Tuesday, 8 July 2025
NEWS FEED

‘อีซูซุ’ ยกขบวน!! ยนตรกรรม สุดล้ำ ขุมพลังดีเซล แห่งอนาคต 2.2 Ddi MAXFORCE โชว์ตัวครั้งแรก ในงาน Motor Expo 2024

(30 พ.ย. 67) อีซูซุจำลองบรรยากาศสนามแข่งรถ ยกขบวนยนตรกรรมสุดยอดสมรรถนะเครื่องยนต์ดีเซลแห่งอนาคต ใหม่! 2.2 Ddi MAXFORCE The FORCE of FUTURE พลังใหม่…กำหนดโลก โดยนำ อีซูซุ ดีแมคซ์ และ มิว-เอ็กซ์ ใหม่!! ภายใต้ชื่อเครื่องยนต์  MAXFORCE ร่วมโชว์งานแรกใน มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 41 (The 41st Thailand International Motor Expo 2024) ณ อาคารอิมแพ็ค ชาเลนเจอร์  เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน - 10 ธันวาคม 2567 

กลุ่มตรีเพชร โดย มร. ทาคาชิ ฮาตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เผยว่า อีซูซุได้เปิดตัวเครื่องยนต์ดีเซลแห่งอนาคต ใหม่!! ISUZU 2.2 Ddi MAXFORCE พลังใหม่…กำหนดโลก ซึ่งเป็นขุมพลังที่แรงขึ้น เร็วขึ้น ทรงประสิทธิภาพมากขึ้น ประหยัดน้ำมันกว่าเดิม และมีค่า CO2 ต่ำที่สุดในรถระดับเดียวกัน สามารถรองรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนหรือทำงานควบคู่กับพลังงานทางเลือกอื่น ๆ ในอนาคต พร้อม ใหม่! ISUZU 3.0 Ddi MAXFORCE ที่มี ใหม่!! ECM แบบ MULTI-CORE โดยมีให้เลือกทั้งในอีซูซุ ดีแมคซ์ และ มิว-เอ็กซ์ ซึ่งจะเริ่มจำหน่ายวันแรกในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 และได้นำรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลแห่งอนาคต ใหม่! 2.2 Ddi MAXFORCE และ ใหม่!! 3.0 Ddi MAXFORCE The FORCE of FUTURE พลังใหม่…กำหนดโลก ร่วมโชว์ครั้งแรกในงาน Motor Expo 2024 โดยจำลองบรรยากาศของสนามแข่งรถ พร้อม ISUZU SAFETY CAR และกิจกรรม MAXFORCE 360° XPERIENCE ผ่าน VR มุมมอง 360 องศา เพื่อสัมผัสประสบการณ์ความแรงและเร็วเสมือนนั่งกับนักแข่งรถในสนามจริง นอกจากนี้ยังได้นำอีซูซุ เอ็กซ์-ซีรี่ส์ 1.9 Ddi Blue Power ไลฟ์สไตล์ปิกอัพสายพันธุ์สปอร์ต และรถแต่งหลากหลายสไตล์มาร่วมโชว์ รวมทั้งสิ้น 15 คัน ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการพัฒนาเครื่องยนต์ดีเซลของโลก และตอบโจทย์ครบครันด้านความอเนกประสงค์ที่เหนือกว่าทั้งการใช้งานในชีวิตประจำวันและไลฟ์สไตล์

ใหม่! ISUZU 2.2 Ddi MAXFORCE พลังใหม่…กำหนดโลก ได้รับการพัฒนาใหม่ ให้เป็นเครื่องยนต์แห่งอนาคต ตอบโจทย์การใช้งานมากยิ่งขึ้น ด้วยพละกำลังสูงขึ้นแรงสุดถึง 163 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดถึง 400 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600 – 2,400 รอบ/นาที  ออกตัว เร่งแซงเร็วขึ้น กับแรงบิดช่วงออกตัวสูงขึ้นถึง 56%  แต่ประหยัดน้ำมันยิ่งกว่าเดิมสูงสุด 10% และมีค่า CO2  ต่ำที่สุดในรถระดับเดียวกัน  ผ่านการทดสอบตามมาตรฐานอีซูซุเป็นระยะทางเทียบเท่า 2.2 ล้านกิโลเมตร จนมั่นใจว่าเครื่องยนต์นี้มีความแรง ทนทาน และประหยัดน้ำมันเหมาะสมกับตลาดรถยนต์เมืองไทยมากที่สุด พร้อมที่จะถ่ายทอดสมรรถนะอันยอดเยี่ยมในทุก ๆ ด้าน ถือเป็นเทคโนโลยีดีเซลที่จะกำหนดอนาคตแห่งการขับเคลื่อนอย่างแท้จริง

หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง จัดพิธีประดับเครื่องหมายยศนายทหารสัญญาบัตรและนายทหารประทวน

พลเรือตรี เอตม์ ยุวนางกูร ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง เป็นประธาน ในพิธีประดับเครื่องหมายยศ ให้แก่นายทหารสัญญาบัตรและนายทหารชั้นประทวน ที่ได้รับการเลื่อนยศสูงขึ้น จำนวน 46 นาย ณ ห้องรามาธิบดินทร์ กองบัญชาการ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี 

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ได้กล่าว ให้โอวาทแก่ผู้ร่วมพิธีว่า การที่ท่านทั้งหลายได้รับการเลื่อนยศสูงขึ้นนั้น ย่อมถือได้ว่าท่านเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ ในการปฏิบัติงานอย่างดี สำหรับผู้ที่ได้รับการเลื่อนยศสูงขึ้น ตามแนวทางการรับราชการ ซึ่งเป็นไปตามหลักการบริหารกำลังพลที่ได้ให้ความเชื่อมั่นในความเจริญก้าวหน้าของอาชีพรับราชการอีกระดับหนึ่ง ในการปฏิบัติงานของหน่วยที่ผ่านมา มีปัจจัยแห่งความสำเร็จเกิดมาจากความร่วมมือ ร่วมแรงร่วมใจ จากกำลังพลทุกนาย ซึ่งท่านเป็นส่วนหนึ่งแห่งความสำเร็จในครั้งนี้ และที่สำคัญในการปฏิบัติหน้าที่ราชการนั้น จะต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต ความเสียสละ ความจริงจัง และจริงใจ ทั้งต่อหน่วยงานและเพื่อนร่วมงาน อันจะนำไปสู่ความเจริญก้าวหน้าในชีวิตราชการยิ่ง ๆ ขึ้นไป

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ชลบุรี 0909535645

ผู้บังคับหมวดเรือลาดตระเวนชายแดนเยี่ยมบำรุงขวัญครอบครัวกำลังพลในหมู่เรือลาดตระเวนชายแดน (มชด./1)

นาวาเอก กฤษดา จิระไตรพร รองเสนาธิการทัพเรือภาคที่1/ผู้บังคับหมวดเรือลาดตระเวนชายแดน ได้ทำการเยี่ยมบำรุงขวัญครอบครัวกำลังพลในหมู่เรือลาดตระเวนชายแดน (มชด./1) เพื่อเป็นการบำรุงขวัญและกำลังใจให้กับครอบครัวของกำลังพล การเยี่ยมบำรุงขวัญในครั้งนี้ ผู้บังคับหมวดเรือฯ ได้ให้ความสนใจและดูแลครอบครัวของกำลังพลที่ออกไปปฏิบัติราชการในพื้นที่ชายแดน จำนวน 3 ครอบครัว โดยมีการพูดคุยและรับฟังปัญหาต่างๆ ของครอบครัว เพื่อให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนที่จำเป็นในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ เสริมสร้างขวัญและกำลังใจให้กับกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ชายแดน รวมถึงการให้การสนับสนุนทางด้านสวัสดิการ แก่ครอบครัวของผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งถือเป็นการสร้างความมั่นคงและความร่วมมือในหน่วยงานและสังคม

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

โฆษก สธ. เผย สธ.เปิดศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน 4 จังหวัดชายแดนใต้รับมือวิกฤตน้ำท่วม พร้อมจัดตั้งศูนย์พักพิงให้ความช่วยเหลือกว่า 2,000 ราย 

น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ฝ่ายการเมืองเปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ยังอยู่ในสภาวะที่น่าเป็นห่วง น้ำขึ้นสูงขึ้น นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นห่วงมากและสั่งการให้ทุกผ่ายในกระทรวงสาธารณสุขทำงานให้เต็มที่ จากข้อมูลของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขที่รายงานเข้ามาส่วนกลาง สรุปว่า สถานการณ์น้ำท่วมที่พัทลุง สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และสตูล มีผู้บาดเจ็บ 4 ราย เสียชีวิต 7 ราย ปัจจุบันเปิดศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน หรือ eoc 4 จังหวัด คือ สงขลา นราธิวาส ปัตตานี และยะลา

ขณะเดียวกัน สำนักงานป้องกันและควบคุมโรคเขตที่ 12(สคร. 12) ร่วมกับ สสจ. สงขลา ประเมินความเสี่ยงศูนย์พักพิงชั่วคราวอำเภอหาดใหญ่ สงขลาจำนวน 2 แห่งเพื่อให้ข้อเสนอแนะในการเตรียมความพร้อมและสำรวจทรัพยากรคงคลังของวัสดุอุปกรณ์เวชภัณฑ์ และเวชภัณฑ์ที่ไม่ใช่ยาตามเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนด เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในพื้นที่ประสบอุทกภัยอย่างทันท่วงทีในพื้นที่น้ำท่วม ควรสื่อสารความเสี่ยง การเฝ้าระวังโรคที่มากับน้ำท่วมการป้องกันตนเองเรื่อง พลัดตกหกล้ม เนื่องจากการลื่นของพื้น การถูกไฟฟ้าช็อต และการลงเล่นน้ำในสถานที่ต่างๆ การจัดศูนย์พักพิงในภาวะวิกฤตน้ำท่วมเป็นเรื่องเร่งด่วนเพื่อรองรับผู้ประสบภัย

“รายงานล่าสุุดแจ้งว่า มีการเปิดศูนย์พักพิงที่จังหวัดยะลา นราธิวาส สงขลา รวม 47 ศูนย์พักพิง รองรับผิดประสบภัย 4,500 ราย ผู้รับบริการ 2,217 ราย ดังนั้นจึงไม่ต้องห่วงว่า ผู้เดือดร้อนจากน้ำท่วมจะไม่มีที่พักพิง”

น.ส.ตรีชฎากล่าวว่า ระยะ 2 - 3 วันที่ผ่านมานี้ บุคลากรทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข ได้ระดมมาตรการเพื่อรับมือกับสถานการณ์โดยฉับพลัน เช่น เคลื่อนย้ายกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ประสบภัยไปยังศูนย์อพยพหรือโรงพยาบาลที่มีความปลอดภัย เคลื่อนย้ายผู้ป่วยในโรงพยาบาลที่มีความเสี่ยงสูง ไปยังโรงพยาบาลที่มีความปลอดภัย ประสานระบบส่งต่อทีมแพทย์ฉุกเฉินทางอากาศ (Sky Doctor) สำรองเตียงในโรงพยาบาลที่ไม่เสี่ยงอุทกภัย เพื่อรองรับประชาชนในพื้นที่ประสบภัย  กรณีปิดหน่วยบริการ ให้มีจุดบริการทดแทน พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบ รวมทั้งประชาสัมพันธ์และสื่อสารความเสี่ยงกับประชาชนในพื้นที่ในการป้องกันภัยจากอุทกภัยที่สำคัญ ได้แก่ การจมน้ำ ไฟดูด แมลงและสัตว์มีพิษกัดต่อย

โฆษกกระทรวงสธ. ฝ่ายการเมืองกล่าวต่อไปว่า ผู้รับผิดชอบได้ดำเนินการส่งทีมด้านการแพทย์และสาธารณสุขไปดูแลประชาชนรวม 503 ทีม แบ่งเป็นทีมสอบสวนโรค 191 ทีม ทีมเยียวยาจิตใจ 112 ทีมอนามัยสิ่งแวดล้อม 2 ทีม ทีมการแพทย์ฉุกเฉิน หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ 68 ทีม และกู้ชีพกู้ภัย 130 ทีม สามารถดูแลประชาชนรวม 2,011 คน นอกจากนี้ ที่โรงพยาบาลปัตตานี มีการเปิดโรงครัวสำหรับผู้ป่วย ญาต เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลและญาตที่ไม่สามารถกลับบ้านได้ ที่น่าดีใจก็คือ คณะพยาบาลศาสตร์ มอ.ปัตตานีได้ส่งอัตรากำลังมาช่วยโรงพยาบาลในการขยายหอผู้ป่วยในครั้งนี้ด้วย ด้วยความร่วมมือกันหลายๆ จึงขอให้พี่น้องประชาชนที่ได้วางใจว่า กระทรวงสาธารณสุขจะดูแลผู้ที่กำลังเดือดร้อนอยู่ในขณะนี้อย่างดีที่สุด

“ รายงานล่าสุดจากนายรุซตา สาและ ผู้อำนวยการรพ.ปัตตานี ว่า สถานการณ์ จากรพ.ปัตตานี วันนี้ระดับน้ำรอบๆรพ.สูงกว่าเมื่อวาน ประมาณ 5-10 ซม.  ระบบสนับสนุนประปา มีน้ำเพียงพอ 48 ชม และทางผู้ว่าฯ จะมีการสนับสนุนรถมาเติมกรณีร้องขอ ระบบออกซิเจน เพียงพอ  อย่างไรก็ตามมีการตามบริษัทให้มาเติมในวันนี้เพื่อเติมเต็ม ด้าน โภชนา วันนี้ได้รับสนับสนุนวัตถุดิบ ข้าวสาร ไก่ ไข่ จากแพทยสมาคมฯ และ CPF ส่งวัตถุดิบ ไข่ 10,000 ฟอง ไก่ 200 ตัว เพื่อทำอาหารให้กับบุคลากร ผู้ป่วย และญาติ และอาจจะเปิดครัวใหญ่ เพื่อทำอาหารกระจายยังทุกรพ ใน 3 จังหวัด  ทีม refer รพ.ปัตตานี สามารถเปิดบริการได้เต็มศักยภาพ” นางสาวตรีชฎากล่าว

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติขอบคุณตำรวจทุกหน่วยที่ร่วมดูแลประชาชนพื้นที่น้ำท่วมภาคใต้ กำชับปฏิบัติหน้าที่เข้มแข็งต่อเนื่อง

(30 พ.ย. 67) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ติดตามรายงานสถานการณ์อุทกภัยในภาคใต้ พบว่าปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์ในพื้นที่ 8 จังหวัด ได้แก่ นครศรีธรรมราช พัทลุง ตรัง สตูล สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส รวม 78 อำเภอ 515 ตำบล 3,552 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 553,921 ครัวเรือน มีผู้เสียชีวิต 9 ราย โดยเฉพาะให้เฝ้าระวังพื้นที่ติดแม่น้ำใหญ่ในจังหวัดต่างๆ ที่พบว่ามีระดับน้ำเพิ่มขึ้น ได้แก่ คลองท่าดี จ.นครศรีธรรมราช , ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ด้าน จ.พัทลุง , ลุ่มน้ำแม่น้ำตรัง จ.ตรัง , แม่น้ำละงู จ.สตูล , แม่น้ำปัตตานี จ.ปัตตานี , แม่น้ำสายบุรี จ.ยะลา และ จ.นราธิวาส 

จากรายการการปฏิบัติการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย พบว่าหน่วยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจภูธรภาค 8 , ตำรวจภูธรภาค 9 , ตำรวจภูธรจังหวัด , ตำรวจพื้นที่ , ตำรวจสอบสวนกลาง (ตำรวจทางหลวง , ตำรวจน้ำ) , ตำรวจท่องเที่ยว , ตำรวจตระเวนชายแดน ฯลฯ บูรณาการการทำงานเข้าช่วยเหลือผู้ประสบเหตุทุกมิติอย่างรวดเร็วตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงปัจจุบัน โดยพบว่าตำรวจพื้นที่ได้ออกตรวจเยี่ยมประชาชนผู้ประสบภัย เพื่อดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ไม่ให้เกิดอาชญากรรมซ้ำเติม , มอบสิ่งของเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน , จัดเตรียมเรือท้องแบนและกำลังพลเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัย ช่วยเหลือเคลื่อนย้ายประชาชนและสิ่งของจำเป็นไปยังที่ปลอดภัย ส่วนบริเวณถนนที่มีน้ำท่วมผิวการจราจรในเส้นทางสายหลักและสายรอง ได้มีการทำแผนผังเส้นทางสำรองและป้ายบอกทางให้ชัดเจน พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน , ตัดต้นไม้ล้มบนถนนกีดขวางทางจราจร รวมถึงการช่วยเหลือซ่อมแซมบ้านเรือนหลังน้ำลดอีกด้วย

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ขอขอบคุณและให้กำลังใจข้าราชการตำรวจทุกนาย ทุกหน่วย ที่ร่วมแรงร่วมใจให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ทุกจังหวัด รวมทั้งเพิ่มความเข้มงวดในการดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพฉวยโอกาสก่อเหตุซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชน จึงขอให้คงการปฏิบัติอย่างเข้มงวด เข้มแข็ง ต่อเนื่องไปจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ หากพื้นที่ใดต้องการความช่วยเหลือ หรือขาดแคลนสิ่งใด ขอให้แจ้งมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ทันที ผู้บังคับบัญชาพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อให้การปฏิบัติในการดูแลพี่น้องประชาชนเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัยต้องการความช่วยเหลือ สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจทางสายด่วน 191 และ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

'รองนายกฯ ประเสริฐ' รับหนังสือสมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่า วอนรัฐบาลแก้ไขแก้กฎหมาย ลดความขัดแย้ง รัฐ-ประชาชน ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ

(29 พ.ย.67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วยนายทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และนายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และผู้เกี่ยวข้อง ได้เดินทางมารับฟังข้อเรียกร้องของกลุ่มสมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่า ซึ่งรวมตัวชุมนุมกว่าหลายพันคน บริเวณศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ก่อนเข้าร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ที่หอประชุมทีปังกรรัศมีโชติ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่

นายประเสริฐ ยืนยันการรับทราบปัญหาและรับหลักการของสมัชชาคนอยู่กับป่าและพี่น้องประชาชน เพื่อนำเรียนต่อนายกรัฐมนตรี และจะนำสู่กระบวนการขั้นตอนการแก้ไขปัญหาแบบมีส่วนร่วมต่อไป ภายใต้บังคับกฎหมายวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง และเพื่อแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการดำเนินการตามบันทึกนี้ จึงได้ลงนามบัณทึกไว้

โดยการประชุม ครม.สัญจรครั้งนี้นอกจากจะมุ่งเน้นการพัฒนาภาคเหนือแล้ว ยังเป็นเวทีสำคัญในการรับฟังปัญหาจากประชาชนโดยตรง โดยข้อเรียกร้องจากกลุ่มสมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่า กลุ่มผู้ชุมนุมได้ยื่นหนังสือร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) โครงการอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ ตามมาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562  พ.ศ. 2567 และร่าง พ.ร.ฎ.โครงการอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรธรรมชาติภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ตามมาตรา 121 แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 รวม 2 ฉบับ จะส่งผลกระทบกับประชาชนที่มีที่ทำกินและอยู่อาศัยในพื้นที่อนุรักษ์ จำนวน 462,444 ครัวเรือน หรือ 1,849,792 คน และจะส่งผลให้เกิดปัญหาความขัดแย้งในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระหว่างรัฐกับชุมชนคนอยู่ในป่ามากยิ่งขึ้น

สำหรับข้อเสนอของสมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่าที่ยื่นต่อรัฐบาลมี 4 ประการ ดังนี้ 1.ขอให้ยุติการนำ พ.ร.ฎ.โครงการอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรธรรมชาติ ในอุทยานแห่งชาติ ตามมาตรา 64 แห่ง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และ พ.ร.ฎ.โครงการอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรธรรมชาติภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ตามมาตรา 121 แห่งพ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ไปประกาศใช้กับพื้นที่ป่าอนุรักษ์ทั่วประเทศ จนกว่าจะมีการปรับแก้กฎหมาย 

2.ขอให้รัฐบาลจัดตั้งกลไกในรูปแบบที่เป็นคณะกรรมการหรือคณะทำงานจัดเวทีเปิดรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 เป็นรายอุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ทุกๆ พื้นที่ี เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่สามารถนำไปปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับ ภายในระยะเวลา 60 วัน

3.ขอให้รัฐบาลและคณะรัฐมนตรีจะต้องเร่งเสนอให้มีการปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และพ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562  โดยกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนที่อยู่ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ทั้งนี้ให้นำเสนอร่างสู่การพิจารณาของ คณะรัฐมนตรี ภายใน 90 วัน ก่อนเสนอเข้าสภา 

4.ในระหว่างที่มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายทั้งสองฉบับ รัฐบาลจะต้องชะลอยับยั้งการเตรียมประกาศพื้นที่อุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ จำนวน 23 แห่ง จนกว่าจะมีการแก้ไขกฎหมายทั้งสองฉบับแล้วเสร็จ  เว้นแต่ในกรณีที่พื้นที่เตรียมการฯ นั้นดำเนินการกันขอบเขตชุมชน พื้นที่ทำกิน และพื้นที่ป่าชุมชนแล้วเสร็จ และเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย

มูลนิธิบุณยะจินดา เพื่อข้าราชการตำรวจและครอบครัวมอบรางวัลข้าราชการตำรวจดีเด่นต้นแบบและพลเมืองดี ทุนสงเคราะห์ข้าราชการตำรวจ ที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต

จากการปฏิบัติหน้าที่ และทุนการศึกษาแก่บุตร-ธิดาข้าราชการตำรวจ ประจำปี 2567 จำนวน 1,998,000 บาท

(29 พ.ย.67) เวลา 13.30 นาฬิกาที่ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐพันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. คุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา ประธานกรรมการมูลนิธิบุณยะจินดาเพื่อข้าราชการตำรวจและครอบครัว เป็นประธานในพิธีมอบถ้วยรางวัลและประกาศเกียรติยศแก่ข้าราชการตำรวจและพลเมืองดี ผู้มีผลงานดีเด่นเป็นต้นแบบ มอบทุนสงเคราะห์เพื่อช่วยเหลือครอบครัวข้าราชการตำรวจ ผู้ที่เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ ทุนการศึกษาแก่บุตร-ธิดา ข้าราชการตำรวจ ประจำปี 2567 โดยมี พล.ต.อ.สุนทร ซ้ายขวัญ, พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี, พล.ต.อ.ไกรสุข สินศุข,พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัตร, พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา, พล.ต.อ.สุพร พันธุ์เสือ,พล.ต.ท.หญิง ศิริจันทร์ จันทร์แสงสว่าง, พล.ต.ต.ปราโมทย์ อ่อนปาน, คุณกิ่งดาว พจน์โพธิ์ศรี กรรมการมูลนิธิบุณยะจินดาฯ เข้าร่วมในพิธีฯ

คุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา ประธานกรรมการมูลนิธิบุณยะจินดาฯกล่าวว่า “มูลนิธิบุณยะจินดาเพื่อข้าราชการตำรวจและครอบครัว ได้มีการดำเนินกิจกรรมเพื่อสนองคุณความดีและตอบแทนคุณประโยชน์แก่ข้าราชการตำรวจผู้เสียสละ และเป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคมเป็นประจำในทุกปี โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา เพื่อสืบสานเจตนารมณ์ของ พล.ต.อ.พจน์  บุณยะจินดา อดีตประธานมูลนิธิบุณยะจินดาฯ ที่มีปณิธานที่จะให้การสนับสนุนและช่วยเหลือ อำนวยประโยชน์เพื่อสังคมและส่วนรวมตลอดไป

ในปีนี้ มูลนิธิบุณยะจินดา ฯ มอบรางวัลเกียรติยศสดุดีวีรกรรม รางวัลข้าราชการตำรวจดีเด่นต้นแบบรางวัลพลเมืองดี  มอบทุนสงเคราะห์แก่ข้าราชการตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ และมอบทุนการศึกษาแก่บุตร-ธิดา ข้าราชการตำรวจ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น1,998,000 บาท (หนึ่งล้านเก้าแสนแปดหมื่นแปดพันบาทถ้วน) โดยมอบเป็นรางวัลเกียรติยศสดุดีวีรกรรม 1 รางวัล 50,000 บาท ข้าราชการตำรวจดีเด่นต้นแบบ 3 กลุ่ม (สัญญาบัตร, ประทวน และดีเด่นในด้านต่าง ๆ) 22 รางวัล เป็นเงิน 400,000 บาท, พลเมืองดี 2 รางวัลเป็นเงิน 20,000 บาท,มอบทุนสงเคราะห์ฯ 133 ทุน เป็นเงิน 505,000 บาท และมอบทุนการศึกษาฯ จำนวน 120 ทุนเป็นเงิน 1,023,000 บาท”

สำหรับผู้ที่ได้รับรางวัลและทุนประเภทต่าง ๆ มีรายละเอียด ดังนี้
1. รางวัลเกียรติยศสดุดีวีรกรรม จำนวน 1 รางวัล มอบประกาศเกียรติยศสดุดีวีรกรรม และเงิน 50,000 บาท จำนวน 1 รางวัล ผู้ได้รับรางวัล คือ พ.ต.ท. กิตติ์ชนม์ จันยะรมณ์ รอง ผกก.ป. สน.ท่าข้าม บช.น. โดยมอบรางวัลให้กับทายาทคือ พ.ต.ท.หญิง ชนม์ณกานต์ จันยะรมณ์ รอง ผกก.ฝ่ายควบคุมอัตรากำลัง อต.สกพ. (ภรรยา) และร.ต.ท.วันรัฐธ์ จันยะรมณ์ รอง สว.(สอบสวน) สภ.สำโรงใต้จ.สมุทรปราการ (บุตร)

วีรกรรมเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2567 เวลา 21.45 นาฬิกา พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ จันยะรมณ์ รอง ผกก.ป.สน.ท่าข้าม ได้รับแจ้งเหตุว่ามีการทะเลาะวิวาทภายในครอบครัวและ มีอาวุธปืนในครอบครอง จึงได้รีบเข้าไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ โดยขณะเข้าไประงับเหตุ ปรากฏว่าคนร้ายในเบื้องต้นทราบว่า นายบุญมา หรือ เฮียตุ๊ง อายุ 49 ปี ผู้ก่อเหตุเป็นบิดา ได้ทะเลาะกับลูกภายในบ้าน และได้จับลูกสาววัย 15 ปีเป็นตัวประกัน พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ฯ พยายามเข้าไปเจรจาเพื่อช่วยเหลือตัวประกัน แต่กลับถูกฝ่ายบิดายิงสวน พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ฯ ด้วยอาวุธปืน 3 นัด เข้าที่บริเวณอกด้านขวา 1 นัด หน้าอกด้านซ้าย 1 นัด และง่ามนิ้วมือซ้าย 1 นัด ได้รับบาดเจ็บสาหัส เจ้าหน้าที่นำส่งโรงพยาบาลและเสียชีวิตในเวลาต่อมา

สำหรับประวัติของ พ.ต.ท.กิตติ์ชนม์ฯ เกิดวันที่ 16 เมษายน 2508 อายุ 59 ปี บรรจุครั้งแรกเมื่อปี 2537 ในตำแหน่งรองสารวัตร ปี 2551 เลื่อนตำแหน่งเป็นสารวัตร 
ปี 2558 ได้รับการแต่งตั้งเป็นรองผู้กำกับการ ปี 2560 ดำรงตำแหน่งเป็น รอง ผกก.สส. 
สภ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี และได้รับการแต่งตั้งเป็นรอง ผกก.ป. สภ.รามัน จ.ยะลา ปี 2563 ย้ายเป็น รอง ผกก.ป.สภ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ปี 2565 โยกเป็น รอง ผกก.ป.สน.บางมด  และปี 2566 จนถึงปัจจุบันเป็น รอง ผกก.ป.สน.ท่าข้าม

2. รางวัลข้าราชการตำรวจดีเด่นต้นแบบ 3 กลุ่ม จำนวน 22 รางวัล รวมเป็นเงิน 400,000 บาท

2.1 กลุ่มสัญญาบัตร ได้รับถ้วยรางวัลเกียรติยศและเงินรางวัล 100,000 บาท จำนวน 1 รางวัล คือ พ.ต.ท.อภิชาติ จันจุฬารอง ผกก.สส.3 บก.สส.จชต.ภ.9

2.2 กลุ่มชั้นประทวน มอบถ้วยรางวัลเกียรติยศและเงินรางวัล จำนวน 3 รางวัลๆละ 40,000 บาท รวมเป็นเงิน 120,000 บาท ผู้ได้รับรางวัล คือ
(1) จ.ส.ต.พิสุทธิ์ ศรีนอง ผบ.หมู่กก.ปพ.ภ.จว.ยะลา/ผบ.หมู่
งานสืบสวนคดีความมั่นคงและคดีพิเศษ ศปก.ตร.สน. ภ.9
(2) จ.ส.ต.หญิง รุ่งทิพย์ เวลา ผบ.หมู่ กก.ตชด.23 บช.ตชด.
(3) ส.ต.อ.ณัฐวุฒิ  หลวงสอน ผบ.หมู่ งานปฏิบัติการจราจรตามโครงการ
พระราชดำริ 2 กก.6 บก.จร.บช.น.

2.3 ข้าราชการตำรวจดีเด่นในด้านต่าง ๆ 5 ด้าน (ด้านป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมดีเด่น, ด้านป้องกันและปราบปรามยาเสพติดดีเด่น, ด้านสืบสวนดีเด่น, ด้านจราจรดีเด่น และ ด้านสอบสวนดีเด่น) มอบในประกาศเกียรติบัตรและเงินรางวัล จำนวน 18 รางวัลๆละ 10,000 บาท รวมเป็นเงิน 180,000 บาท ผู้ได้รับรางวัล คือ

ด้านป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม
(1) พ.ต.อ.นิกร    ชูทอง ผกก.สภ.ถลาง จว.ภูเก็ต ภ.8
(2) พ.ต.ท.เอกลักษณ์ จิตชาญวิชัย รอง ผกก.ป. สภ.เมืองเพชรบูรณ์ ภ.6
(3) พ.ต.ท.วิเชียร  คำชุมภู สว.กลุ่มงานต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศ
ต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต บก.ตอท. บช.สอท.
(4) พ.ต.ท.อมรศักดิ์ กลิ่นเมฆ ผบ.ร้อย ตชด.417 กก.ตชด.41
บก.ตชด.4 บช.ตชด.

ด้านป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
(1) พ.ต.อ.ไกรสร ศรีอำพร ผกก.สส.ภ.จว.สระบุรี ภ.1
(2) พ.ต.อ.พรชัย สุวรรณวงศ์ ผกก.สส.2 บก.สส.จชต. ภ.9
(3) พ.ต.อ.อนุสรณ์ ดังก้อง ผกก.สภ.ตรอน จว.อุตรดิตถ์ ภ.6
(4) พ.ต.ท.นิธิศ รอดคลองตัน รอง ผกก.สส.สภ.เมืองอุดรธานี ภ.4
(5) พ.ต.ต.ชินวัตร บัวรอด สว.กก.สส.3 บก.สส.ภ.2 

ด้านสืบสวน
(1) พ.ต.อ.ธัชพงศ์ วงศ์พัฒนานิวาศ ผกก.สภ.เมืองพิษณุโลก ภ.6
(2) พ.ต.อ.พีระ อัศวพิบูลย์ผล ผกก.สส.ภ.จว.สุพรรณบุรี ภ.7
(3) พ.ต.ท.พูนสุข เตชะประเสริฐพร รอง ผกก.สส.1 บก.สส.ภ.1
(4) พ.ต.ท.มนตรี อินเปรี้ยว รอง ผกก.ตม.จว.เชียงราย สตม.
(5) ด.ต.ยุทธนา สารบูรณ์ ผบ.หมู่ กก.2 บก.ปส.3 บช.ปส.

ด้านจราจร
(1) พ.ต.อ.เจน โสภา ผกก.กลุ่มงานจราจร ภ.จว.เชียงใหม่ ภ.5
(2) พ.ต.ท.กฤษณกันต์ เกรียงทวีชัย รอง ผกก.จร.สภ.เมืองชลบุรี ภ.2
(3) พ.ต.ท.ณัฐฐ์ฐนนท์ สีฟ้า รอง ผกก.จร.สภ.เมืองอุบลราชธานี ภ.3

ด้านสอบสวน
(1) ร.ต.อ.สุรชาติ ไชยทองรัตน์ รอง สว.(สอบสวน) สภ.เมืองหนองบัวลำภู
จว.หนองบัวลำภู .ภ.4
        
3. รางวัลพลเมืองดี มอบประกาศเกียรติคุณพลเมืองดีและเงินรางวัล จำนวน 2 รางวัลๆละ 10,000 บาท  ผู้ได้รับรางวัล คือ
3.1 พลเมืองดี 4 ราย คือ นายไสว มีสุข , นายปรีชา ฉันทสุทธา, นายกรกฤช แสงสิริ และ นายมีทรัพย์ พาหมณ์น้อย

วีรกรรมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2567 เวลาประมาณ 19.38 นาฬิกา เกิดเหตุ ชิงทองที่ร้านทองบางกอกโกลด์ ในห้างสรรสินค้าโลตัส สาขามหาชัย อ.เมืองสมุทรสาคร จ.สมุทรสาครพื้นที่ สภ.เมืองสมุทรสาคร ภ.จว.สมุทรสาครโดยคนร้ายเป็นชาย 1 คน รูปร่างสูงใหญ่ แต่งกายด้วยเสื้อคลุมไรเดอร์ สวมหมวกกันน็อคสีขาวปิดบังใบหน้า สามถูงมือผ้า นุ่งกางเกงขายาวสีดำ ทราบชื่อต่อมาคือ นายคำพันธ์ ศรีหาสุข อายุ 24 ปี กระโดนข้าม ตู้กระจกหน้าร้าน บุกเข้าไปชิงทองรูปพรรณบนแผงโชว์ที่อยู่ด้านหลังของพนักงาน 3 คน กวาดสร้อยคอทองคำใส่กระเป๋าสะพายได้ จากนั้นนายคำพันธ์ฯ ได้กระโดดออกทางเดินวิ่งหลบหนีไปทางหน้าห้าง ที่มีกลุ่มคนขับรถจักรยานยนต์รับจ้าง(พลเมืองดี) 4 คนช่วยกันสกัดจับคนร้าย (นายคำพันธ์ฯ) แต่คนร้ายได้วิ่งหลบหนีออกไปทางถนนพระราม 2 ขาออก โดยมีพลเมืองดีวิ่งติดตามและคนร้ายเสียหลักตกน้ำข้างทาง พลเมืองดีและเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ร่วมกันจับกุมคนร้ายได้พร้อมของกลาง เป็นสร้อยคอทองคำ จำนวน 45 เส้น น้ำหนักรวม 124 บาท, สร้อยข้อมือทองคำ จำนวน 39 เส้น น้ำหนักรวม 81 บาท น้ำหนักทองรวมทั้งสิ้น 205 บาท คิดเป็นมูลค่า 8.6 ล้านบาท ,มีดพับสีดำ 1 ด้าม และสิ่งเทียมอาวุธปืน 1 กระบอก       

3.2 พลเมืองดี 1 ราย คือ นายวินัย  เนียมเทศ วีรกรรมเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2567 เวลา 16.30 นาฬิกา เกิดเหตุหญิงอายุ 50 ปี กระโดดลงแม่น้ำเจ้าพระยา ลอยคอขอความช่วยเหลืออยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยา ใต้สะพานเจษฎาบดินทร์ ช่วงฝั่งขาออก มุ่งหน้าบางศรีเมืองต.สวนใหญ่ จ.นนทบุรี พื้นที่ สภ.เมืองนนทบุรี ทราบชื่อต่อมาคือ น.ส.กรชนก บุญมี ช่วงระหว่างกระโดดและลอยคอรอความช่วยเหลือ นายวินัย เนียมเทศ (พลเมืองดี) ขณะที่พาลูกและภรรยามาผูกเปลนั่งเล่นบริเวณริมฝั่งแม่น้ำเห็นเหตุการณ์ จึงได้รีบกระโดลงน้ำไปช่วยเหลือ น.ส.กรชนกฯ ทันที และพาตัวขึ้นฝั่งมาได้อย่างปลอดภัยในสภาพหายใจรวยริน และได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ อาสากู้ภัยให้นำส่งโรงพยาบาล

4.มอบทุนสงเคราะห์แก่ข้าราชการตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ 133 ราย รวมเป็นเงิน 505,000 บาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้
4.1 เสียชีวิต รายละ 20,000 บาท จำนวน 9 ราย
4.2 ทุพพลภาพ รายละ 10,000 บาท จำนวน 1 ราย
4.3 บาดเจ็บสาหัส รายละ 5,000 บาท จำนวน 23 ราย
4.4 บาดเจ็บ รายละ 2,000 บาท จำนวน 100 ราย

5.มอบทุนการศึกษาแก่บุตร-ธิดาข้าราชการตำรวจ 120 ทุน รวมเป็นเงิน 1,023,000 บาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้
5.1 ทุนการศึกษาแบบต่อเนื่อง ระดับปริญญาโทต่างประเทศ

‘บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์’ ประกาศตามหาสร้อยคอ 5 บาท บอกคนหาพบพร้อมยกสร้อยทองให้ ขอคืนแค่พระ 3 องค์

(29 พ.ย.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘ต้นปราการ’ ได้โพสต์ข้อความประกาศตามหาสร้อยคอทองคำน้ำหนัก 5 บาท พร้อมพระเลี่ยมทอง 4 องค์ ได้แก่หลวงปู่ทวด ,หลวงปู่ทิม, หลวงพ่อโอภาสี , และพระราหู ซึ่งเป็นสร้อยคอทองคำประจำกายของ ‘บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์’ ดารานักแสดงชื่อดัง ซึ่งกำลังนำทีมงานมูลนิธิร่วมกตัญญูลงพื้นที่ช่วยผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดภาคใต้ โดยคาดว่าจะหล่นหายขณะเปลี่ยนเสื้อ หลังจากเสร็จสิ้นช่วยเหลือชาวบ้านที่ยะลา

โดย บิณฑ์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า สวัสดีครับเพื่อนๆ ครับ ผมมีเรื่องรบกวนพี่ๆเพื่อน ๆ ครับ คือเมื่อวานนี้ ช่วงเวลาประมาณเวลาห้าทุ่ม ผมได้ทำภารกิจ ในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนออกจากพื้นที่จนภารกิจเสร็จเรียบร้อย ก็เปิดรถ เพื่อจะเปลี่ยนเสื้อที่เปียกเพราะฝนตกตลอดทั้งวัน แต่ด้วยเป็นเสื้อคอกลมคอเต่า อาจจะทำให้สร้อยคอทองคำหนัก 5 บาทพร้อมพระเลี่ยมทอง หลุดออกไปจากคอ

“แต่ตอนนั้นไม่รู้สึกว่าสร้อยคอได้หายไปแล้ว มารู้สึกอีกทีก็เกือบถึงปัตตานี เพราะเมื่อคืนนี้ที่จังหวัดยะลาไม่มีที่พักเลย ต้องนั่งรถมาพักที่ปัตตานี เลยแจ้งให้กู้ภัยที่ยะลาตามหา ในเวลานั้น แต่ก็ไม่มีผู้ใดพบเห็น จึงอยากจะรบกวนทุกๆท่านนะครับที่อยู่บริเวณบนสะพานตรงที่น้ำท่วม และทำภารกิจกันเมื่อคืนนี้ ถ้าใครพบเจอสร้อยคอทองคำ พร้อมกับพระเลี่ยมทองของผม 3 องค์”

“ขอความกรุณาเอาพระมาคืนผมครับ ส่วนสร้อยคอผมยินดีที่จะให้ไป ผมขอพระคืนครับ เพราะมีคุณค่าทางจิตใจของผมครับ ผมพยายามหารูปถ่ายของพระกับสร้อยหาไม่มีครับ ยังไงถ้าท่านใดเจอนะครับกราบขอบพระคุณมากครับ ผมขอแค่พระครับ”

ถ้าท่านใดเจอสามารถติดต่อมาเบอร์นี้ได้เลยนะครับ 063-773-0936 ชื่อยอดนะครับ
กราบขอบพระคุณมากครับผม

ครบรอบ 17 ปี สมาคมสื่อมวลชนเกษตรแห่งประเทศไทย จัดใหญ่ภายใต้แนวคิด 'เกษตรมูลค่าสูง : ทางรอดสู่อนาคตที่ยั่งยืน'

เมื่อวันที่ (27 พ.ย.67) สมาคมสื่อมวลชนเกษตรแห่งประเทศไทย จัดงานครบรอบ 17 ปี (25 ปี รวมพลคนข่าวเกษตร) ภายใต้แนวคิด 'เกษตรมูลค่าสูง : ทางรอดสู่อนาคตที่ยั่งยืน' ที่อาคารจักรพันธ์เพ็ญศิริมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยได้รับเกียรติจากนายไชยา พรหมา อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดงาน และดร.ดำรงค์ ศรีพระราม รองอธิการบดีฝ่ายบริหารและความเป็นกลางทางคาร์บอน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวต้อนรับและแสดงความยินดี ภายในงานมีการจัดนิทรรศการและบูธแสดงสินค้าด้านการเกษตรจากหน่วยงานต่างๆ และเกษตรกรกว่า 20 บูธ และเป็นการพบปะแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างสื่อมวลชนสายเกษตร ผู้ประกอบการ หน่วยงานราชการและเกษตรกร 

นายไชยา พรหมา อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ปฏิเสธไม่ได้ว่าในยุคปัจจุบัน หากเราไม่เปลี่ยนแปลงการทำการเกษตรจากแบบดั้งเดิม ก็จะไม่สามารถก้าวพ้นความยากจนไปได้ และหากยังไม่เปลี่ยนวิธีการ ก็จะไม่สามารถเพิ่มขีดศักยภาพการแข่งขัน เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจที่พี่น้องเกษตรกร ซึ่งถือว่าเป็นคนส่วนใหญ่ เป็นฐานรากทางเศรษฐกิจของประเทศ ถึงแม้ว่า GDP ภาคการเกษตรของประเทศจะมีอัตราที่ไม่สูงนักเมื่อเปรียบเทียบกับภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ แต่ก็มีความจำเป็นที่ประเทศไทยหรือแม้แต่ประเทศมหาอำนาจที่จะต้องดูแลคนที่อ่อนแอกว่า ในขณะที่ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม แต่คนที่อยู่ในภาคเกษตรกลับอยู่ในสถานะความยากจน ทุกรัฐบาลที่ผ่านมาได้มุ่งเน้นการให้ความสำคัญกับการเพิ่มรายได้ เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับเกษตรกร โดยนำนวัตกรรมใหม่ๆที่จะนำไปสู่กระบวนการผลิตที่เรียกว่าเกษตรเพิ่มมูลค่าหรือเกษตรพรีเมี่ยม ซึ่งไม่จำเป็นต้องผลิตจำนวนมาก ผลิตน้อยๆแต่ต้องเปี่ยมด้วยคุณภาพ ซึ่งผลผลิตทางการเกษตรหลายๆอย่างของพี่น้องเกษตรกร สามารถนำมาดัดแปลงเป็นสินค้าที่มีคุณภาพเพื่อเพิ่มมูลค่า ที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำได้ 

“แต่ความเป็นอยู่ของพี่น้องเกษตรกรจะดีขึ้นหรือไม่ดีขึ้น ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่ามาจากนโยบายของรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลปัจจุบันก็ให้ความสำคัญกับภาคการเกษตร ยังยึดมั่นที่จะเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรลืมตาอ้าปากได้ จึงฝากความหวังไว้กับทุกภาคส่วน และส่วนที่หนีไม่พ้นเป็นอย่างยิ่งคือ การสร้างความเข้าใจถึงมิติความสำคัญภาคการเกษตร ในการที่จะสื่อสารนโยบายสำคัญของรัฐบาลไปสู่พี่น้องเกษตรกรและประชาชนทั่วไป นั่นคือบทบาทของสื่อมวลชน ดังนั้นในวันนี้ถือว่าสื่อมวลชนภาคการเกษตร ได้ทำงานอย่างสุดความสามารถที่จะเป็นสะพานเชื่อม เพื่อนำข่าวสารที่สร้างสรรค์และถูกต้องไปสื่อให้เกษตรกรหรือประชาชน ดังนั้นผู้สื่อข่าวสายเกษตร จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อภาคเกษตรของไทย

นายภิญโญ แพงไธสง นายกสมาคมสื่อมวลชลเกษตรแห่งประเทศไทย กล่าวว่าสมาคมสื่อมวลชนเกษตรแห่งประเทศไทยมีอายุครบ 17 เต็มในปี 2567 นี้ แต่หากนับตั้งแต่การรวมตัวของพี่น้องสื่อมวลชนสายเกษตรฯ ที่ตั้งเป็นชมรมสื่อมวลชนเกษตรแห่งประเทศไทย ก็นับรวมได้ 25 ปีได้ หากเปรียบกับคนเราก็เข้าสู่เบญจเพศ เป็นวัยหนุ่มวัยสาวที่มีไฟมีพลังมากที่สุด ซึ่งที่ผ่านมาสมาคมฯ ได้มีกิจกรรมมากมายทั้งด้านวิชาการและด้านสังคม โดยกิจกรรมที่จัดขึ้นแต่ละครั้ง ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากสมาชิกฯ ผู้ประกอบการเอกชนและหน่วยงานภาครัฐ สำหรับในปีนี้ สมาคมฯได้จัดงานภายใต้แนวคิด“เกษตรมูลค่าสูง : ทางรอดสู่อนาคตที่ยั่งยืน” เพื่อเป็นสื่อกลางในฐานะสื่อมวลชน อันจะนำไปสู่การกระตุ้นให้เกิดการส่งเสริมเกษตรกรในการยกระดับการผลิตสินค้าเกษตรให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี พ.ศ. 2561 - 2580 ที่ได้กำหนดเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน มีการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ลดความเหลื่อมล้ำของการพัฒนาประชากร เพื่อให้ได้รับผลประโยชน์จากการพัฒนาอย่างเท่าเทียมกัน สร้างความเจริญทางรายได้และคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นการให้ความสำคัญกับการยกระดับรายได้ของกลุ่มเกษตรกร ตามนโยบายของรัฐบาลในการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น 3 เท่า ภายใน 4 ปี ภายใต้แนวคิด "ตลาดนำ นวัตกรรมเสริมเพิ่มรายได้" อีกด้วย

สำหรับในปีนี้ สมาคมฯยังได้มีการมอบโล่ประกาศเกียรติคุณ “รางวัลขวัญใจสื่อมวลชน” ให้กับเกษตรกรผู้มีความคิดสร้างสรรค์สร้างมูลค่าสินค้าเกษตรและมีคุณูปการต่อวงการเกษตร จำนวน 10 ท่าน ได้แก่
 
1.ไพฑูรย์ ฝางคำ วิสาหกิจชุมชนศูนย์ส่งเสริมและผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวชุมชนตำบลผักไหม อำเภอห้วยทับทัน จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงในการพัฒนาอาชีพเกษตร สู่ความยั่งยืนด้วยการปรับวิธีคิด เปลี่ยนวิธีทำ สร้างกระบวนการรวมกลุ่ม สร้างเครือข่าย สร้างพลังในการขับเคลื่อนการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ด้วยการลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต พัฒนาคุณภาพมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ เพิ่มมูลค่า สร้างอาชีพ สร้างรายได้ พัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับพี่น้องเกษตรกร

2.จุไรรัตน์ เชิดชิด วิสาหกิจชุมชนข้าวฮางบ้านสุขสำราญ ต.ฝั่งแดง อ.นากลาง จ. หนองบัวลำภู เป็นแกนนำในการรวมกลุ่มชาวนาในพื้นที่เพื่อปลูกแปรรูปครบวงจรจึงช่วยสร้างงาน สร้างรายได้กลับสู่ท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี ในนาม “กลุ่มข้าวฮางบ้านสุขสำราญ” ภายใต้การส่งเสริมของกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

3.คุณกมลวรรณ รุ่งประเสริฐวงศ์ “ไร่แสงสกุลรุ่ง” อำเภอด่านมะขามเตี้ย จังหวัดกาญจนบุรี เป็นคนรุ่นใหม่ ที่สนใจเลี้ยง“ผำ” พืชน้ำที่มีคุณค่าทางอาหารสูง และสามารถนำไปจำหน่ายเป็นรายได้ให้กับครอบครัวและต่อยอดให้กับเกษตรกรในชุมชน แปรรูปสร้างความแตกต่างในตลาด เพิ่มมูลค่าและยอดขายให้สูงขึ้น

4.อร่าม ทรงสวยรูป เกษตรกรผู้สืบสานพันธุ์ข้าวไทย จากจังหวัดนครราชสีมา อดีตช่างภาพรางวัลพูลิตเซอร์ วัย 56 ปี ผันตัวเองเป็นชาวนาตามรอยบรรพบุรุษ เรียนรู้วิถีธรรมชาติ และยึดธรรมะเป็นที่มั่น ได้สร้างสุขทั้งร่างกายและจิตใจ อีกทั้งมีรายได้จากการทำเกษตรอินทรีย์ ยกระดับครอบครัวและยังช่วยสืบสานพันธุ์ข้าวไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

5.วัฒนชัย เกตุพลอย เกษตรกรจาก อ.วังจันทร์ จ.ระยอง เจ้าของสายพันธุ์ขนุนทองพลอย ที่ให้ผลตลอดปี ผลใหญ่ตั้งแต่ 20-60 กก. ซังน้อย เนื้อแน่น รสชาติหวานกรอบ ยางน้อย เนื้อสีเหลืองทอง โดยร่วมกับคณาจารย์หลายท่านจากหลากหลายสถาบันการศึกษา ในการวิจัยขนุนให้มีอายุหลังเก็บเกี่ยวให้นานขึ้น เหมาะกับการนำเนื้อมาแปรรูป และวางจำหน่ายตามร้านค้าโมเดิร์นเทรดชั้นนำทั่วประเทศ 

6.นางสาวธิติมา ตะรุสะ ประธานวิสาหกิจชุมชนภูริธาราพรรณ ต.ห้วยป่าหวาย อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี ผู้ยึดแนวทางหลักเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9  มาปฏิบัติ โดยได้รับโอกาสจากสำนักงานเกษตรอำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ให้เข้าร่วมอบรมเป็นเกษตรกรรุ่นใหม่ หรือ Young Smart Farmer (YSF) และได้นำความรู้ที่อบรมมาปรับปรุงพัฒนาพื้นที่ในสวนเพิ่มบุญ ของตนเอง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพืชสมุนไพร เช่น กระชาย เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีแนวคิดต่อยอดพัฒนาสินค้าทางการเกษตร นำกระชายมาแปรรูป เพื่อสร่างมูลค่าเพิ่มและเพิ่มช่องทางการตลาดใหม่ๆ ภายใต้วิสาหกิจชุมชนภูริธาราพรรณ

7.วิสัน วงศ์เมือง เกษตรกรหัวก้าวหน้าแห่งตำบลสุขไพบูลย์ อำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา ผู้สืบทอดความรู้และเทคนิคจากครอบครัว ผสมผสานกับความรู้สมัยใหม่ จนสามารถพัฒนาคุณภาพของผลผลิตได้อย่างต่อเนื่อง สร้างรายได้จากการปลูกกล้วยหอมทองทำให้ความเป็นอยู่ของครอบครัวดีขึ้น และเป็นต้นแบบให้เกษตรกรรายอื่นอีกด้วย

8.ชาลี จิตรประสงค์ ประธานชมรมผู้เลี้ยงกุ้งฉะเชิงเทรา เกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ อาชีพเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำกร่อย ปี พ.ศ.2549 เจ้าของ สาริกาฟาร์ม ผู้มุ่งมั่นที่จะผลิตกุ้งสด สะอาด ปลอดภัยไร้สารตกค้าง เพื่อการส่งออกและจำหน่ายภายในประเทศ ที่มีคุณภาพ อย่างใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ความหลากหลายทางชีวภาพ 

9.สมบัติ สุขนันท์ เจ้าของสวนสมบัติอาณาจักรกล้วย ต.ไทรใหญ่ อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี  และปลูกกล้วย กว่า 500 ไร่ ที่ปลูกกระจายในพื้นที่จังหวัดราชบุรี กาญจนบุรี พิจิตร และเชียงใหม่ และเป็นนักสะสมสายพันธุ์กล้วยแปลก กล้วยหายากเกือบ 250 สายพันธุ์ เช่น แส้หางม้า สายน้ำผึ้งเตี้ย นากค่อม นิ้วนางรำ หอมแคระ กล้วยเทพพนม กล้วยขนุน กล้วยน้ำว้าดำ กล้วยร้อยปลี เป็นต้น 

10.สิริพงศ์ วราศัย หรือที่คนในวงการกล้วยไม้ เรียกว่า อาจารย์โรจน์ ผู้คร่ำวอด ในวงการล้วยส่งออกรายใหญ่อันดับต้น ๆ ของประเทศ  ที่สืบทอดธุรกิจมาจากรุ่นคุณพ่อ ที่ทำธุรกิจกล้วยไม้เป็นรายแรกของไทย โดยรับช่วงต่อมาตั้งแต่ปี 2525 ทำให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางทั้งในและต่างประเทศ 

นับว่าเป็นกิจกรรมที่ช่วยสร้างขวัญและกำลังใจให้กับเกษตรกรหัวก้าวหน้า ที่จะเป็นแกนนำหรือต้นแบบให้กับเกษตรกรรายอื่นๆ ได้หันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาสินค้าเกษตรเพื่อสร้างมูลค่าสูงในอนาคตต่อไป

บิ๊กต่าย สั่งเปิด 'ปฏิบัติการเด็ดปีกผู้ค้ารายย่อย' ทั่วประเทศ วิสามัญนักค้ายาฯ 1 ศพ

จากนโยบายของรัฐบาล โดย ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี นางสาว แพทองธาร ชินวัตร แถลงต่อรัฐสภา วันที่ 12 ก.ย.67 ว่าปัญหายาเสพติดเป็นนโยบายเร่งด่วน ที่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยจะเน้นการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาด ครบวงจร ตัดต้นตอการผลิต และจำหน่ายด้วยการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อสกัดกั้นลำเลียงยาเสพติด ปราบปราม และยึดทรัพย์ผู้ค้ารายสำคัญ ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายการขับเคลื่อนงานของตำรวจ ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง จตช.รรท.รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา,พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร, พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 รรท.ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ลงพื้นที่สืบสวนติดตามจับกุมและขยายผลเครือข่ายค้ายาเสพติดรายใหญ่และรายย่อย พร้อมกันในทุกพื้นที่ของประเทศไทย รวมทั้งการขยายผลไปสู่การจับกุมเครือข่ายที่ยังหลบหนีและยึดทรัพย์ผู้ที่ให้การสนับสนุนและช่วยเหลือทุกราย

วันนี้ (29 พ.ย.67) เวลา 09.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ได้เดินทางมาติดตามผลการปิดล้อมตรวจค้นเพื่อจับกุมและยึดทรัพย์เครือข่ายยาเสพติด พร้อมด้วย พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร.  และ พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 รรท.ผู้ช่วย ผบ.ตร. ซึ่งได้กำหนดให้ ตำรวจภูธรภาค 1 - 9, กองบัญชาการตำรวจนครบาล, กองบัญชาการตํารวจปราบปรามยาเสพติด ร่วมบูรณาการกับ เจ้าหน้าที่จากสำนักงาน ป.ป.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมปฏิบัติการระดมปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติดพร้อมกันทั่วประเทศ ตั้งแต่ช่วงเช้ามืดของวันนี้ โดยมีผลการปิดล้อมฯ ดังนี้ จำนวน 907 เครือข่าย เป้าหมายปิดล้อมตรวจค้น 3,146 จุดตรวจค้น ผู้ต้องหาตามหมายจับ 277 หมายจับ สามารถจับกุมผู้ต้องหา คดียาเสพติด 4,642 คดี ผู้ต้องหา 4,784 คน จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ 453 หมายจับ ตรวจยึดของกลาง ได้แก่ ยาบ้า 44,202,186เม็ด, ไอซ์ 2,225 กก., คีตามีน 3.93 กก, เฮโรอีน 27.64 กก., ยาอี 1,222 เม็ด อาวุธปืน 241 กระบอก ตรวจยึดอายัดทรัพย์สินรวมมูลค่า 579,008,424 ล้านบาท  

สำหรับการระดมปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติดในครั้งนี้ ดำเนินการกวาดล้างทั้งเครือข่ายรายใหญ่และรายย่อย เน้นการปราบปรามผู้ค้ารายย่อย ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงกับประชาชนในชุมชน ทั้งนี้ เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนที่อยู่ในชุมชนว่า ผู้ค้ายาต้องอยู่อย่างหวาดผวา และจากสถิติการจับกุมคดียาเสพติดรายสำคัญ ของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ห้วงตั้งแต่เดือน ต.ค. 66 - 26 พ.ย.67 ที่ผ่านมา ทั่วประเทศสามารถจับกุมผู้ค้าเสพติดได้ถึง 281,491 ราย ตรวจยึดของกลางยาเสพติดเป็น ยาบ้า 1,125,147,367 เม็ด, ไอซ์ 34,590 กก., เฮโรอีน 1,992 กก., คีตามีน 7,092 กก. และยาอี 239,343 เม็ด สามารถยึดอายัดทรัพย์สินที่รวมมูลค่ากว่า 12,640,409,374 บาท


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top