาติที่วันนี้ยังตกค้างในลอนดอน

(29 พ.ย. 66) จากเพจ 'ประวัติศาสตร์พลัส' โพสต์ข้อความถึงเหตุผลที่ในอดีตอังกฤษขุดคลองให้พม่า ระบุว่า...

ไปพม่าคราวนี้ ผมได้สนทนากับไกด์ท้องถิ่นซึ่งเป็นคนพม่า

ไกด์พม่าบอกว่า…อังกฤษขุดคลองให้ ไม่ใช่หวังดี แต่ขุดเพื่อขนไม้สักล่องน้ำไปปากน้ำ แล้วเอาไม้สักขึ้นเรือที่อันดามัน เพื่อเอาไปขาย

ไกด์พม่าบอกว่า…อังกฤษสร้างถนนให้ ไม่ใช่หวังดี แต่เอาไว้ขนสินค้าของพม่า จะได้เอาไปขายได้สะดวก

ไกด์พม่าบอกว่า…ชุดโบราณงามวิจิตรของกษัตริย์และราชินีที่ตกทอดมา มงกุฎ สมบัติในวังต่าง ๆ พระพุทธรูป อังกฤษบอกว่าจะเอาไปดูแลให้ เอาไว้ที่พม่ากลัวคนพม่าจะทำสมบัติเหล่านี้หาย สุดท้ายสมบัติพวกนี้ก็ไปปรากฎอยู่ในพิพิธภัณฑ์ที่ลอนดอน พม่าขอคืน อังกฤษก็คืนมาเพียงบางส่วน

ไกด์พม่าบอกว่า ส่วนดีก็มี อังกฤษมาวางรากฐานการศึกษาให้ มาวางผังเมืองให้ แต่ถ้าเลือกได้ เขาขออยู่กันเอง ปกครองกันเอง ทุกอาณาจักรย่อมต้องการอิสระเสรี ไม่ต้องการตกอยู่ภายใต้การปกครองของอาณานิคมหรือ อาณาจักรอื่นที่เข้ามาแล้วเหมือนมาปล้นชาติ แล้วเหลือเนื้อติดกระดูกให้คนในชาติเอาไปแทะกิน

ไกด์พม่าบอกว่า ศักดิ์ศรีมันกินไม่ได้หรอกครับ แต่บางครั้ง…มันก็จำเป็นต้องมี เพราะคนเรามักมองไม่เห็นคุณค่าในสิ่งที่ตัวเองมี 

ฟังแล้วก็ให้รู้สึกขอบคุณบรรพบุรุษของเราเหลือเกิน ที่รักษาชาติไทย จนเป็นชาติไทยอยู่จนทุกวันนี้

ขอบพระคุณจริงๆ 🙏🇹🇭

‘กู้ภัยอินเดีย’ ช่วย ‘41 คนงาน’ สำเร็จ!! หลังติดในอุโมงค์ถล่มมานาน 17 วัน

(29 พ.ย.66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เจ้าหน้าที่กู้ภัยอินเดียช่วยเหลือคนงาน 41 คน ที่ติดอยู่ในอุโมงค์ถนนทางตอนเหนือของประเทศ ที่พังถล่มลงมาเมื่อ 17 วันก่อน ได้ครบทั้งหมดแล้ว

โดยเมื่อวานนี้ (28 พ.ย.) เจ้าหน้าที่กู้ภัยอินเดียสามารถช่วยเหลือคนงานก่อสร้าง 41 คน ที่ติดอยู่ในอุโมงค์ที่พังถล่มในรัฐอุตตราขัณฑ์ แถบเทือกเขาหิมาลัย ภาคเหนือของอินเดีย ตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ออกมาได้ทั้งหมดแล้ว ไม่กี่ชั่วโมงหลังสามารถขุดเจาะทะลุเศษหิน ดินและคอนกรีต จนถึงตัวคนงาน

หลังได้รับการช่วยเหลือจากอุโมงค์ คนงานหลายคนที่สวมแจ็กเก็ตกันหนาวสีเข้มและหมวกนิรภัยสีเหลือง ล้วนได้รับการต้อนรับในสไตล์อินเดีย ด้วยพวงมาลัยดอกดาวเรือง โดยมุขมนตรีแห่งรัฐอุตตราขัณฑ์ และรัฐมนตรีช่วยกระทรวงทางหลวงของรัฐบาลกลาง

การอพยพกลุ่มคนงานเริ่มต้นขึ้นหลังจากเจ้าหน้าที่กู้ภัยเจาะท่อเข้าไปในอุโมงค์สำเร็จ แล้วใช้เปลติดล้อเลื่อนดึงคนงานก่อสร้างทั้ง 41 คน ผ่านท่อเหล็กความกว้าง 90 เซนติเมตร กระบวนการทั้งหมดเสร็จสิ้นภายใน 1 ชั่วโมง จากนั้นรถพยาบาลฉุกเฉินนำตัวคนงานจากสถานที่เกิดเหตุมายังโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้เคียงในเมืองชินยาลีซอร์ มุขมนตรีรัฐอุตตราขัณฑ์ แถลงว่า คนงานทั้งหมดจะยังคงพักอยู่ในโรงพยาบาล เพื่อตรวจร่างกายและให้อยู่ในความดูแลของแพทย์

‘เกาหลีเหนือ’ โว!! ‘ดาวเทียมสอดแนม’ ส่องได้ทุกซอกทุกมุม เย้ย ‘มะกัน’ เก็บภาพได้ยันหลังคา ‘ทำเนียบขาว-ตึกเพนตากอน’

(28 พ.ย. 66) ‘KCNA’ สำนักข่าวกลางเกาหลี รายงานว่า ดาวเทียมสอดแนม ‘Malligyong-1’ ที่เพิ่งส่งขึ้นฟ้าไปตัวล่าสุด สามารถถ่ายภาพอาคารทำเนียบขาว, อาคารเพนตากอน และฐานทัพอากาศ ที่เก็บเครื่องบินขนส่งนิวเคลียร์ของสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ และภาพถ่ายเหล่านั้น ก็อยู่ในมือ ‘คิม จอง-อึน’ ผู้นำเกาหลีเหนือเรียบร้อยแล้ว

ปฏิบัติการพัฒนาดาวเทียมสอดแนม เป็นส่วนหนึ่งในภารกิจของหน่วยงาน Pyongyang General Control Center of the National Aerospace Technology Administration ที่ใช้ตัวอักษรย่อว่า ‘NATA’

ที่ล่าสุดสามารถส่งดาวเทียม ‘Malligong-1’ ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศได้สำเร็จ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายนที่ผ่านมา หลังจากที่ล้มเหลวมาแล้วถึง 2 ครั้งในปีนี้

โดยเกาหลีเหนืออ้างว่า ดาวเทียมสอดแนมดวงล่าสุด สามารถถ่ายภาพสถานที่สำคัญทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ได้หลายแห่ง อาทิ อาคารทำเนียบขาว, อาคารเพนตากอน, ฐานทัพเรือนอร์ฟอล์ก และฐานทัพอากาศสหรัฐฯ ในรัฐเวอร์จิเนีย

อีกทั้งยังสามารถเก็บรายละเอียดได้ถึงขนาดที่สามารถระบุได้ว่า เป็นเครื่องบินขนส่งนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ 4 ลำ และเครื่องบินขนส่งของอังกฤษอีก 1 ลำ ในภาพที่ถ่ายจากกองทัพอากาศสหรัฐฯ โดยดาวเทียมสอดแนม

สื่อเกาหลีเหนือรายงานด้วยว่า ผู้นำ คิม จอง-อึน พอใจในผลงานของทีมนักพัฒนาดาวเทียมสอดแนมครั้งนี้เป็นอย่างมาก และได้จัดงานเลี้ยงฉลองให้กับนักวิทยาศาสตร์ของ ‘NATA’ เมื่อช่วงค่ำวันจันทร์ที่ 27 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ด้วยบรรยากาศชื่นมื่น พร้อมนำภาพถ่ายจากดาวเทียมสอดแนมเหนือน่านฟ้าสหรัฐฯ มาแบ่งกันดู

ด้านรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ออกมาประณามโครงการดาวเทียมสอดแนมของทางเปียงยางในทันที โดยกล่าวหาว่า เป็นแค่เพียงความพยายามในการ ‘สร้างโฆษณาชวนเชื่อ’ ของระบอบคิม จอง-อึน ที่จะยิ่งทำให้การเผชิญหน้าในบริเวณชายแดน 2 ฝั่งของเกาหลี มีแต่จะตึงเครียดยิ่งขึ้น

อีกทั้งไม่เชื่อในศักยภาพของดาวเทียมเกาหลีเหนือ ว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายในการสอดแนมได้ เพราะเป็นเพียงคำเคลมจากรัฐบาลเปียงยางเพียงฝ่ายเดียว โดยไม่มีการปล่อยภาพจริงออกมาเป็นหลักฐาน

สอดคล้องกับผู้เชี่ยวชาญในกองทัพเกาหลีใต้ ที่แสดงความเห็นว่า ดาวเทียม ‘Malligyong-1’ อาจประสบความสำเร็จในการเข้าสู่วงโคจรของโลกได้ แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่ามันจะมีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะถ่ายภาพ และส่งข้อมูลกลับมายังโลก และเชื่อว่าน่าจะใช้เทคโนโลยีทางดาวเทียมของ ‘รัสเซีย’ ช่วยมากกว่า

อีกทั้งมาตรการคว่ำบาตรของ ‘องค์การสหประชาชาติ’ ต่อเกาหลีเหนือ ยังครอบคลุมไปถึงการพัฒนาดาวเทียมด้วย เพราะเป็นเทคโนโลยีสำคัญส่วนหนึ่งในโครงการขีปนาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ

‘ลินดา โธมัส-กรีนฟิลด์’ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำองค์การสหประชาชาติ ประท้วงการครอบครองดาวเทียมสอดแนมกลางที่ประชุมสภาความมั่นคงว่า “เกาหลีเหนือมีแรงจูงใจที่ชัดเจน ในการพยายามพัฒนาศักยภาพเทคโนโลยีขีปนาวุธนิวเคลียร์ของตนผ่านโครงการดาวเทียม ที่ขัดกับข้อตกลงของสหประชาชาติอย่างร้ายแรง เป็นการแสดงพฤติกรรมอย่างไร้สำนึกที่ขัดต่อกฎหมายความมั่นคง ที่เป็นการข่มขู่คุกคามประเทศเพื่อนบ้าน และประเทศสมาชิกอื่น ๆ”

ด้าน ‘คิม ซุง’ เอกอัครราชทูตเกาหลีเหนือประจำองค์การสหประชาชาติ ที่น้อยครั้งมากจะปรากฏตัวในที่ประชุมสมัชชาความมั่นคง ก็ได้ออกมาตอบโต้อย่างเผ็ดร้อนเช่นกันว่า “ไม่มีชาติใดในโลกที่กำลังเผชิญวิกฤติด้านความมั่นคงเท่าเกาหลีเหนือ ซึ่งชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาต่างหาก ที่กำลังข่มขู่คุกคามเกาหลีเหนือด้วยอาวุธนิวเคลียร์”

ดังนั้น รัฐบาลเปียงยางก็มีสิทธิอันชอบธรรมที่จะพัฒนา ผลิต หรือ ครอบครองอาวุธที่มีศักยภาพเทียบเท่ากับสหรัฐอเมริกา ที่ถือว่าเป็นประเทศคู่สงคราม

และดาวเทียมสอดแนมคือหนึ่งในเทคโนโลยีนั้น เมื่อสหรัฐอเมริกามีได้ ทำไมเกาหลีเหนือจะมีบ้างไม่ได้ แถมรัฐบาลทำเนียบขาวก็เคยใช้ดาวเทียมส่องหลังคาบ้านเกาหลีเหนือมาหลายครั้งแล้ว เกาหลีเหนือก็เลยขอส่องกลับบ้าง ก็ไม่ถือว่าเป็นการโกงแต่อย่างใด

เพียงแต่ ‘Malligong-1’ ของเกาหลีเหนือจะส่องได้จริงดังที่เคลมหรือเปล่า ยังเป็นปริศนา จนกว่า ผู้นำ คิม จอง-อึน จะอนุมัติให้ปล่อยภาพหลักฐานออกสื่อ เพื่อให้ทุกชาติหายสงสัย

เรื่อง : ยีนส์ อรุณรัตน์

‘อังกฤษ’ เตรียมกำจัด ‘สุนัขอเมริกันบูลลี่ XL’ หากไม่ถูกรับเลี้ยง ขีดเส้นตายภายในสิ้นปีนี้ หลังเกิดเหตุกัดคนบาดเจ็บ-เสียชีวิต

(28 พ.ย.66) องค์กรการกุศลเกี่ยวกับสัตว์ในสหราชอาณาจักร เผยว่า สุนัขอเมริกันบูลลี่ XL หลายร้อยตัวจะถูกการุณยฆาต หากไม่ถูกรับเลี้ยง ภายในวันที่ 31 ธันวาคมนี้ ซึ่งสุนัขพันธุ์นี้เป็นที่ถกเถียงถึงความอันตราย 

ปัจจุบันสุนัขเหล่านี้อาศัยอยู่ในศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ที่ดำเนินการโดย RSPCA, Blue Cross, Battersea Dogs and Cats Home, Dogs Trust และ Mayhew รวมถึงที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ

ภายใต้การแบน ซึ่งมีผลบังคับใช้คือ จะไม่สามารถรับเลี้ยง หรือขายสุนัข อเมริกัน บูลลี่ XL ได้อย่างถูกกฎหมายหลังจากวันที่ 31 ธันวาคม และหากมีการรับเลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้ไปก่อนวันที่ 31 ก็จะมีกฎให้เลี้ยงในคอกสุนัข หรือพื้นที่ปิด รวมถึงต้องใส่สายจูงเมื่ออยู่ในที่สาธารณะอย่างเคร่งครัด

โดยจะมีระยะเวลาให้เจ้าของสุนัขยื่นขอยกเว้นการเป็นเจ้าของสายพันธุ์ต้องห้ามนี้ได้ รวมถึงสุนัขสายพันธุ์นี้ที่อยู่กระจายทั่วประเทศจำเป็นต้องทำหมันภายในเดือนกุมภาพันธ์ด้วย

หลังมีข่าวประชาชนหลายรายโดนกัดจนบาดเจ็บและเสียชีวิต อเมริกันบูลลี่ XL จะกลายเป็นสุนัขพันธุ์ที่ 5 ที่จะถูกแบนในเกาะอังกฤษ ตามหลัง อเมริกันพิทบูลเทอเรีย, โดสะ, โดโก อาร์เจนติโน และ ฟิล่า บราซิเลียโร

แน่นอนว่าการตัดสินใจที่เด็ดขาดของรัฐบาล ส่งผลให้เกิดการถกเถียงกันถึงความเหมาะสม ฝ่ายหนึ่งมองว่า สุนัขพันธุ์นี้อันตรายไม่ควรเลี้ยง แต่อีกฝ่ายหนึ่งเห็นต่าง มองว่าอยู่ที่การควบคุม การเลี้ยงการดูแลของเจ้าของมากกว่า

‘ธนาคารกลางจีน’ จ่ออำนวยความสะดวกด้านการเงิน ‘ภาคเอกชน’ หนุน ‘ออกพันธบัตร-จัดหาเงินทุน’ มุ่งต่อยอดเศรษฐกิจในอนาคต

(28 พ.ย.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ธนาคารประชาชนจีนหรือธนาคารกลางของจีน รายงานแผนการเดินหน้าเพิ่มการสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ประกอบการเอกชน และทำงานเพื่อลดต้นทุนทางการเงินอย่างครอบคลุม

รายงานนโยบายทางการเงินประจำไตรมาสสาม (กรกฎาคม-กันยายน) ของธนาคารฯ ระบุว่าจะมีการสนับสนุนเชิงนโยบายทางการเงินแก่บริษัทเอกชนขนาดย่อมและรายย่อยเพิ่มเติมในระยะต่อไป

การดำเนินมาตรการต่างๆ เช่น กระตุ้นธนาคารพาณิชย์ออกพันธบัตรทางการเงินชนิดพิเศษสำหรับบริษัทขนาดย่อมและรายย่อย รวมถึงสนับสนุนการจัดหาเงินทุนของผู้ประกอบการเอกชนขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อยในห่วงโซ่อุปทาน ได้บรรลุผลลัพธ์เชิงบวก

การสนับสนุนสินเชื่ออย่างครอบคลุมของจีนได้จัดสรรเงินทุนจูงใจแก่บริษัทขนาดเล็กและรายย่อย จำนวน 5.26 หมื่นล้านหยวน (ราว 2.58 แสนล้านบาท) เมื่อนับถึงสิ้นเดือนกันยายน ซึ่งเพิ่มขึ้น 2.51 หมื่นล้านหยวน (ราว 1.25 แสนล้านบาท) จากต้นปีนี้

การปล่อยสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขนาดกลางและขนาดย่อมในไตรมาสสามของปีนี้ มียอดคงค้างรวมอยู่ที่ 2.4 ล้านล้านหยวน (ราว 11.99 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.6 เมื่อเทียบปีต่อปี

รายงานเสริมว่าธนาคารฯ จะดำเนินงานอย่างเป็นระบบในด้านการสนับสนุนทางการเงินแก่ภาคเอกชน เพื่อรับรองการสนับสนุนทางการเงินแก่เศรษฐกิจเอกชนอย่างสอดคล้องกับการมีส่วนส่งเสริมของเศรษฐกิจเอกชนในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ

‘อินเดีย’ อ่วม!! เกิดเหตุฝนฟ้าคะนองรุนแรงผิดปกติ ทำให้ฟ้าผ่าชาวบ้านดับ 24 ศพ บาดเจ็บอีก 27 ราย

(28 พ.ย.66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เกิดฝนตกฟ้าคะนองรุนแรงแบบผิดปกติ ทั่วรัฐคุชราต ทางตะวันตกของอินเดีย โดยมีรายงานว่าเกิดน้ำท่วม ลูกเห็บตกหนัก และมีฟ้าผ่าประชาชนเสียชีวิตอย่างน้อย 24 ศพ นอกจากนี้ บ้านเรือนของประชาชนได้รับความเสียหาย และยังมีผู้บาดเจ็บจากฝนตกหนักแล้วอย่างน้อย 27 ราย

ทางด้านนักอุตุนิยมวิทยา ระบุว่า อุณหภูมิพื้นดินและพื้นผิวทะเลที่สูงขึ้นทำให้เกิดพายุรุนแรงผิดปกติในรัฐคุชราต คาดว่าจะยังมีฝนตกหนักและพายุลูกเห็บอย่างต่อเนื่องอีกหลายวัน ในภาคตะวันตกของอินเดียในสัปดาห์นี้

‘Netflix’ จ่อฟ้องผู้กำกับ ‘Carl Rinsch’ หลังให้ทุนสร้างหนัง 400 ลบ. แต่เจ้าตัวกลับเอาเงินไป ‘ลงทุน-เทรดหุ้น’ จนเกือบหมดหน้าตัก!!

เมื่อไม่นานนี้ ‘Netflix’ ได้มอบเงินลงทุนเพิ่มแก่ ‘Carl Rinsch’ ผู้กำกับซีรีส์ไซไฟ ‘Conquest’ จำนวน 400 ล้านบาท แต่ Rinsch กลับนำเงินทั้งหมดไปลงทุนเทรดหุ้นบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ ‘Gilead Sciences’ และ ‘S&P 500’ จนขาดทุนเกินกว่าครึ่งของเงินทุนที่ได้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม Rinsch ได้กำไรจากการลงทุน ‘Dogecoin’ กว่า 950 ล้านบาท

Carl Rinsch ผู้กำกับซีรีส์ไซไฟ ‘Conquest’ จากค่ายยักษ์ใหญ่ด้านการสตรีมมิ่งอย่าง Netflix ได้รับเงินลงทุนทำหนังมูลค่า 400 ล้านบาท แต่เขากลับสูญเสียเงินไปกว่า 200 ล้านบาท ในการเทรดหุ้นบริษัทยาและ S&P 500 จนทำให้ชาวเน็ตกล่าวว่า “Netflix มีหนังที่มี ‘พล็อตเรื่องที่ดี’ อยู่ในมือแล้ว!!” จากเหตุการณ์ในครั้งนี้

Carl Rinsch ได้ทำการฝากเงินจำนวน 371 ล้านบาท เข้าบัญชีซื้อขายส่วนตัว Charles Schwab และขาดทุนเกินครึ่งจากการเทรดหุ้น บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ Gilead Sciences และ S&P 500

ย้อนกลับไปในปี 2018 แพลตฟอร์ม Netflix ได้ตัดสินใจซื้อซีรีส์ไซไฟ จาก Rinsch มาลงในแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งของตัวเอง และ Netflix ยังได้ให้เงินทุนในการสร้างซีรีส์แก่ผู้กำกับรายนี้กว่า 44 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2020

ภายหลัง Carl Rinsch ยังเรียกร้องเงินเพิ่มอีกจำนวน 11 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จาก Netflix เนื่องจากมีปัญหาความล่าช้าในการถ่ายทำซีรีส์ ซึ่งรวมแล้ว Netflix ได้ให้เงินลงทุนในโครงการนี้ไปทั้งหมดมูลค่า 1.9 พันล้านบาท

แต่ Carl Rinsch ก็สูญเงินดังกล่าวไปอย่างรวดเร็วกว่า 200 ล้านบาท จากทุนเดิม 400 ล้านบาท ที่ได้รับมาไปกับการเทรดหุ้นบริษัทยา Gilead Sciences และ S&P 500

นอกจากนี้ เขาได้ยังลงทุนในตลาดคริปโตเคอร์เรนซี โดยเลือกเหรียญมีมยอดนิยมอย่าง ‘Dogecoin’ โดยลงทุนไปจำนวน 141 ล้านบาท และสามารทำกำไรได้กว่า 950 ล้านบาท ทำให้ Netflix หยุดการลงทุนในโครงการนี้ และในขณะนี้ Netflix ก็กำลังอยู่ในระหว่างการฟ้องร้องกับ Carl Rinsch

‘LINE’ ยอมรับ!! ทำข้อมูลผู้ใช้ ‘รั่วไหล’ กว่า 3 แสนรายการ พร้อมดำเนินการปิดกั้นเรียบร้อย หลังถูกมือที่สามเจาะระบบ

เมื่อวานนี้ (27 พ.ย. 66) รายงานข่าวจาก LY Corporation บริษัทแม่ในญี่ปุ่นของ ‘ไลน์’ (LINE) เปิดเผยว่า บริษัทพบการเข้าถึงระบบภายในจากบุคคลที่สามโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่งผลให้มีการรั่วไหลของข้อมูลผู้ใช้, พันธมิตรธุรกิจ, พนักงานและบุคลากรอื่น ๆ ซึ่งบริษัทได้ทำการบล็อกการเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์จากภายนอกโดยระบบบริษัทในเครือ ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นเส้นทางที่เซิร์ฟเวอร์ถูกเข้าถึงได้

อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่ได้รับรายงานเกี่ยวกับความเสียหายในระยะที่สอง รวมถึงการใช้ข้อมูลของผู้ใช้และพันธมิตรทางธุรกิจในทางที่ผิด แต่บริษัทจะดำเนินการสอบสวนต่อไปและดำเนินการทันทีหากจำเป็นต้องใช้มาตรการที่เคร่งครัด

รายงานระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเครื่องหนึ่งของพนักงานในบริษัทรับช่วงสัญญาในเครือของ NAVER Cloud Corporation ในเกาหลีใต้ และ LY Corporation ได้รับมัลแวร์ เนื่องจากทั้งสองบริษัทมีการแลกเปลี่ยนระบบภายในองค์กรเพื่อจัดการข้อมูลของพนักงานและข้อมูลของบุคลากรอื่น ๆ ซึ่งจัดการโดยใช้ระบบการยืนยันตัวตนร่วมกัน ส่งผลให้มีการเข้าถึงเครือข่ายภายในของบริษัท LINE เดิมและบุคคลที่สามก็สามารถเข้าถึงระบบของบริษัทโดยไม่ได้รับอนุญาตผ่าน NAVER Cloud Corporation ในวันที่ 9 ต.ค. 2566

นอกจากนี้ บริษัทยังพบการเข้าถึงต้องสงสัยภายในระบบ ณ วันที่ 17 ต.ค. 2566 เช่นเดียวกัน และหลังจากได้วิเคราะห์เหตุการณ์แล้ว จึงได้ผลสรุปว่า ในวันที่ 27 ต.ค. 2566 มีความเป็นไปได้สูงที่มีการเข้าถึงระบบจากภายนอกโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งบริษัทกำลังใช้มาตรการเพื่อทำความเข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมด และป้องกันไม่ให้ข้อมูลแพร่กระจาย อีกทั้งบริษัทได้รายงานไปยังกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว

>> รายละเอียดการรั่วไหลของข้อมูลส่วนตัวจากเหตุการณ์ดังกล่าวที่ได้รับการยืนยันแล้วเป็นดังนี้

1. ข้อมูลผู้ใช้

- ข้อมูลส่วนตัวเกี่ยวกับผู้ใช้ จำนวน 302,569 รายการ (เป็นของผู้ใช้ญี่ปุ่น 129,894 รายการ)
- ข้อมูลผู้ใช้ประมาณ 49,751 รายการ (เป็นของผู้ใช้ญี่ปุ่น 15,454 รายการ) ได้แก่ ประวัติการใช้บริการที่เชื่อมโยงกับตัวระบุตัวตนภายในของผู้ใช้ LINE
- ในจำนวนทั้งหมดนี้ 22,239 รายการ เป็นข้อมูลความเป็นส่วนตัวด้านการสื่อสาร (เป็นของผู้ใช้ญี่ปุ่น 8,981 รายการ)
- รวมประมาณการ 3,573 รายการ (เป็นของผู้ใช้ญี่ปุ่น 31 รายการ)
- หมายเหตุ: ข้อมูลข้างต้นไม่รวมข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีธนาคาร บัตรเครดิต หรือข้อความแชตในแอป LINE

2. ข้อมูลที่เกี่ยวกับพันธมิตรธุรกิจ

- ข้อมูลพันธมิตรธุรกิจ 86,105 รายการ เป็นข้อมูลส่วนบุคคลของพันธมิตรธุรกิจและผู้อื่น เช่น ที่อยู่อีเมลของพันธมิตรธุรกิจ เป็นต้น
- ที่อยู่อีเมลของพันธมิตรธุรกิจ 86,071 รายการ
- รายชื่อของพนักงาน LINE และพันธมิตรธุรกิจ รวมถึงชื่อของบริษัทและแผนกต่าง ๆ, ที่อยู่, อีเมล 34 รายการ

3. ข้อมูลที่เกี่ยวกับพนักงานและบุคลากรอื่น ๆ

- ข้อมูลบุคลากรและพนักงาน เช่น ชื่อ, รหัสประจำตัวพนักงาน, ที่อยู่อีเมล 51,353 รายการ
- ข้อมูลบุคลากรและพนักงาน และข้อมูลเอกสารที่เกี่ยวข้องกับระบบการจัดการเอกสารที่มีการรั่วไหลทั้งหมด 6 รายการ
- ข้อมูลบุคลากรและพนักงานที่อยู่ในระบบการยืนยันตัวตนทั้งหมด 51,347 รายการ แบ่งเป็น LY Corporation 30,409 รายการ และ NAVER 20,938 รายการ

>> ไทม์ไลน์ของเหตุการณ์ดังกล่าวมีรายละเอียดดังนี้

- 9 ต.ค. 2566 : มีการเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ของ LY Corporation โดยไม่ได้รับอนุญาตผ่านทางเซิร์ฟเวอร์ของบริษัทในเครือ
- 17 ต.ค. 2566 : ทีมงานรักษาความปลอดภัยของ LY Corporation ได้ตรวจพบการเข้าถึงในระบบที่ต้องสงสัยและทีมงานเริ่มทำงานตรวจสอบ
- 27 ต.ค. 2566 : มีการระบุว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะมีการเข้าถึงจากภายนอกโดยไม่ได้รับอนุญาต มีการรีเซ็ตรหัสผ่านของพนักงานที่อาจถูกใช้เพื่อเข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาตและตัดการเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ต่าง ๆ ในระบบของบริษัทในเครือ ซึ่งสันนิษฐานได้ว่าเป็นทางที่สามารถเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ต่าง ๆ ภายในบริษัท
- 28 ต.ค. 2566 : บังคับให้พนักงานเข้าสู่ระบบภายในของบริษัทอีกครั้ง
- 27 พ.ย. 2566 : ส่งแจ้งเตือนไปยังผู้ใช้ พนักงานและบุคคลอื่น ๆ

ทั้งนี้ รายงานข่าวระบุด้วยว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าว บริษัทได้บล็อกการเข้าถึงจากภายนอก และแจ้งเตือนให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องรับทราบแล้ว รวมถึงในอนาคต LY Corporation วางแผนที่จะพัฒนาประสิทธิภาพการจัดการการเข้าถึงของเครือข่ายในระบบและทำการแยกระบบยืนยันตัวตนข้อมูลพนักงานออกจาก NAVER Cloud Corporation ซึ่งได้ซิงโครไนซ์ภายใต้ระบบภายในของบริษัท LINE เดิม

‘อีลอน’ รู้งาน!! บอก!! ‘อิสราเอล’ ต้องขุดรากถอนโคนฮามาส หลังแฟลตฟอร์ม ‘เอ็กซ์’ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ‘ต่อต้านยิว’

“อิสราเอลไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องทำลาย ‘ฮามาส’” ‘อีลอน มัสก์’ กล่าวเมื่อวันที่ 27 พ.ย. 66 หลังพบปะกับนายกรัฐมนตรี ‘เบนจามิน เนทันยาฮู’ ในเยรูซาเลม ทั้งนี้ เจ้าของแฟลตฟอร์ม ‘เอ็กซ์’ เดินทางไปตะวันออกกลาง หลังถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเขาต่อต้านยิว

เนทันยาฮู พา มัสก์ เดินทางทัวร์เคฟาร์ อะซา นิคมเกษตร หรือ ‘คิบบุตซ์’ ทางใต้ของอิสราเอล ที่ถูกฮามาสเล่นงานระหว่างการจู่โจมเมื่อวันที่ 7 ต.ค. ที่ผ่านมา และฉายภาพยนตร์ความยาว 44 นาทีให้ผู้มาเยือนได้รับชม เป็นภาพที่แสดงให้เห็นถึงคำกล่าวอ้างความโหดร้ายป่าเถื่อนของกลุ่มนักรบปาเลสไตน์

หลังการเดินทางเยือน เนทันยาฮู ได้กระจายเสียงบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ ที่เขาพูดคุยกับ มัสก์ เกี่ยวกับสิ่งที่รัฐบาลอิสราเอลกำลังทำ และให้คำจำกัดความฮามาสว่าเป็น ‘ลัทธิแห่งความตาย’ ที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังพลเรือนในกาซา ระหว่างการออกอากาศ มัสก์ เห็นพ้องกับคำกล่าวอ้างของ เนทันยาฮู เป็นส่วนใหญ่

“ถ้าคุณต้องการความมั่นคง สันติภาพ และชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับชาวกาซา เมื่อนั้นคุณจำเป็นต้องทำลายฮามาส อย่างแรกเลยคุณจำเป็นต้องกำจัดระบอบปกครองที่ร้ายกาจเสียก่อน แบบเดียวกับที่ทำในเยอรมนีและญี่ปุ่น” เนทันยาฮู กล่าว

มัสก์ ตอบว่า “ไม่มีทางเลือก คุณจำเป็นต้องแน่วแน่และกำจัดพวกก่อการร้าย และพวกที่มีเจตนาเข่นฆ่า ขณะเดียวกัน ก็ช่วยพวกที่เหลืออยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในเยอรมนีและญี่ปุ่น”

การเดินทางเยือนอิสราเอลของมัสก์ในครั้งนี้ ถูกแถลงโดยประธานาธิบดี ‘ไอแซค เฮอร์ซอก’ เมื่อวันที่ 26 พ.ย. ที่ผ่านมา โดยที่ทำเนียบประธานาธิบดีบอกว่า มหาเศรษฐีชาวอเมริกาจะได้รับการบอกกล่าวเกี่ยว กับความจำเป็นที่ต้องต่อสู้ในการต่อต้านยิวที่เพิ่มมากขึ้นในโลกออนไลน์

ระหว่างการพบปะกัน เฮอร์ซอก บอกกับ มัสก์ ว่า “ภายใต้แพลตฟอร์มที่คุณเป็นผู้นำ เคราะห์ร้ายที่มันเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของความเกลียดชังเก่าๆ มากมาย ซึ่งก็คือ ‘การเกลียดชังยิว’ ซึ่งก็คือการต่อต้านยิว” ตามรายงานของไทม์สออฟอิสราเอล

ในการพูดถึงภาพยนตร์ที่เนทันยาฮูฉายให้ดู มัสก์ให้คำจำกัดความฮามาส ว่าเป็นคนที่ถูกป้อนความเท็จตั้งแต่พวกเขาเป็นเด็ก ดังนั้น พวกเขาจึงคิดว่าการฆาตกรรมพวกผู้บริสุทธิ์เป็นสิ่งที่ดี “โฆษณาชวนเชื่อสามารถส่งผลกระทบต่อความคิดของประชาชนได้มากมายขนาดนี้” เขากล่าว

มัสก์ ปฏิเสธคำกล่าวหาที่ว่าแพลตฟอร์มเอ็กซ์ ให้สิทธิหรืออดทนกับการต่อต้านยิว โดยชี้ว่า เขาได้แบนกลุ่มที่สนับสนุนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ไม่ว่ากลุ่มไหนๆ และแสดงความชัดเจนว่าการใช้ถ้อยคำต่างๆ อย่างเช่น ‘การปลดปล่อยอาณานิคม’ และ ‘จากแม่น้ำสู่ทะเล’ ซึ่งถูกใช้บ่อยครั้ง โดยพวกนักเคลื่อนไหวสนับสนุนปาเลสไตน์ มีความหมายโดยนัยคือ การสนับสนุนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว สามารถเป็นเหตุผลสำหรับการแบนทั้งหมด

อย่าตื่นตูม!! ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนหด 'ไม่มีใครผิด-ไม่ใช่แค่ที่ไทย' เหตุภาวะศก.ไม่เป็นใจ แม้แต่คนจีนยังเน้นท่องเที่ยวในประเทศตัวเอง

(27 พ.ย.66) จากเพจ 'World Forum ข่าวสารต่างประเทศ' ได้โพสต์ข้อมูลที่สะท้อนถึงการท่องเที่ยวในต่างแดนของคนจีนที่เริ่มเบาบางลงในช่วงนี้ โดยระบุว่า...

จีน 🇨🇳 : จีนยกเลิกเที่ยวบิน 
เข้าไทย เดือน ธันวาคม - มกราคม ปี 2024 ประมาณ 39% ใน 10 สายการบิน

#สถิติ (ข้อมูลฐานเศรษฐกิจ)
**เดือนธันวาคม 2023
ยื่นขอทำการบิน 10,939 เที่ยวบิน ยืนยันบินจริง 5,858 เที่ยวบิน หายไป 5,081 เที่ยวบิน หรือ 46%

**มกราคม 2567 ขอทำการบิน 10,984 เที่ยวบิน ยืนยันทำการบิน 7,420 เที่ยวบิน หายไป 3,564 เที่ยวบิน หรือ 32%

**รวม 2 เดือนขอทำการบิน 21,923 เที่ยว ยืนยันการบิน 13,279 เที่ยวบิน หายไป 39% หรือกว่า 8,648 เที่ยวบิน 

>> เหตุผลการยกเลิก: เนื่องจากไม่มีดีมานด์จำนวนนักท่องเที่ยวมากพอ

**ในส่วนการบินสัญชาติไทย ยังบินเข้าจีน อาทิ...
- แอร์เอเชีย 74 เที่ยวบิน/สัปดาห์ 
- การบินไทย 56 เที่ยวบิน/สัปดาห์ 

#สถิติการเยือนนักท่องเทียวจีน
ขอเทียบปีสูงสุด เทียบปีปัจจุบัน

2018 หรือ 19 เทียบ 2023
🇯🇵 ญี่ปุ่น 9.5 ล้าน >> 1.2 ล้าน /8 เดือน
🇸🇬 สิงคโปร์ 3.6 ล้าน >> 1.005 ล้าน /9 เดือน
🇹🇭 ไทย 10.06 ล้าน >> 2.7 ล้าน /10 เดือน
 *ณ 22/10/2023

**จะเห็นได้ว่า เมืองสำคัญที่จีนนิยมเดินทางเข้า ญี่ปุ่น, ไทย ตัวเลขลดลงเกินครึ่ง ส่วนสิงคโปร์ เป็นฮับบินภูมิภาค มีเครื่องบินพร้อมตัวเลขก็ตกลงเช่นกัน จากสื่อสิงค์โปร์ แจ้งว่าต้องใช้เวลาพอสมควรในการฟื้นฟูการบินเข้าจีน

✍️ส่วนข่าวในจีนตอนนี้  
*มุมมองจากภายนอกมองว่าจีนมีปัญหาเศรษฐกิจภายในจีน โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ กำลังมีผลกระทบเป็นลูกโซ่ เป็นวงกว้าง เจ้าใหญ่ ๆ ของประเทศ จากข่าวเอเวอร์แกรนด์ มาต่อด้วยคันทรี่การ์เด้น และล่าสุด จงจื่อธนาคารเงาของจีน 

**เอเวอร์แกรนด์
เวอร์แกรนด์มีหนี้สินประมาณ 305,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 10.7 ล้านล้านบาท

**คันทรี่การ์เด้น
มีหนี้สินอยู่ประมาณ 186,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 6.74 ล้านล้านบาท) 

**ข่าวใน 2-3 วันนี้ 
รัฐบาลจีนเริ่มสอบสวน จงจื่อ เอนเตอร์ไพรส์ Zhongzhi Enterprise Group ยักษ์ใหญ่ธนาคารเงาอันดับต้นของจีน เสี่ยงล้มละลาย มีหนี้สินประมาณ 5.87 หมื่นล้านดอลลาร์ /2.2 ล้านล้านบาท

#การท่องเที่ยวในจีน 
รัฐบาลจีนได้อนุมัติมาตรการทดลองวีซ่าฟรี เข้าประเทศ 15 วัน ให้กับพลเมือง 6 ประเทศ ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อิตาลี, เนเธอร์แลนด์, สเปน และมาเลเซียเป็นเวลาหนึ่งปี เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศจีน

#ภาพสถานะบิน สนามบินจีน  
ปักกิ่ง, เซี่ยงไฮ้, เซินเจิ้น เวลาประมาณ 10.00 น.  27/11/2023 จะเห็นได้ว่า การบินออกสถานะบินน้อยมาก เมื่อเทียบในภูมิภาค 

จีนเน้นบิน ท่องเที่ยวในประเทศ

‘จีน-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้’ เล็งจัดประชุมสุดยอดไตรภาคี คลายความตึงเครียด 3 ชาติ หลังโควิดทำชะงัก

เมื่อวานนี้ (26 พ.ย. 66) เจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เห็นชอบที่จะฟื้นฟูความร่วมมือระหว่างกัน และเตรียมจัดการประชุมสุดยอดผู้นำไตรภาคีอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งสัญญาณผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่าง 3 ชาติเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออก

แม้จีน และสหรัฐฯ จะมีความพยายามแก้ไขข้อพิพาทต่าง ๆ และยังผลักดันการประชุมซัมมิตทวิภาคีระหว่างประธานาธิบดี โจ ไบเดน และประธานาธิบดี สี จิ้นผิง จนสำเร็จในเดือนนี้ แต่นั่นไม่ได้ทำให้จีนคลายกังวลในเรื่องที่สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ กำลังกระชับความเป็นหุ้นส่วน 3 ฝ่ายแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ

ปักกิ่ง โซล และโตเกียว เคยมีข้อตกลงว่าจะจัดการประชุมสุดยอดผู้นำ 3 ฝ่ายเป็นประจำทุกปีตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในด้านการทูตและเศรษฐกิจ ทว่าปมขัดแย้งระหว่างประเทศ รวมถึงการอุบัติขึ้นของโรคระบาดใหญ่โควิด-19 ทำให้แผนการนี้ต้องหยุดชะงักไป โดยผู้นำสูงสุดของทั้ง 3 ชาติได้จัดประชุมกันครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2019

ล่าสุด รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศจากทั้ง 3 ชาติได้มีการพบปะหารือที่เมืองปูซานของเกาหลีใต้เมื่อวานนี้ (26 พ.ย. 66) ซึ่งถือเป็นการพูดคุยครั้งแรกตั้งแต่ปี 2019 และมีขึ้นหลังจากเจ้าหน้าที่ 3 ฝ่ายได้ตกลงเห็นพ้องกันเมื่อเดือน ก.ย. ที่จะจัดการประชุมซิมมิตไตรภาคีขึ้นอีกครั้ง “โดยเร็วที่สุด ในวันเวลาที่ทุกฝ่ายสะดวก”

อย่างไรก็ดี รัฐมนตรีทั้งสามยังไม่ได้ให้กรอบเวลาที่ชัดเจนว่าการประชุมซัมมิตนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อใด

โช แทยอง ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของเกาหลีใต้ ให้สัมภาษณ์กับสื่อ Yonhap news TV ว่า ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน นายกรัฐมนตรี ฟูมิโอะ คิชิดะ แห่งญี่ปุ่น และประธานาธิบดี ยุน ซุกยอล แห่งเกาหลีใต้ น่าจะยังไม่ได้พบกันภายในปีนี้ แต่คาดว่าการประชุมซัมมิตจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า

ด้านกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นแถลงว่า รัฐมนตรีทั้ง 3 ชาติได้มีมติเห็นพ้องในการประชุมซึ่งใช้เวลา 100 นาทีว่าจะส่งเสริมความร่วมมือกันใน 6 ด้าน ซึ่งรวมถึงความมั่นคง เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี และจะสนับสนุนให้มีการหารืออย่างจริงจังเพื่อปูทางสู่การจัดประชุมซัมมิต

พัค จิน รัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีใต้ซึ่งยังกังวลเรื่องภัยคุกคามเกาหลีเหนือ ได้กล่าวกับรัฐมนตรีของญี่ปุ่นและจีนว่า “การทำให้ความร่วมมือ 3 ฝ่ายถูกยกระดับสู่การเป็นสถาบัน (institutionalize) นั้นมีความสำคัญ เพื่อที่จะพัฒนาไปสู่ระบบที่มีเสถียรภาพและยั่งยืน” ตามถ้อยแถลงจากกระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้

ทางด้านของ หวัง อี้ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศจีน เรียกร้องให้ทั้ง 3 ชาติร่วมกัน “ต่อต้านการแบ่งแยกทางค่านิยม (ideological demarcation) และคัดค้านการแบ่งความร่วมมือในภูมิภาคเป็นกลุ่มขั้วต่าง ๆ” ซึ่งดูเหมือนจะมีเจตนาวิจารณ์การจับกลุ่มพันธมิตรระหว่างโซล โตเกียว และวอชิงตัน

กระทรวงการต่างประเทศจีนระบุว่า หวัง ยังเรียกร้องให้จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เริ่มฟื้นการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

โยโกะ คามิคาวะ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น ย้ำว่าการเพิ่มความร่วมมือของทั้ง 3 ชาติจะมีส่วนช่วยส่งเสริมสันติภาพในภูมิภาค ท่ามกลางบริบทความมั่นคงนานาชาติที่ ‘รุนแรงและซับซ้อนยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา’

ระหว่างการหารือ 2 ฝ่าย พัค และ คามิคาวะ ได้ประณามการส่งดาวเทียมสอดแนมของเกาหลีเหนือเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และตกลงที่จะร่วมมือกันกำหนดมาตรการตอบโต้ข้อตกลงด้านอาวุธระหว่างเปียงยางกับมอสโก

ขณะเดียวกัน รัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่นก็ได้แสดงความ ‘ผิดหวังอย่างยิ่ง’ ที่ศาลอุทธรณ์ของเกาหลีใต้มีคำสั่งให้ญี่ปุ่นต้องจ่ายเงินชดเชยแก่อดีตสตรีเพื่อการผ่อนคลาย และขอให้โซลเร่งแก้ไขปัญหานี้อย่างเหมาะสม

พัค ยังได้ประชุมร่วมกับ หวัง อี้ และเอ่ยปากเชื้อเชิญรัฐมนตรีต่างประเทศของจีนให้ไปเยือนกรุงโซล โดยทั้ง 2 ฝ่ายตกลงที่จะส่งเสริมการสื่อสารในเชิงยุทธศาสตร์ และ พัค ได้ขอร้องให้จีนแสดงบทบาทสร้างสรรค์ในการโน้มน้าวให้เกาหลีเหนือหยุดพฤติกรรมยั่วยุและก้าวไปสู่เส้นทางแห่งการปลดอาวุธนิวเคลียร์

หวัง อี้ ได้เอ่ยเตือนรัฐมนตรีเกาหลีใต้ว่าไม่ควรนำเอาประเด็นด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยีมาเป็นเรื่องการเมือง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงบรรยากาศตึงเครียดระหว่างจีนกับเกาหลีใต้ในเรื่องเซมิคอนดักเตอร์ และข้อพิพาทการค้าอื่น ๆ

คามิคาวะ กล่าวขณะประชุมกับ หวัง อี้ เมื่อวันเสาร์ (25 พ.ย.66) ว่า เธอคาดหวังว่าการเจรจาด้านความมั่นคงระหว่างญี่ปุ่นและจีน ‘จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้’ ขณะที่ หวัง ก็เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จีนและญี่ปุ่นจะต้องหาวิธีสร้างความเชื่อมั่นว่าทั้ง 2 ฝ่าย ‘จะไม่เป็นภัยคุกคามต่อกัน’ และให้เคารพในข้อกังวลอันชอบธรรมของกันและกัน

‘อิตาลี’ ออกกฎห้ามผลิต-จำหน่าย-นำเข้า ‘เนื้อสัตว์สังเคราะห์’ หวังป้องรากวัฒนธรรมอาหาร ขัดขืน!! ปรับสูงสุด 2.32 ลบ.

เมื่อวานนี้ (26 พ.ย.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า อิตาลีกลายเป็นประเทศแรกในโลกที่สั่งห้ามผลิต จัดจำหน่าย และนำเข้าเนื้อสัตว์สังเคราะห์ (cultivated meat) ซึ่งผลิตด้วยวิธีการเพาะเลี้ยงเซลล์สัตว์แทนการฆ่าสัตว์เพื่อนำมาเป็นอาหาร

นอกจากนี้ คำสั่งดังกล่าวยังครอบคลุมถึงการห้ามการใช้คำที่กล่าวถึงผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แบบดั้งเดิม เช่น ‘ซาลามิ’ และ ‘สเต็ก’ สำหรับการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อสัตว์ที่ทำจากพืช

รัฐสภาอิตาลีอนุมัติกฎหมายใหม่นี้หลังการอภิปรายที่ยาวนานหลายเดือน ซึ่งการละเมิดกฎดังกล่าวอาจมีโทษปรับสูงสุดถึง 60,000 ยูโร (ราว 2.32 ล้านบาท) โดยคำสั่งห้ามของอิตาลีมีขึ้นขณะที่นานาประเทศ อาทิ เยอรมนีและสเปน กำลังลงทุนมหาศาลในการวิจัยเพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตเนื้อสัตว์สังเคราะห์

ฝ่ายสนับสนุนเนื้อสัตว์สังเคราะห์แย้งว่า การผลิตเนื้อสัตว์ประเภทนี้มีความยั่งยืนมากกว่า เนื่องจากส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าการผลิตเนื้อจากสัตว์โดยตรง อีกทั้งอาจเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่าเนื่องจากเนื้อสังเคราะห์ไม่จำเป็นต้องใช้ฮอร์โมนและยาปฏิชีวนะ และอาจมีราคาถูกกว่าเนื้อสัตว์แบบดั้งเดิมด้วย

นายฟรานเชสโก โลโบบริจิดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรของอิตาลี โพสต์ข้อความบนโซเชียลมีเดียที่ระบุว่า การดำเนินการดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายปกป้องประเพณีการทำอาหารของอิตาลี และตำแหน่งงานในภาคเกษตรกรรม

นายโลโบบริจิดากล่าวว่า “อิตาลีเป็นประเทศแรกในโลกที่ปลอดภัยจากความเสี่ยงทางสังคมและเศรษฐกิจของอาหารสังเคราะห์”

ช่วงก่อนหน้าในปีนี้ อิตาลีได้ดำเนินการเพื่อเปิดทางให้กับการผลิตและจำหน่ายอาหารที่ทำจากแมลง โดยกำหนดแนวปฏิบัติว่าควรระบุชื่อของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวในท้องตลาดอย่างไร ทว่าอาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าแหล่งโปรตีนชนิดนี้จะออกจำหน่ายเป็นวงกว้างในอิตาลี

‘สธ.จีน’ เร่งเพิ่มจำนวนคลินิกสำหรับผู้ป่วยที่มีไข้ หวังรับมือโรคทางเดินหายใจ หลังยอดพุ่งอย่างรวดเร็ว

(27 พ.ย.66) กระทรวงสาธารณสุขจีนเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเพิ่มจำนวนคลินิกสำหรับผู้ป่วยที่มีไข้ ในขณะที่จีนกำลังรับมือกับโรคระบบทางเดินหายใจที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงฤดูหนาวแรกนับตั้งแต่ผ่อนคลายมาตรการสกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19

จำนวนผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจในประเทศจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกลายเป็นประเด็นระดับโลกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติมจากจีน โดยระบุถึงรายงานเกี่ยวกับคลัสเตอร์ของโรคปอดอักเสบ (pneumonia) ในเด็กที่ยังไม่ได้รับการวินิจฉัยโดยโครงการเฝ้าระวังโรคอุบัติใหม่

ทั้งนี้ จีน และ WHO ต่างต้องเผชิญกับคำถามถึงความโปร่งใสของรายงานเกี่ยวกับโรคโควิด-19 ในช่วงแรก ๆ ซึ่งโรคดังกล่าวแพร่ระบาดจากเมืองอู่ฮั่นในช่วงปลายปี 2562 และต้นปี 2563 

โดย WHO ระบุเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (24 พ.ย.) ว่า หน่วยงานด้านสาธารณสุขของจีนไม่พบเชื้อโรคที่ผิดปกติหรือเชื้อชนิดใหม่ ๆ แต่อย่างใด

นายมี่ เฟิง โฆษกคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (NHC) ของจีนเปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า การเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจอย่างเฉียบพลันนั้นมีความเชื่อมโยงกับการแพร่ระบาดของเชื้อโรคหลายชนิดพร้อมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคไข้หวัดใหญ่ (influenza)

ทั้งนี้ มีรายงานการพบผู้ป่วยเด็กจำนวนมากในพื้นที่ทางตอนเหนือ เช่น ปักกิ่งและมณฑลเหลียวหนิง ซึ่งโรงพยาบาลได้ออกประกาศเตือนว่าต้องรอการรักษาเป็นเวลานาน

สภาแห่งรัฐ ซึ่งเป็นคณะรัฐมนตรีของจีนกล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า ยอดผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่จะแตะระดับสูงสุดในฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลินี้ ในขณะที่การติดเชื้อโรคปอดอักเสบจากเชื้อไมโคพลาสมา (mycoplasma pneumoniae) จะยังคงสูงในบางพื้นที่ นอกจากนี้ ยังเตือนถึงความเสี่ยงที่โรคโควิด-19 จะกลับมาแพร่ระบาดอีกครั้ง

ส่วนเมื่อวันที่ 23 พ.ย.ที่ผ่านมา WHO ระบุว่า ข้อมูลที่ได้รับจากจีนระบุว่า ผู้ป่วยกลุ่มล่าสุดมีความเชื่อมโยงกับการยกเลิกมาตรการคุมเข้มโควิด-19 เมื่อ 11 เดือนที่แล้ว ประกอบกับการแพร่ระบาดของโรคที่รู้จักกันดี เช่น โรคปอดอักเสบจากเชื้อไมโคพลาสมา ซึ่งเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียทั่วไปที่มักเกิดขึ้นกับเด็ก ซึ่งแพร่ระบาดตั้งแต่เดือนพ.ค.


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top