Thursday, 3 July 2025
NEWS FEED

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง"ซับน้ำตาชาวใต้"จัดงบกว่า 15.5 ล้านบาท ฟื้นฟูหลังน้ำลดผู้ประสบอุทกภัย แจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภค มอบเงินช่วยเหลือกรณีบ้านพังทั้งหลัง และช่วยเหลือค่าฌาปนกิจแก่ญาติผู้เสียชีวิต 8 จังหวัดภาคใต้

ระหว่างวันที่ (2 - 20 ม.ค. 68) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการฯ ห่วงใยผู้ประสบอุทัยภัยภาคใต้ มอบหมายให้ นายรัชพร ประสงค์ทรัพย์ หัวหน้าแผนกสาธารณภัย ฝ่ายสังคมสงเคราะห์  พร้อมด้วย แผนกบรรเทาสาธารณภัย ฝ่ายปฏิบัติการ จัดทีมเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย 8 จังหวัดภาคใต้ ในโครงการฟื้นฟูหลังน้ำลด ประกอบด้วย จังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส สงขลา พัทลุง นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และชุมพร โดยแจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภค ประกอบด้วย ข้าวสาร บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง น้ำมันพืช และน้ำปลา รวมจำนวน 30,200 ชุด ๆ ละ 450 บาท มอบเงินสงเคราะห์กรณีบ้านเรือนที่เสียหายจากอุทกภัย หลังละ12,000 บาท จำนวน 66 หลังคาเรือน และมอบเงินสงเคราะห์ค่าฌาปนกิจให้แก่ญาติผู้เสียชีวิต รายละ 20,000 บาท จำนวน 59 ราย รวมงบประมาณไม่ต่ำว่า 15.5 ล้านบาท โดยมี ผู้แทนจากหน่วยงานรัฐเป็นประธานในพิธี พร้อมทั้งมูลนิธิสงเคราะห์ 14 จังหวัดภาคใต้ และ สมาคม/มูลนิธิแต่ละจังหวัด เป็นผู้ประสานงานและร่วมให้ความช่วยเหลือ

เมื่อเกิดอุทกภัย มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้จัดทีมบรรเทาสาธารณภัย พร้อมเรือท้องแบน และ โรงครัวเคลื่อนที่เพื่อประกอบอาหารกล่อง พร้อมถุงยังชีพ ชุดยาเวชภัณฑ์ และอาหารสุนัขและแมว นำแจกจ่ายแก่ผู้ประสบภัย เพื่อการบรรเทาทุกข์และช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ต่างๆ ในเบื้องต้น หลังจากนั้น ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ จะดำเนินการประสานหน่วยงานในพื้นที่เพื่อบรรเทาทุกข์ ฟื้นฟูหลังน้ำลด โดยแจกเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น รวมถึงมอบเงินค่าฌาปนกิจศพแก่ญาติผู้เสียชีวิตจากอุทกภัย รายละ 20,000 บาท ทั้งนี้ กรณีมีผู้เสียชีวิตจากเหตุอุทกภัย ญาติของผู้เสียชีวิตสามารถขอรับเงินช่วยเหลือค่าฌาปนกิจศพ จากมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่ สายด่วนป่อเต็กตึ๊ง 1418 ต่อ ฝ่ายสังคมสงเคราะห์

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง www.facebook.com/atpohtecktung

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”
#แอปพลิเคชัน และ #สายด่วน ป่อเต็กตึ๊ง1418
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

สมุทรปราการ -“อรัญญา” รุกหนัก!! นำทีมแพรกษาก้าวหน้า ลงพื้นที่หาเสียงถนนคนเดินประชาชนจำนวนมากส่งเสียงเชียร์

นางอรัญญา สุวรรณบุตร อดีตนายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา ผู้สมัครนายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา หมายเลข 1 พร้อมด้วยคณะสมาชิกในนามกลุ่มแพรกษาก้าวหน้า

ลงพื้นที่หาเสียงภายในชุมชนหมู่บ้านรุ่งทวี หมู่บ้านพูลทรัพย์ และปิดท้ายที่ถนนคนเดินในเขตพื้นที่ตำบลแพรกษา อ.เมือง สมุทรปราการ โดยมี ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสมุทรปราการ ร่วมลงพื้นที่ช่วยหาเสียง 

ซึ่งการลงพื้นที่หาเสียงในครั้งนี้ยังได้พบกับกลุ่มผู้สมัครนายก อบจ.สมุทรปราการ นำโดย นายสุนทร ปานแสงทอง อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้สมัครนายก อบจ. หมายเลข 1 และผู้สมัคร ส.อบจ. สมุทรปราการ นำโดย นายสมเกียรติ ทองเหลือ ผู้สมัครหมายเลข 2 เขตเลือกตั้งที่ 11 

โดยทางด้าน นางอรัญญา สุวรรณบุตร อดีตนายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา นำทีมกลุ่มแพรกษาก้าวหน้าลงพื้นที่หาเสียงอย่างต่อเนื่องโดยมีพี่น้องประชาชนในชุมชนต่างมารอให้กำลังใจ พร้อมทั้งชู้ป้ายหาเสียง แจกแผ่นพับแนะนำตัวผู้สมัคร และชูนโยบายในการบริหารงานและแผนพัฒนาท้องถิ่นของกลุ่มแพรกษาก้าวหน้า ในสโลแกน เคียงข้าง สร้างเมือง สร้างคน

โดยทางด้านนโยบายประกอบไปด้วย ผลักดันการศึกษาคุณภาพสำหรับเด็กท้องถิ่น พร้อมสนับสนุนทุนการศึกษาและโครงการแลกเปลี่ยน ส่งเสริมหลักสูตรอาชีวะให้สอดคล้องกับตลาดแรงงาน ต่อยอดโรงเรียนผู้สูงอายุด้วยหลักสูตรสุขภาพ ด้านเทคโนโลยี ใช้เทคโนโลยีปรับปรุงระบบงานเทศบาล พัฒนาระบบข้อมูลเพื่อวิเคราะห์ปัญหาได้อย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้ ขยายโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเพื่อการเข้าถึงเทคโนโลยีของชุมชน

ด้านเศรษฐกิจ ต่อยอดศูนย์ OTOP ด้วยการพัฒนาสินค้า การตลาด สนับสนุนการขายสินค้าออนไลน์ด้วยแพลตฟอร์มเฉพาะ อบรมผู้ประกอบการท้องถิ่นด้านการตลาดและการเงิน 

ด้านคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม เพิ่มพื้นที่สีเขียวและปลูกต้นไม้ในชุมชน สร้างสวนสาธารณะให้เป็นพื้นที่ใช้งานสำหรับทุกวัย ส่งเสริมการจัดการขยะครบวงจร 

อย่างไรก็ตาม การลงพื้นที่หาเสียงในครั้งนี้ ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากพี่น้องประชาชนตามชุมชนต่างๆ ที่มารอให้การต้อนรับ พร้อมทั้ง มอบดอกกุหลาบให้แก่ นางอรัญญา สุวรรณบุตร อดีตนายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา และอวยพรขอให้ชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ 

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

สงขลา-เลือกนายก อบจ.สงขลา “เงินไม่มากามาเป็น” ชาวบ้านขู่  “นายทุน” เงินอยู่กับใคร ให้คนนั้นไปลงคะแนน 

(20 ม.ค. 68) แถม “ลดราคา” จากเสียงละ 500 เป็น 300 ในการเลือกตั้ง ลดราคาการ”ขนคน” ไปฟังการปรายศรัย” จาก 300 เป็น 200 และ 100 ตามสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ

ผู้สื่อข่าว ที่ติดตามความเคลื่อนไหวของการเมืองท้องถิ่น การหาเสียงของ ผู้สมัคร นายก อบจ. และ ส.อบจ. หรือ สจ. ในแต่ละเขตเลือกตั้ง ซึ่งขณะนี้เหลือเพียง 10 วันสุดท้าย ก็ที่จะมีการ เข้าคูหาหย่อนบัตรเลือกตั้งในวันที่ 1 กุมภาพันธุ์ 2568 พบว่า ยังคงเป็นการแข่งขันของ 3 ทีมใหญ่ คือ ทีมพรรคประชาชน ที่มี นายนิรันดร์ จินดานาค เป็น ผู้สมัคร นายก อบจ. หมายเลข 2 นายประสงค์ บริรักษ์ หมายเลข 3 และ นายสุพิศ พิทักษ์ธรรม หมายเลข 5 ซึ่งก่อนหน้านี้ นิดาโพล ได้มีการสำรวจ พบว่า คะแนนของหมายเลข 5 ยังนำหมายเลข 2 และ 3 อยู่ เล็กน้อย แต่ที่น่าสังเกตคืนยังมีผู้ที่ไม่ตัดสินใจว่าจะเลือกใครอีกเกือบ ร้อยละ 30 ที่ยังเป็น ตัวแปร ในการเลือกตั้ง นายก อบจ.ในครั้งนี้

ผู้สื่อข่าว ที่ เกาะติด ความเคลื่อนไหวของ การเลือกตั้งในพื้นที่รายงานว่า ทีมของผู้สมัครเริ่มจัดให้มีเวทีการหาเสียง ในอำเภอรอบนอกของจังหวัดสงขลา เช่น อ.สิงหนคร .สทิงพระ .จะนะ ,นาทวี เพื่อ หาเสียง กับประชาชน โดยบอกถึง นโยบาย ที่จะบริหารท้องถิ่น หากได้รับการเลือกตั้ง  โดย บางทีมยังใช้วิธีการเดิมๆ นั้นคือให้ ผู้สมัคร สจ. ในพื้นที่ ขนคนมาฟังการปราศรัย เพื่อให้เห็นว่ามีประชาชนให้การสนับสนุนจำนวนมาก มีการจ่ายเงินให้ผู้มาฟังปราศรัย ตั้งแต่ หัวละ 100 บาท 200 บาท และ 300 บาท ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า การจ่ายเงินให้คนมาฟังการปราศรัยในการเลือกตั้งครั้งนี้ น้อยกว่าการเลือกตั้งที่ผ่านมา ซึ่งจะอยู่ที่หัวละ 300 บาท ส่วน หัวคะแนน ที่นำคนมาร่วมเวลาจะได้ค่าตอบแทนหัวละ 200 บาท แต่ถึงจะจ่ายไม่มาก ประชาชน ส่วนหนึ่ง ก็ยังคงมาร่วมเวที เพราะสภาพของความยากจน ที่เงิน 100 หรือ 200 บาท ก็มีความหมาย

หัวคะแนน ของทีมใหญ่รายหนึ่ง ให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวว่า มีการ เก็บรายชื่อ ของผู้มีสิทธิ์ในการลงคะแนนแล้ว โดยมีการ บริหารจัดการอย่างเป็นระบบ  โดยการตรวจสอบความซ้ำซ้อนของรายชื่อ และมีการแจ้งให้เจ้าของรายชื่อทราบว่าจะมีการ ซื้อเสียงๆละ 500 บาท หลังจากที่มีการตรวจสอบรายชื่อแล้ว โดยประชาชนส่วนหนึ่ง ยอมที่จะรับ 500 บาท ในการไปใช้สิทธิ์ให้กับ ผู้สมัครที่เป็น หัวหน้าทีม แต่มีส่วนหนึ่งมีการต่อรองว่า ถ้าจ่าย หัวละ 500 บาท จะเลือกผู้ที่สมัคร สจ. ที่เป็นคนในพื้นที่ ที่ชาวบ้านรู้จัก แต่จะไม่เลือก หัวหน้าทีม ที่ตนเองไม่รู้จัก ถ้าจะให้เลือกทั้ง ผู้สมัครนายก อบจ. และผู้สมัคร สจ. ต้องจ่าย 1,000 บาท ในขณะที่ประชาชนส่วนหนึ่งให้ข้อมูลว่า ขณะนี้มีเพียง ทีมเดียว ที่ หัวคะแนน มาเก็บรายชื่อเพื่อ ซื้อเสียง ส่วนทีมอื่นๆ ยังไม่มีการมาติดต่อ ดังนั้นต้องรอก่อนว่าทีมไหนให้ มากกว่า ก็จะเลือกทีมนั้น 

ในขณะเดียวกัน ก็มีการปล่อยข่าวว่า  นายทุนได้นำเงินไปให้กับ ผู้นำท้องถิ่น และ ผู้นำท้องที่ เพื่อใช้ในการซื้อเสียงจากผู้มีสิทธิ์ในการเลือกตั้ง ทำให้ ประชาชน ในพื้นที่ ที่ทราบข่าวว่า และ เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ได้บอกกับผู้สื่อข่าวว่า ถ้าเงินที่ให้ ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ ไม่ถึงมือชาวบ้าน ก็ให้ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ ไปเลือก เจ้าของเงินแทน ส่วนชาวบ้านจะไม่ไปเลือก

และจากการติดตาม ข่าวสารในโซเชียล พบว่า มีการต่อรองว่า ถ้าไม่ได้เสียงละ 1,000 บาท จะไม่ไปใช้สิทธิ์ และหากให้ดีในภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำต้องมีการจ่ายให้ประชาชนเสียงละ 2,000 บาท ซึ่งสร้างความฮือฮาในหมู่ประชาชนเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนั้นยังพบว่ามีการลงในโซเซียล ว่าจะไป โนโวต เพราะไม่เชื่อมั้นในผู้สมัครว่าจะทำตามนโยบายที่นำเสนอต่อประชาชน

รายงานจากแหล่งข่าว ที่ใกล้ชิดกับผู้สมัครแจ้งว่า มีการจ่ายเงินให้ สจ.เขตในทีมๆละ 2 ล้านบาท เพื่อใช้เป็น ปัจจัย ในการ หาเสียงในแต่ละเขตเลือกตั้ง ทั้งในส่วนของ นายก อบจ. และของ สจ. ซึ่งมีการจ่ายไปแล้ว 1 ล้าน ส่วนอีก 1 ล้าน จะจ่ายก่อนสัปดาห์ก่อนที่จะถึงวันเลือกตั้ง ในขณะที่ ผู้สมัคร สจ. ในบางอำเภอ อยู่ระหว่างการ เก็บรายชื่อของประชาชนผู้มีสิทธิ์ในการเลือกตั้ง ซึ่งต้องมีการ ซื้อเสียง ตั้งแต่ 10,000 ถึง 13,000 คน  ถ้าต้องจ่ายเสียงละ 1,000 ต่อหัว ต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่าเขตละ 5 ล้านบาทขึ้นไป จึงมีการต่อรองกับ หัวคะแนน ให้เหลือเสียงละ 500 และ 300 บาท ในบางพื้นที่ เพื่อที่จะไม่ต้องใช้เงินถึง 5 ล้านบาท ในการ เลือกตั้งครั้งนี้

รายงานข่าวแจ้งว่า บางทีมที่ไม่ใช้เงินในการขนคนมาฟังการปราศรัย จะมีคนมาร่วมเวทีครั้งละ 500 คนขึ้นไป แต่เป็น ประชาชน ที่ตั้งใจมา ส่วนทีมที่มีการ จ่ายเงิน ให้ประชาชนมาร่วมฟังการหาเสียง จะมี ประชาชน มาร่วมฟังการหาเสียง ตั้งแต่ 5,000 -7,000 คน ซึ่งไม่สามารถบอกได้ว่า ทุกคนที่มา จะเลือกทีมของผู้มาหาเสียงหรือไม่

ที่น่าสังเกตคือมี 2 ทีมของผู้สมัคร ที่ใช้เครื่องมือของ “โซเชียลมีเดีย” ในการ หาเสียง และมีการ สำรวจคะแนนนิยมเป็นระยะๆ เพื่อการวางแผน ในการ เข้าถึงประชาชน ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ซึ่งโดยภาพรวมการ จัดเวทีปราศรัย ทำให้มีเงินสะพัดในแต่ละพื้นที่ ส่วน ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำท้องที่ ก็ได้รับ อานิสงส์ ในการมีส่วน บริหาร จัดการ การเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งนี้ และ สุดท้าย เงินจะสะพัดด้วยการ จ่ายซื้อเสียงใน 3 วันสุดท้าย ก่อนวันลงคะแนนในวันที่ 1 กุมภาพันธ์

แหล่งข่าว กล่าวว่า เงินส่วนหนึ่งที่ใช้ในการ “ซื้อเสียง” มาจาก ธุรกิจบ่อนออนไลน์ ที่เป็นธุรกิจผิดกฎหมาย และมี นายทุน และ ผู้สมัคร บางคน ที่อยู่ในธุรกิจดังกล่าว และที่เป็นข่าวฮือฮาการเลือกตั้งครั้งนี้คือ มีนักการเมืองบางคน ประกาศที่จะ ล้ม อดีต สจ.ใน อ.นาหม่อม จ.สงขลา เพื่อให้แพ้การเลือกตั้งในครั้งนี้ ทั้งหมดคือภาพรวมของการ เลือกตั้ง องค์การบริหารส่วนจังหวัดในครั้งนี้ ซึ่ง ประชาชน ส่วนหนึ่งใน จังหวัดสงขลา กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า อยากให้ กกต.จังหวัดสงขลา ส่ง เจ้าหน้าที่ ออกติดตาม การ ซื้อสิทธิ์ ขายเสียง ที่เกิดขึ้น

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

‘ติ๊ก ชิโร่’ บินจากใต้มางาน ศพ ‘น้องจูเนียร์’ เสียชีวิตรายที่ 2 หลังนอนโคม่า 3 เดือน พ่อจี้เจรจาเยียวยา

(20 ม.ค. 68) ‘ติ๊ก ชิโร่’ บินจากใต้มางาน ศพ “น้องจูเนียร์” เหยื่อเมาขับ หลังตายตามพี่สาวเป็นศพที่ 2 ระบุมาไม่ทันรดน้ำศพเพราะเครื่อง ดีเลย์ ชี้ยอดเยียวยาจาก 9 ล้านบาท เป็น 24 ล้านบาท มากเกินไป ยันหากเจรจาในราคาที่พอใจทั้ง 2 ฝ่ายจะขายบ้านบางหลังรถบางคันเยียวยาแน่นอน ขณะที่ พ่อ 2 ศพพี่น้องกังวลโร่พบเพจดังเป็นสื่อกลางช่วย ทั้งกรณีเยียวยาไม่เป็นธรรมรวมถึงพฤติกรรมย้อนแย้ง ขณะที่ตำรวจจ่อเรียกตัวนักร้องดังแจ้งข้อหาเพิ่ม

เมื่อวันที่ 19 ม.ค.68 กรณี นายศิริศักดิ์ หรือมนัสนันท์ นันทเสน หรือ ติ๊ก ชิโร่ ศิลปินนักร้องชื่อดังขับรถตู้ชนรถ จยย. 3 พี่น้อง โดย น.ส.เทียนพร หรือเมจิ ศิวพรพิทักษ์ อายุ 28 ปี เสียชีวิตคาที่ นายจักรภัคร หรือจูเนียร์ ศิวพรพิทักษ์ อายุ 21 ปี นักศึกษาชั้นปี 2 มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งร่างกระเด็นตกสะพาน อาการสาหัส ส่วนอีกคนที่นั่งไปด้วยปลอดภัย เหตุเกิดถนนสุขาภิบาล 5 ช่วงสะพานข้ามถนนเทพรักษ์ แขวงออเงิน เขตสายไหม กรุงเทพฯ เมื่อเวลา 04.00 น. วันที่ 10 ต.ค.67 ขณะที่ตำรวจดำเนินคดีเมาแล้วขับหลังผลเลือดพบปริมาณแอลกอฮอล์เกินกำหนด ขณะที่ศิลปินดังขอเยียวยาชดใช้ความสูญเสียที่เกิดขึ้นตามที่เสนอข่าวไปนั้น

ล่าสุด นศ.ปี 2 เหยื่อเมาขับ “ติ๊ก ชิโร่” ดับอีกศพ โดยเมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 19 ม.ค. ที่ทำการเพจสายไหมต้องรอด ซอยสายไหม 38 นายจีรวัฒน์ ศิวพรพิทักษ์ อายุ 56 ปี พ่อผู้เสียชีวิต เข้าพบนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ระบุว่า ไม่ได้รับการเยียวยาใดๆจากนายศิริศักดิ์ หรือมนัสนันท์ นันทเสน หรือติ๊ก ชิโร่ คู่กรณี หลังขับรถชนลูกสาวและลูกชายเสียชีวิต

นายจีรวัฒน์ ศิวพรพิทักษ์ อายุ 56 ปี กล่าวว่า ที่ผ่านมาอยู่ระหว่างเจรจาพูดคุยกับติ๊ก ชิโร่ มา แต่ไม่ได้ข้อสรุปและอยากเห็นความจริงใจจากติ๊ก ชิโร่ มากกว่านี้ เห็นว่าที่ผ่านมาส่งแต่ตัวแทนมาพูดคุยและยืนกรานจะต่อสู้คดีชั้นศาล แม้จะรับสารภาพชั้นพนักงานสอบสวนก็ตาม วันนี้สูญเสียลูกไป 2 คน กังวลจะไม่ได้รับความเป็นธรรมเรื่องเงินเยียวยานอกจากค่างานศพแล้วไม่ได้แม้แต่บาทเดียว มีเพียงแต่ออกค่าใช้จ่ายตอนดูแลน้องจูเนียร์ที่ศูนย์ฟื้นฟูขณะที่ยังมีชีวิตประมาณ 82,000 บาท เป็นค่าใช้จ่ายตามจริง หลังออกจากโรงพยาบาลอยู่ศูนย์ฟื้นฟู น้องจูเนียร์มีอาการดีขึ้น แต่เมื่อวานนี้น้องปวดท้องรุนแรงนำตัวส่งโรงพยาบาลภูมิพล และเสียชีวิตช่วง 14.00 น. ก่อนนี้ติ๊ก ชิโร่ ได้ส่งตัวแทนเจรจาเสนอว่า มีที่ดินอยู่ที่ จ.นครราชสีมา ถ้าขายได้จะได้เงิน 4-5 ล้านบาท แล้วจะนำเงินมาให้ สอบถามไปที่น้องสาวติ๊ก ชิโร่ เพื่อจะขอดูที่ดินดังกล่าว แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ

ด้านนายเอกภพกล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่คุณพ่อเป็นกังวลเรื่องการเสนอชดใช้ด้วยที่ดินนั้น คุณพ่อไม่ทราบว่าที่ดินมีจริงหรือไม่จะขายได้เท่าใดมีรายละเอียดอย่างไร เรื่องนี้อยากให้พี่ติ๊ก ชิโร่ออกมาพูดคุยด้วยตนเอง ไม่ใช่ส่งตัวแทนมาพูดคุย อย่างน้อยที่สุดการเยียวยาจะเป็นเหตุบรรเทาโทษได้และการพูดคุยซึ่งหน้าจะตกลงได้รู้เรื่องกว่า

พ.ต.อ.นเรนทร์ เครื่องสนุก ผกก.สน.คันนายาว เปิดเผยว่า ขณะนี้มอบหมายพนักงานสอบสวนขอผลการชันสูตรพลิกศพจากนิติเวชแล้ว จะพูดคุยกับครอบครัวน้องจูเนียร์ว่าประสงค์จะเรียกค่าเสียหายเพิ่มหรือไม่ เพื่อที่จะเรียกทั้งสองฝ่ายมาเจรจากันใหม่ หากเจรจากันไม่ได้จะส่งฟ้องทันที รวมทั้งเตรียมที่จะเพิ่มข้อกล่าวหาประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายกับติ๊ก ชิโร่ เพื่อส่งฟ้องต่อพนักงานอัยการต่อไป

ต่อมาเวลา 16.00 น. ที่ศาลา 8 วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน ที่ตั้งศพนายจักรภัทร ศิวพรพิทักษ์ หรือน้องจูเนียร์ อายุ 21 ปี มีญาติพี่น้องและเพื่อนน้องผู้ตายทยอยมาร่วมพิธีรดน้ำศพท่ามกลางความโศกเศร้า มีสื่อมวลชนจำนวนมากปักหลักหน้าศาลา 8 เพื่อเฝ้าดูว่า ติ๊ก ชิโร่ จะมาร่วมงานศพน้องจูเนียร์หรือไม่

นายจีรวัฒน์ ศิวพรพิทักษ์ อายุ 56 ปี พ่อผู้เสียชีวิตกล่าวว่า ช่วงเวลา 11.00 น. วันนี้ส่งไลน์แจ้งไปยังติ๊ก ชิโร่ ให้ทราบว่า น้องจูเนียร์เสียชีวิตแล้ว ติ๊กชิโร่ส่งไลน์กลับมาแสดงความเสียใจกับครอบครัวและแจ้งว่าขณะนี้อยู่ที่ จ.สุราษฎร์ธานี เตรียมบินกลับมาร่วมงานรดน้ำศพและสวดศพช่วงเย็นวันนี้ ครอบครัวตนไม่ได้คาดหวังว่าจะมาหรือไม่ ถ้าจะมาร่วมงานศพครอบครัวก็ยินดี แต่ถ้าไม่มาก็ไม่เป็นไร ทั้งนี้ เข้าใจได้ว่าอาจจะเดินทางมาไม่ทันก็เป็นได้

พ่อ 2 พี่น้องที่สังเวยชีวิตจากการเมาแล้วขับกล่าวต่อว่า การเจรจาครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นนั้นเมื่อวันที่ 13 ธ.ค.ที่ผ่านมา เป็นการเจรจาขณะที่น้องจูเนียร์ยังมีชีวิต ถ้าหากติ๊กยังมีเจตนาที่จะพูดคุยเรื่องการเยียวยาในตอนนี้ที่น้องเสียชีวิตไปแล้ว ครอบครัวยินดี ส่วนเรื่องความจริงใจของติ๊กที่จะช่วยเหลือครอบครัวหรือไม่ เรื่องนี้ตอบแทนติ๊กไม่ได้ สำหรับเรื่องคดีไม่ทราบว่ารายละเอียดสำนวนคดีจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ รวมทั้งจะดำเนินคดีถึงที่สุดหรือไม่ ขอให้ปล่อยไปตามกระบวนการทางกฎหมาย เนื่องจากหลังจากนี้สำนวนคดีจะเข้าสู่ชั้นอัยการตามขั้นตอน

สำหรับงานสวดพระอภิธรรมศพน้องจูเนียร์ 3 คืน ตั้งแต่วันที่ 19-21 ม.ค.68 เวลา 18.00 น. และฌาปนกิจวันที่ 22 ม.ค. เวลา 14.00 น.

ต่อมาเวลา 18.23 น. หลังพระสวดอภิธรรมเสร็จสิ้น ติ๊ก ชิโร่ พร้อมเพื่อนอีก 2 คน เดินทางมาที่งานศพพร้อมกล่าวแสดงความเสียใจกับพ่อน้องจูเนียร์พร้อมบอกว่ามาช้าเพราะเครื่องดีเลย์ จากนั้นได้เข้าไปกราบศพและกลับมานั่งพูดคุยกับครอบครัวผู้สูญเสีย โดยกล่าวกับสื่อมวลชนว่า ยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดเรื่องการเยียวยาผู้เสียชีวิต เนื่องจากวันนี้ไม่อยากทำให้บรรยากาศครอบครัวน้องจูเนียร์รู้สึกว่าตนเดินทางมาทำอะไรไม่ดีให้กับครอบครัว ส่วนรายละเอียดทั้งหมดที่สื่อมวลชนอยากรู้จะนัดแถลงข่าวในครั้งต่อไป

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้าจะเดินทางมาที่วัด ติ๊ก ชิโร่ เปิดเผยทางโทรศัพท์ว่า หลังเกิดเหตุช่วยค่าทำศพไปประมาณ 1 แสนบาท กลุ่มเพื่อนๆร่วมใส่ซองอีกกว่า 7 หมื่นบาท ส่วนค่ารักษาน้องจูเนียร์ ได้ออกค่าใช้จ่ายให้ตามจริงและโอนไปอีก 1 แสนบาท หลังจากน้องจูเนียร์ออกจากโรงพยาบาลไปอยู่ที่ศูนย์พักฟื้น ตนดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมด และยังตกลงกับพ่อน้องจูเนียร์ว่า จะจ่ายให้เดือนละ 5 หมื่นบาททุกเดือน หากเดือนไหนค่าใช้จ่ายแค่ 3 หมื่น ก็เหลืออีก 2 หมื่น เดือนหน้าก็เติมไปอีกแค่ 3 หมื่น หากเดือนไหนเกิน 5 หมื่นจะเพิ่มตามจริง หลังเกิดเหตุยังพาพ่อแม่น้องจูเนียร์ไปที่บ้านตนเพื่อให้สบายใจว่าไม่หนีไปไหน ส่วนที่ตนไม่ได้ไปพบตอนตำรวจเรียกเพราะติดงานร้องเพลงต่างจังหวัด

ล่าสุดเมื่อวานนี้ (18 ม.ค.) ยังเอากระเช้าไปให้พี่ชายพ่อน้องจูเนียร์ และพูดคุยกันดีๆอยู่ก่อนที่น้องจูเนียร์จะเสีย ลุงน้องจูเนียร์ยังบอกว่าน้องอาการดีขึ้น สุดท้ายมีการเรียกค่าเยียวยาครั้งแรก 9 ล้านบาท แล้วมาเพิ่มเป็น 24 ล้าน นั่นหมายถึงช่วงที่น้องจูเนียร์ยังไม่เสีย มองว่ามากเกินไป หากตกลงได้ที่ 1-2 ล้าน ยังพอหาเงินได้ ตนบอกกับพ่อน้องว่าจะขายที่ดินต่างจังหวัดได้เงินมา 4-5 ล้านบาทจะให้ไปก่อน อีกอย่างช่วงนี้ยังไม่ได้เงินจากการลงทุนร้านอาหารอีก 2 ล้านบาท ถ้าได้เงินก้อนนี้มาจะเยียวยาไปก่อนเช่นกัน หากเจรจากันในราคาที่พอใจด้วยกันทั้ง 2 ฝ่ายได้ จะขายบ้านบางหลังและรถบางคันนำเงินมาเยียวยาผู้เสียหายอย่างแน่นอน

ขอเรียนเชิญผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคเงินสมทบทุนจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ โรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต อ.บ้านม่วง จ.สกลนคร

 

(20 ม.ค. 68) เมื่อเร็วๆ นี้ พระพรหมวชิรเวที (อมร ญาโณทโย) เจ้าอาวาสวัดปทุมวนารามราชวรวิหาร และนายแพทย์พันธวี คำสาว ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้จัดงานแถลงข่าวการเปิดรับบริจาคสมทบทุนซื้อเครื่องมือแพทย์ที่จำเป็น เพื่อให้โรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต สามารถเปิดดำเนินการได้ภายในปี 2569 พร้อมนำคณะมวลชวนร่วมงานพิธีเททองหล่อพระพุทธรูป ณ. บริเวณอุโบสถ วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร จำนวน 3 องค์ ได้แก่ 'พระสายน์' (จำลองจากพระประธานในพระอุโบสถ วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร) และอีก 2 องค์ ประกอบด้วยพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เพื่อนำไปประดิษฐาน ที่หอธรรมจินดาสุข โรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต อ.บ้านม่วง จ.สกลนคร พร้อมเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์หลวงปู่มั่น (โดยปรับปรุงจากกุฏิที่ท่านเคยมาพำนักจำพรรษา เมื่อครั้งจาริกมาศึกษาธรรมที่กรุงเทพมหานคร ให้เป็นพิพิธภัณฑ์เชิงนิทรรศการถาวร เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้หลักธรรมทางพุทธศาสนา ผ่านเรื่องราววิถีชีวิตหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ใหญ่สายพระป่ากัมมัฏฐานของไทย)

โดยพระพรหมวชิรเวที (อมร ญาโณทโย) เจ้าอาวาสวัดปทุมวนารามราชวรวิหาร กล่าวว่า "หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้เคยจำพรรษาที่วัดปทุมวนาราม 1 พรรษา เมื่อครั้งจาริกมาศึกษาธรรมที่กรุงเทพมหานคร และเป็นจุดแวะพักตั้งต้น ก่อนจาริกธุดงค์ไปภาคเหนือและตะวันตก และในขณะจำพรรษานั้นท่านได้มอบมรดกธรรมชิ้นสำคัญไว้ คือ ขันธะวิมุติสะมังคีธรรมะ ซึ่งเป็นธรรมบรรยายลายมือของหลวงปู่มั่น ซึ่งเป็นหลักฐานลายมือเพียงชิ้นเดียวที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน และกุฏิที่ท่านเคยมาพำนักจำพรรษานั้น ปัจจุบันได้ปรับปรุงให้เป็นพิพิธภัณฑ์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พิพิธภัณฑ์เชิงนิทรรศการถาวร จัดแสดงธุดงควัตร เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้หลักธรรมทางพุทธศาสนา ผ่านเรื่องราววิถีชีวิตหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ใหญ่สายพระป่ากัมมัฏฐานขอองไทย และ UNESCO ประกาศยกย่องให้ท่านเป็นบุคคลสำคัญของโลกสาขาสันติภาพ โดยพิพิธภัณฑ์เปิดให้ทุกท่านได้เข้าเยี่ยมชมในวันพุธ-วันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 8:00 – 17:00 น. หยุดวันจันทร์และวันอังคาร โดยมีผู้นำชมและให้ข้อมูลอย่างครบถ้วน"

ด้าน พระธรรมวัชรญาณวิศิษฏ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ซึ่งเป็นประธานโครงการก่อสร้างโรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต นั้นได้กล่าวถึงที่มาของการสร้างโรงพยาบาลหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ว่า "จังหวัดสกลนครมีความผูกพันกับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโตมาก ท่านมาจำพรรษาอยู่ในวัดป่าที่สกลนครหลายวัด และละสังขารก็ที่วัดป่าสุทธาวาส สกลนครนี่เอง ส่วนพระบรมสารีริกธาตุ อัฐิธาตุหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ก็อยู่ที่ 'วัดภูริทัตตถิราวาส' หรือ 'วัดป่าบ้านหนองผือ' ที่สกลนครด้วย...

"ทีนี้ตอนครบรอบ 150 ปี ชาตกาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และพอดีกับที่ท่านได้รับการยกย่องเป็นบุคคลสำคัญของโลกสาขาสันติภาพของยูเนสโก วัดปทุมวนารามราชวรวิหารจึงริเริ่มแนวคิดที่จะก่อสร้างโรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ขึ้น โดยตั้งขึ้น ที่บ้านลึมบอง หมู่ 3 ตำบลบ่อแก้ว อำเภอบ้านม่วง จังหวัดสกลนคร เป็นโรงพยาบาลสาขาของโรงพยาบาลบ้านม่วง ซึ่งได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็น“โรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต” โดยอาตมาได้ให้โรงพยาบาลแห่งใหม่ที่จะสร้างนี้ใช้ชื่อว่า “โรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ศูนย์พระธรรมวัชรญาณวิศิษฏ์ (บ้านลึมบอง)...

"ที่โรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ศูนย์พระธรรมวัชรญาณวิศิษฏ์ (บ้านลึมบอง) แห่งนี้ มีการสร้างหอธรรมจินดาสุข เป็นอาคารลักษณะคล้ายศาลาการเปรียญ จึงมีการหล่อพระประธานคือพระสายน์ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปในวัดปทุมวนาราม ขนาดหน้าตัก 40 นิ้ว และรูปเหมือนหลวงปู่มั่น กับหลวงตามหาบัว ขนาด 30 นิ้ว เพื่อนำไปประดิษฐานในหอธรรมแห่งนี้...

"วัตถุประสงค์การก่อสร้าง เพื่อเป็นศูนย์รวมใจของประชาชน ผู้ป่วยและญาติ รวมถึงบุคลากร  ใช้เป็นสถานที่ในการทำกิจกรรมได้หลากหลาย ทั้งการบำบัดรักษาผู้ป่วยด้วยธรรมะ และเป็นสถานที่ในการประกอบพิธีทางศาสนา และเป็นสถานที่ดำเนินกิจกรรมอื่นๆ ที่เป็นสาธารณประโยชน์ แก่ผู้ป่วย และชุมชนใกล้เคียง"

ทางด้าน นายแพทย์พันธวี คำสาว ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภุริทัตโต กล่าวถึงประโยชน์ของการมีโรงพยาบาลแห่งที่ 2 ของ อ.บ้านม่วง ว่า "เนื่องจากอำเภอบ้านม่วงเป็นอำเภอที่มีขนาดใหญ่ พื้นที่ 850 ตร.กม. มีประชากรในพื้นที่ 7หมื่นคน ห่างไกลจากตัวจังหวัด ระยะทาง 130 กม. ใช้เวลาเดินทาง ประมาณ 2 ชม. มีความลำบากในการเดินทางเข้าโรงพยาบาลจังหวัด ซึ่งอำเภอบ้านม่วงมีโรงพยาบาลหลัก 1 แห่ง คือโรงพยาบาลบ้านม่วง ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นโรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เป็นโรงพยาบาลขนาด 82 เตียง ดูแลคนไข้ทั้งในอำเภอบ้านม่วงและใกล้เคียง มีความแออัด และประชาชนบางพื้นที่ยังมีความห่างไกลจากโรงพยาบาล เดินทางลำบาก...

"และในการสร้างโรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต แห่งที่ 2 (ศูนย์พระธรรมวัชรญาณวิศิษฏ์เวชชานุกูล บ้านลึมบอง) นี้ จะทำให้ลดความแออัดของโรงพยาบาลและประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงสามารถเข้าถึงการดูแลรักษาได้สะดวกมากยิ่งขึ้น และโรงพยาบาลสามารถเพิ่มศักยภาพการให้บริการให้ครอบคลุมมากขึ้นตามสภาพปัญหาทางสุขภาพในปัจจุบัน"

ในส่วนการดำเนินการก่อสร้างนั้น เมิ่อวันที่ 20 กันยายน 2565 กรมป่าไม้ ได้อนุญาตให้กระทรวงสาธารณสุข ใช้ประโยชน์ในพื้นที่เขตป่าสงวนแห่งชาติ เนื้อที่ 40 ไร่ ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดงอีบ่าง-ป่าดงคำกั้ง-ป่าดงคำพลู ที่บ้านลึมบอง หมู่ 3 ตำบลบ่อแก้ว อำเภอบ้านม่วง จังหวัดสกลนคร ให้ดำเนินการก่อสร้างโรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต  การก่อสร้างได้เริ่มดำเนินการในปี 2566 ปัจจุบัน ได้รับทุนเบื้องต้นในการก่อสร้าง 78.5 ล้านบาท จากผู้มีจิตศรัทธา กำลังดำเนินการก่อสร้างอาคาร ผู้ป่วยนอก อาคารผู้ป่วยในขนาด 30 เตียง ซึ่งดำเนินการไปแล้วประมาณ 60% และศาลาธรรม ที่มองว่าจะเป็นศูนย์รวมใจของประชาชน และผู้ป่วยในการบำบัดรักษาอาการเจ็บป่วยทั้งทางกายและใจ ส่วนนี้ดำเนินการใกล้เสร็จเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ ทางโรงพยาบาลได้ดำเนินการของบประมาณสิ่งก่อสร้างเพิ่มเติมจากกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 37 ล้านบาท ประกอบด้วย ระบบสาธารณูปโภค อาคารที่พักอาศัยของบุคลากร ระบบไฟฟ้าฉุกเฉิน และถนน ภายในโครงการ เพื่อให้องค์ประกอบด้านสถาปัตยกรรม ของโรงพยาบาลมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

สำหรับโรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต แห่งที่ 2 มีแผนเปิดให้บริการในปี 2569 โดยคาดหวังว่าจะมีอาคารสถานที่ และอุปกรณ์ที่จำเป็น เพียงพอที่จะให้บริการได้  ในช่วงแรกอาจจะยังไม่ครบสมบูรณ์ 100% แต่ขอให้เพียงพอสำหรับการเริ่มให้บริการ ส่วนสิ่งอื่นๆ ที่ยังขาด สามารถเพิ่มเติมในภายหลังได้ครับ"

ส่วนเป้าหมายในการให้บริการดูแลผู้ป่วยนั้น นายแพทย์พันธวี คำสาว กล่าวต่อว่า "ทางโรงพยาบาลฯได้มีการประชุมวางแผนร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสกลนคร เกี่ยวกับแผนการดำเนินงานของโรงพยาบาลพระอาจารย์มั่นฯ แห่งที่ 2 โดยพิจารณาจากสภาพปัญหาทางด้านสุขภาพในพื้นที่ พบว่าแนวโน้มทางด้านประชากรเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) เนื่องจากมีอัตราเด็กเกิดใหม่ ลดลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่คนอายุยืนมากขึ้น แต่เป็นการอายุยืนพร้อมกับการเจ็บป่วยเรื้อรังและความทุพลภาพ คาดว่า ในอีก 5-10 ปี ข้างหน้า สัดส่วนประชากรวัยทำงานจะลดลง และผู้สูงอายุจะมากขึ้น และอีกปัญหาทางสังคมคือปัญหายาเสพติด ดังนั้นทางโรงพยาบาลจึงได้กำหนดทิศทางการให้บริการของโรงพยาบาลไปที่การดูแลผู้ป่วย 3 กลุ่มหลักคือ ผู้ป่วยระยะประคับประคองหรือระยะสุดท้าย (Palliative care) ผู้ป่วยที่ต้องได้รับการฟื้นฟูระยะกลาง (Intermediate care) และบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด ซึ่งจะเป็นจุดเด่นของโรงพยาบาลแห่งนี้ สามารถดูแลผู้ป่วยได้ทั้งภายในอำเภอ และภูมิภาคได้เป็นอย่างดี และตอบสนองต่อสภาพปัญหาด้านสุขภาพอย่างแท้จริง"

ด้านการบริหารจัดการอัตรากำลังบุคลากร จะเป็นการบริหารอัตรากำลังร่วมกับโรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต (แห่งที่ 1) ซึ่งเป็นโรงพยาบาลหลักของโรงพยาบาล ปัจจุบัน มีบุคลากรอยู่ทั้งสิ้น 320 คน แพทย์ 10 คน พยาบาล 72 คน และสหวิชาชีพอื่นๆ เมื่อเปิดโรงพยาบาลอีกแห่ง ประมาณการไว้ว่าจำเป็นจะต้องมีบุคลากรเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 100 คน ประกอบด้วย แพทย์ 4 คน และพยาบาล 30 คน และสหวิชาชีพอื่นๆ เพื่อให้เพียงพอต่อการให้บริการตามเป้าหมาย ในระหว่างการก่อสร้างโรงพยาบาลนี้ ได้มีการเตรียมความพร้อมบุคลากรที่มีอยู่ ทั้ง แพทย์ พยาบาล เภสัชกร นักกายภาพ บำบัดและอื่นๆ โดยการส่งฝึกอบรมความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ในสาขาที่จะเปิดให้บริการ ได้แก่ เวชศาสตร์ยาเสพติด การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย การฟื้นฟูผู้ป่วยระยะกลาง ซึ่งเมื่อเปิดให้บริการโรงพยาบาลแห่งที่ 2 ศักยภาพด้านบุคลากร จะเพียงพอและสอดคล้องกับรูบแบบการให้บริการของโรงพยาบาล

ตั้งแต่เริ่มดำเนินการมา ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเป็นอย่างดี โดยเฉพาะประชาชน ชาวบ้านลึมบอง ประชาชนตำบลบ่อแก้ว ประชาชนอำเภอบ้านม่วง และจังหวัดสกลนคร รวมถึงส่วนราชการต่างๆ เมื่อมีกิจกรรมต่างๆ เกี่ยวกับการก่อสร้างโรงพยาบาลพระอาจารย์มั่นฯ ทุกภาคส่วนจะให้ความช่วยเหลือและร่วมมือเป็นอย่างดี แสดงให้เห็นถึงความศรัทธาในองค์หลวงปู่มั่น และความสามัคคีของคนในชุมชน

สำหรับอุปกรณ์จำเป็นที่ต้องการรับบริจาค เพื่อให้เปิดดำเนินการได้นั้น การเปิดบริการของโรงพยาบาลพระอาจารย์มั่นฯ แห่งที่ 2 มีความจำเป็นที่จะต้องจัดหา งบประมาณเพื่อจัดซื้อ รถพยาบาล ยานพาหนะ เครื่องมือแพทย์ อุปกรณ์ช่วยชีวิตฉุกเฉิน ระบบออกซิเจนเหลว และอุปกรณ์อื่นๆที่จำเป็น มูลค่าโดยประมาณ 47.9 ล้านบาท ซึ่งรายการเบื้องต้นประกอบด้วย...

- รถพยาบาลพร้อมอุปกรณ์ฉุกเฉิน จำนวน 3 คัน คันละ 2,500,000 บาท
- เครื่อง x-ray ทั่วไป ขนาด 500 MA จำนวน 1 เครื่อง 1,700,000 บาท
- เครื่องช่วยนวดหัวใจและฟั้นคืนชีพอัตโนมัติ จำนวน 1 เครื่อง 1,000,000 บาท
- เครื่องอัลตราซาวน์ 1 เครื่อง 930,000 บาท
- เครื่องฝึกการทรงตัว พร้อมอุปกรณ์ยกผู้ป่วย สำหรับฟื้นฟูผู้ป่วยระยะกลาง 2 เครื่อง เครื่องละ 810,000 บาท
- เครื่องกระตุ้นระบบประสาทด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 1 เครื่อง 900,000 บาท

รวมทั้งยานพาหนะและอุปกรณ์อื่นๆ จำนวน 147 รายการ มูลค่าทั้งสิ้น 47,944,960 บาท

และในวันที่ 20 มกราคมนี้ เป็นวันครบรอบ 155 ปี ชาตกาลหลวงปู่มั่นฯ เพื่อเป็นมหาเถรบูชาต่อพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต จึงขอเชิญชวน พุทธศาสนิกชน และผู้มีจิตศรัทธา ร่วมบริจาคเพื่อจัดหาเครื่องมือแพทย์สำหรับโรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ผ่านระบบ e-donation ซึ่งสามารถนำไปลดหย่อนภาษี ได้ 2 เท่า โดยสามารถบริจาค ได้ที่ บัญชีธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) ชื่อบัญชี 'กองทุนเครื่องมือแพทย์ รพ.พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต' เลขที่บัญชี 020229922839 หรือบริจาค ด้วย mobile application ของธนาคาร โดยสแกน QR code บริจาคผ่านระบบ e-donation โดยตรง สามารถติดต่อสอบถามได้ที่เบอร์โทร 0986950325 หรือ line official account @pmhdonation โดยสามารถบริจาคได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

ด้าน คุณพิพัตร ราชปึ ตัวแทนประชาชนในพื้นที่ กล่าวถึงความรู้สึกของประชาชนในพื้นที่ ในการก่อสร้างโรงพยาบาลพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ว่า "ในนามของตัวแทนชาวบ้านลึมบอง หลังจากทราบว่าจะมีการสร้างโรงพยาบาลในหมู่บ้านลึมบอง ผมและชาวบ้านมีความรู้สึกตื่นเต้นและยินดีเป็นอย่างยิ่ง นับว่าเป็นบุญของชาวบ้านโดยแท้จริง ที่จะมีโรงพยาบาลอยู่ใกล้และเดินทางสะดวกมากยิ่งขึ้น ชาวลึมบองและชาวอำเภอบ้านม่วงมีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มีส่วนร่วมในการดำเนินการของโรงพยาบาล ตั้งแต่เริ่มกระบวนการดำเนินงานผมและชาวบ้านได้ร่วมแรงร่วมใจกับทุกภาคส่วน ดำเนินการในกิจกรรมต่างๆ เกี่ยวกับโรงพยาบาลพระอาจารย์มั่นฯ และผมมั่นใจว่าโรงพยาบาลแห่งนี้จะเปิดให้บริการได้ตามกำหนดเพื่อดูแลผู้ป่วยในพื้นที่ใกล้เคียงได้เป็นอย่างดี"

และในโอกาสครบรอบ 155 ปี ชาตกาลหลวงปู่มั่นฯ ในปีนี้ คุณพสุ ตีรวัชร ผู้บริหารเพจ 'พุทธสายฤทธิ์' ได้ผลิตสารคดีหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ชุด 'ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว' เผยว่า มีแรงบันดาลใจจาก สังคมไทยปัจจุบันเผชิญกับปัญหาความเสื่อมทรามทางศีลธรรม อาชญากรรม และความวุ่นวายต่างๆ การแก้ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่ง่าย เพราะผู้คนในปัจจุบันไม่ชอบการสอนแบบตรงไปตรงมา และต้องเชื่อหรือมีศรัทธาก่อนจึงจะยอมรับฟัง เพื่อเป็นการยกระดับสังคม ผ่านการเรียนรู้แบบไม่ยัดเยียด ทีมงานจึงมีแนวคิดที่จะสร้างสรรค์สารคดีคุณภาพเพื่อเผยแพร่เรื่องราวของพระอริยะและพระธรรมคำสอนของหลวงปู่มั่น สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนหันมาสนใจปฏิบัติธรรม และแก้ไขปัญหาสังคม

โดยในสารคดีชุด 'ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว' จะนำเสนอเรื่องราวชีวิตตั้งแต่วันที่ท่านถือกำเนิดจนวันละสังขาร และคำสอนต่างๆ ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้มีบทบาทสำคัญของพุทธศาสนาทั้งในประเทศไทยและระดับโลก ยืนยันได้โดยการยกย่องจากองค์กร UNESCO ตลอดจนลูกศิษย์คนสำคัญของท่านที่มีบทบาทสำคัญในการเผยแผ่พุทธศาสนาต่อมา

"จุดเด่นของสารคดีชุดนี้ เรามุ่งหวังที่จะนำเสนอเรื่องราวชีวิตของท่านในมุมมองที่แปลกใหม่และน่าสนใจ ผ่านสารคดีชุดประกอบเสียงบรรยาย ที่สร้างภาพกึ่งเสมือนจริงจากเทคโนโลยี AI Generated แล้วทำให้วัตถุในภาพสามารถเคลื่อนไหวผ่านเทคโนโลยีล่าสุด จนเกิด Visual ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนเพื่อดึงดูดความสนใจ เร้าอารมณ์ สร้างความรู้สึกร่วม พร้อมดนตรีประกอบที่พิถีพิถันเพื่อให้ช่วยยกระดับประสบการณ์การรับชม เพื่อให้ผู้ชมทุกเพศทุกวัยสามารถเข้าใจและซาบซึ้งในพระธรรมคำสอนของท่านได้" คุณพสุ ตีรวัชร กล่าวในท้ายสุด

รายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อฝ่ายประชาสัมพันธ์โครงการ : คุณจิรายุศ สิทธิพฤกษ์ (แตน) MB. 091-737-2345 / Email : [email protected]

 

ผบ.ตร.ประชุมร่วมทุกหน่วยขันน๊อตแก้ปัญหาจริงจัง เน้นปัญหาคนต่างชาติถูกหลอกลวงใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน กำชับตำรวจพื้นที่ชายแดนแม่สอด จ.ตาก มีมาตรการแก้ปัญหาให้เห็นผลชัดเจนภายใน 7 วัน 

พร้อมคาดโทษตำรวจทุกหน่วยที่ปล่อยปะละเลย หรือเข้าไปยุ่งเกี่ยว ต้องถูกดำเนินการอย่างเด็ดขาด

(20 ม.ค. 68) เวลา 14.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานการประชุมแก้ปัญหาคนต่างด้าวที่หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และคนต่างด้าวตั้งกลุ่มแก๊งกระทำความผิดหรือประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย และอาชญากรรมข้ามชาติ โดยมี พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร. , ผู้ช่วย ผบ.ตร. และผู้แทนหน่วยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ณ ห้องศรียานนท์ อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผ่านการประชุมระบบทางไกลผ่านจอภาพ

ตามนโยบายรัฐบายที่จะเร่งแก้ปัญหาอาชญากรรม อาชญากรรมออนไลน์ และอาชญากรรมข้ามชาติ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน สำนักงานตำรวจแห่งชาติโดย ผบ.ตร.ขานรับนโยบายนำมาสู่การปฏิบัติ ซึ่งได้กำหนดนโยบายการปฏิบัติงานในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน และเป็นภัยคุกคามต่อความสงบเรียบร้อยของประเทศ และป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ และกลุ่มชาวชาวต่างชาติที่ประกอบธุรกิจโดยใช้นอมินี แรงงานต่างด้าวที่หลบหนีเข้าเมืองหรือทำงานโดยผิดกฎหมาย

ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากกรณีดังกล่าว ก่อให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนและส่งผลต่อภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยว และการรักษาความปลอดภัยของประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับกรณีดังกล่าว จึงขอให้ทุกหน่วยเร่งรัดดำเนินการให้เกิดผลโดยเร็ว มอบหมายหน้าที่แก่ผู้ปฏิบัติแต่ละนายให้ชัดเจน ตรวจสอบได้ และประสานการปฏิบัติกับทุกหน่วย 

ทั้งนี้ ผบ.ตร. มีข้อสั่งการ ดังนี้
1. กำชับห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปยุ่งเกี่ยว พัวพัน เรียก รับ หรือยอมรับทรัพย์สินหรือผลประโยชน์ใดโดยทุจริตหรือประพฤติมิชอบ ไม่เหมาะสม โดยผู้บังคับบัญชาจะต้องตรวจสอบการปฏิบัติงานและความประพฤติเจ้าหน้าที่อย่างใกล้ชิด เกิดผลการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม หากเพิกเฉย ละเลย จะถือว่าไม่เอาใจใส่ในการทำหน้าที่ เมื่อพบข้อบกพร่อง/ร้องเรียน จะพิจารณาทางปกครอง วินัย และอาญา โดยเด็ดขาดในทุกระดับชั้น

2. ให้กองบังคับการตำรวจนครบาล และตำรวจภูธรจังหวัด เป็นหน่วยหลักในการจัดทำแผนระดับพื้นที่ และจัดทำข้อมูลท้องถิ่นร่วมกับกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว กองบัญชาการตำรวจสันติบาล กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และกองการต่างประเทศ เพื่อกำหนดการปฏิบัติร่วมกัน เช่น การตรวจที่พักคนต่างด้าว การตั้งจุดตรวจ/จุดสกัด (แบบใยแมงมุม) การสืบสวนปราบปราม ตลอดจนประสานหน่วยอื่น ๆ เช่น กกล.ทหาร (ชายแดน) กอ.รมน. หน่วยข่าวด้านความมั่นคงและภาคส่วนในพื้นที่ โดยผู้บังคับการตำรวจนครบาล และผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด จะต้องติดตามสถานการณ์ ประสานงานหน่วยในพื้นที่ และจัดทำแผนการปฏิบัติร่วมกัน ส่วนหน่วยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จะต้องมีการส่งต่อและเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยให้เป็นปัจจุบัน โดยเฉพาะการแจ้งที่พักอาศัย สถานะของคนต่างด้าว บูรณาการข้อมูลทุกด้าน โดยให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเป็นหน่วยหลัก

ผบ.ตร. กล่าวว่า วันนี้ได้รับฟังข้อมูลจากหน่วยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนภารกิจ หน้าที่ตามกรอบของกฎหมายแต่ละฉบับ การประสานงานประเทศต้นทาง ในการควบคุม กำกับดูแลการประกอบธุรกิจต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคนต่างด้าว เช่น ที่พักอาศัย รถเช่าต่าง ๆ ไกด์หรือมัคคุเทศก์ในประเทศไทย การเดินทางตามเส้นทางต่าง ๆ ในประเทศไปจนกระทั่งพื้นที่ชายแดน และการออกจากประเทศไทย พร้อมเน้นย้ำให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และแผนประทุษกรรมด้านการหลอกลวง การช่วยเหลือสืบสวนขยายผลติดตามคนต่างด้าว และกลไกการส่งต่อระดับชาติตามแผนป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์และแผนอาชญากรรมข้ามชาติ โดยให้ตำรวจพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนระดับพื้นที่ให้รัดกุม ชัดเจน และตั้งผู้ประสานงานระหว่างประเทศรับข้อมูลฝ่ายต่าง ๆ มาขับเคลื่อนโดยทันที

นอกจากนี้ ผบ.ตร. กล่าวว่า ในการประชุมวันนี้ มุ่งเน้นการยกระดับแก้ไขปัญหาสำคัญ โดยเฉพาะปัญหาคนต่างชาติถูกหลอกลวงโดยใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านในพื้นที่ชายแดนต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายแดนด้าน อ.แม่สอด จ.ตาก ที่เกิดปัญหาอย่างมากในขณะนี้ สั่งการให้ตำรวจในพื้นที่ อ.แม่สอด ต้องมีมาตรการดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ให้เห็นผลชัดเจนภายใน 7 วัน

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ป้องกันปราบปราบ สืบสวนขยายผลไปยังตัวการ ผู้ร่วมกระทำความผิด ผู้ช่วยเหลือที่กระทำความผิดตามกฎหมายทุกราย บริหารจัดการทุกภาคส่วนตั้งแต่ท่าอากาศยาน รถให้เช่า เส้นทาง ที่พักคอยต่าง ๆ ขอความร่วมมือคนไทยช่วยกันประชาสัมพันธ์และเป็นเจ้าบ้านที่ดี ต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างอบอุ่น ช่วยเหลือดูแล เพื่อสร้างภาพลักษณ์การท่องเที่ยวและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยต่อไป

‘สังศิต พิริยะรังสรรค์’ ฟาด!! รัฐบาล ต้องการบิดเบือน ซ่อนเร้น ผลประโยชน์ อ้าง!! ใช้พื้นที่ไม่เกิน 10% แต่ความเป็นจริง สร้างรายได้ 70% ของรายได้ทั้งหมด

(19 ม.ค. 68) นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา นักวิชาการที่ศึกษาติดตามเรื่องเศรษฐกิจนอกกฎหมาย ธุรกิจใต้ดิน มาหลายสิบปีตั้งแต่สมัยเป็นผอ.ศูนย์ศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมือง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ และทำวิจัยเรื่องการเปิดกาสิโนในประเทศไทย โพสต์ข้อความเรื่อง ‘กาสิโนใต้เงามืด’ เนื้อหาระบุ

สรรพสิ่งทั้งหลายในโลก ทั้งคน พืช สัตว์ สิ่งของและคาสิโน ล้วนแล้วแต่มีด้านที่เป็นประโยชน์ และด้านที่เป็นโทษอยู่ในตัวทั้งสิ้น สุดแต่ว่าสิ่งนั้นจะถูกนำไปใช้เพื่ออะไร เพื่อใคร และสิ่งนั้นจะแสดงบทบาทด้านบวกหรือด้านลบออกมาอย่างไรขึ้นอยู่กับว่าสิ่งนั้นจะถูกนำมาใช้ภายใต้ปัจจัยและเงื่อนไขอะไร?

คาสิโนเฉกเช่นเดียวกับสรรพสิ่งในโลกนี้ ที่มีทั้งด้านที่เป็นประโยชน์และด้านที่เป็นโทษต่อสังคม ภายใต้สถานการณ์ที่เหมาะสม คาสิโนอาจช่วยเหลือเศรษฐกิจของประเทศได้ ในทางตรงกันข้าม ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่เหมาะสม หากนำมาใช้ มันสามารถทำลายเศรษฐกิจของประเทศให้ล่มจม ได้เช่นเดียวกัน

คาสิโนจะเป็นพลังด้านบวกและเป็นประโยชน์ต่อประเทศได้ก็ต่อเมื่อมันอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ระบบการเมือง และระบบราชการดี รัฐบาลไม่มุ่งหาผลประโยชน์ส่วนตัวจากคาสิโน แต่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศมากกว่า ดังเช่นคาสิโนที่เกิดขึ้นในประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ เป็นต้น

แต่ถ้าคาสิโนเกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขของระบบการเมืองและระบบราชการที่ขาดธรรมาภิบาลอย่างร้ายแรง นักการเมือง มุ่งแสวงหาผลประโยชน์จากคาสิโนให้แก่ตัวเองและพวกพ้อง คาสิโนสามารถจะแสดง บทบาทด้านลบออกมาได้เช่นเดียวกัน ดังที่เกิดขึ้นแล้วในประเทศอาเซียนรอบๆ ประเทศไทย

นโยบายการสร้างคาสิโนของรัฐบาลทุกประเทศเท่าที่ผ่านมา รวมทั้งของรัฐบาลไทยในขณะนี้ มีวัตถุประสงค์เหมือนกันหมด คือต้องการเม็ดเงินลงทุนจากธุรกิจภาคเอกชน ไม่ว่าจะมาจากทุนต่างประเทศหรือในประเทศก็ตาม เพื่อให้เศรษฐกิจในประเทศมีการเจริญเติบโตมากขึ้น นี่เป็นตรรกะของเศรษฐกิจตลาดหรือเศรษฐกิจทุนนิยม ที่ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาลก็คิดคล้ายๆ กัน

การทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศมีการเจริญเติบโตขึ้นเป็นสิ่งที่เข้าใจได้  แต่สิ่งที่ผู้นำของรัฐบาลที่มีจิตใจแบบชาตินิยมที่ต้องการเห็นประเทศของตนเองเจริญรุ่งเรืองแบบยั่งยืน จำเป็นต้องตระหนักตั้งแต่เริ่มต้นก็คือ การดำเนินนโยบายทางด้านเศรษฐกิจที่ยึดถือหลักคุณธรรม และการยึดถือผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้งมากยิ่งกว่าผลประโยชน์ของตนเอง

หากรัฐบาลยึดถือหลักคุณธรรมทางด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลต้องแสดงให้เห็นถึงความซื่อสัตย์สุจริตในการแสดงออก และการกระทำว่าสิ่งที่รัฐบาลดำเนินการอยู่นั้นเป็นไปอย่างเปิดเผย โปร่งใส เชื่อถือได้ ไม่มีสิ่งใดที่รัฐบาลปิดบังซ่อนเร้นประชาชนไว้

ดังนั้น ประการแรก หากรัฐบาลต้องการทำคาสิโนหรือการพนันที่ถูกกฎหมาย รัฐบาลควรออกเป็น ‘พระราชบัญญัติคาสิโน’ ไม่ใช่ ‘พระราชบัญญัติสถานบันเทิงครบวงจร’ เพราะ การกระทำดังกล่าวของรัฐบาล เป็นการบิดเบือนและซ่อนเร้น ความต้องการที่แท้จริงของรัฐบาลเอาไว้ ถึงแม้รัฐบาลจะกล่าวอ้างว่าพื้นที่ของสถานคาสิโนมีไม่เกิน 10% ของพื้นที่ทั้งหมด แต่ความเป็นจริงแล้วคาสิโนเป็นที่มาของรายได้ราว 70% ของรายได้ทั้งหมดของสถานบันเทิงครบวงจร กิจกรรมบันเทิงอื่นๆที่เหลือทั้งหมด ที่ใช้พื้นที่ราว 95% สามารถสร้างรายได้ราว 30% เท่านั้น

ประการที่สอง การกำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และมีนักการเมืองเป็นกรรมการอีก จำนวนหนึ่งมี “อำนาจ” การออกใบอนุญาต ใบละหนึ่งหมื่นล้านบาท จำนวนอย่างน้อย 10 แห่ง และกฎหมายยังเปิดช่องให้ ออกใบอนุญาตได้มากกว่านั้นอีกในอนาคต การให้อำนาจในการใช้ดุลยพินิจอย่างเลยเถิด โดยขาดหลักธรรมาภิบาลแก่ คณะกรรมการฯในกรณีนี้จะสร้างปัญหาความวุ่นวาย ทางการเมืองให้กับประเทศไทย เป็นอย่างมากในอนาคต

หากเราใช้ประสบการณ์ของประเทศสิงคโปร์ จะพบว่า จำนวนคาสิโนถูกกำหนดไว้ในกฎหมาย ซึ่งทำให้ไม่มีบุคคลใดสามารถใช้ดุลยพินิจอนุมัติการสร้างคาสิโนเพิ่มเติมได้อีก

การกำหนดให้เงินรายได้จากการขายใบอนุญาตคาสิโน ซึ่งคาดว่าจะมีอย่างน้อยที่สุด 100,000  ล้านบาท เข้าไปที่กองทุนของสถานบันเทิงครบวงจร อาจทำให้การใช้จ่ายเงินของกองทุนนี้เป็นไปโดยไม่สุจริต และถูกนำไปใช้ในโครงการที่เกี่ยวข้องกับ การเมือง กลายเป็นแหล่งเงินทุนของพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล ทำให้ระบบการเมือง และราชการเสื่อมทรามเลวร้ายลงมากกว่าเดิม

สิงคโปร์แก้ปัญหาภาพรวมของการพนันโดยการตั้งคณะกรรมการการพนันระดับชาติ ซึ่งทำหน้าที่ดูแลปัญหาในภาพรวมของประเทศ แต่คณะกรรมการชุดนี้ไม่มีผลประโยชน์ใดๆ เกี่ยวข้องเลย ซึ่งแตกต่างจากคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงวงจรของไทย

ประการที่สาม การกำหนดให้มีสถานบันเทิงครบวงจรถึง 10 แห่งทั่วทุกภาคของประเทศ น่าจะมีจำนวนมากจนเกินไป จนเกินกว่าศักยภาพของหน่วยงานภาครัฐจะบังคับใช้กฎหมายในการตรวจสอบการฟอกเงินจากยาเสพติด การค้ามนุษย์ และการคอรัปชั่นในสถานคาสิโนได้

หากภาครัฐไม่สามารถตรวจสอบและควบคุมเงินผิดกฎหมายในคาสิโนทั้ง 10 แห่ง ได้อย่างมีประสิทธิภาพและ ประสิทธิผล  คาสิโนจะเป็นตัว ทำลายความน่าเชื่อถือของประเทศอย่างร้ายแรงที่สุด ซึ่งจะส่งผลต่อต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศจนยากที่จะแก้ไขได้

นอกจากนี้การที่รัฐบาลกำลังจะอนุญาตเปิดให้มีการเล่นการพนันทางออนไลน์ได้อย่างถูกต้องตามกฏหมาย รัฐบาลควรตระหนักถึงเยาวชนของชาติในอนาคตที่จะถูกดึงเข้าสู่ตลาดการพนันได้ง่าย การที่ภาครัฐยังไม่มีการปฏิรูประบบการทำงาน ของหน่วยงานการบังคับใช้กฎหมายในเรื่องนี้ให้มีความโปร่งใสและสุจริต  รัฐบาลจะสามารถให้ความมั่นใจแก่สังคมได้อย่างไรว่า จะไม่ให้มีเงินสีเทาหรือเงินสีดำเข้ามาเกี่ยวข้องกับตลาดการพนันออนไลน์

ประเทศจะเจริญได้อย่างมั่นคงในระยะยาว นอกจากรัฐบาลจะต้องคำนึงถึงการสร้างเศรษฐกิจที่เจริญรุ่งเรือง โดยมีหลักศีลธรรมกำกับเอาไว้แล้ว ที่สำคัญ อีกประการหนึ่งคือรัฐบาลต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง ประเทศที่เข้มแข็ง  ต้องมีประชาชนที่มีจิตใจที่เจริญเช่นเดียวกัน ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องส่งเสริมให้ประชาชนมีศีลธรรม มีการประพฤติปฏิบัติที่ดีงาม มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีความขยันขันแข็งในการประกอบอาชีพการงาน หากรัฐบาลสนใจแต่ส่งเสริมทางด้านเศรษฐกิจให้เจริญรุ่งเรือง โดยไม่ใส่ใจต่อความเจริญรุ่งเรืองทางจิตใจของประชาชนแล้ว ในท้ายที่สุดเศรษฐกิจของไทยจะกลายเป็นเศรษฐกิจของต่างชาติที่คนไทยเป็นเพียงผู้อยู่อาศัยเท่านั้นเอง

‘เหนือเพชร กีล่าสปอร์ต’ พ่ายคะแนน!! ‘เพชร สวนหลวงรถยก’ หลังแข่งขันเสร็จ ‘จมูกหัก’ รีบโทรไปหา!! ‘ภรรยา’ เพื่อขอกำลังใจ

(19 ม.ค. 68) เหนือเพชร กีล่าสปอร์ต พ่ายคะแนน เพชร สวนหลวงรถยก หลังแข่งขันเสร็จได้รับบาดเจ็บจมูกหัก ภรรยาเหนือเพชร ได้โพสต์ว่า …

รีบโทรหาเมียเลยหลังชกเสร็จ ถามเมียว่า เธอยังจะรักเราเหมือนเดิมมั้ย55555555555 ดั้งหักรอบ 2 

รู้ว่าทำเต็มที่แล้ว รู้ว่าอยากพิสูจน์ตัวเองมากๆ แต่ถ้ามันไม่ได้ก็พักได้แล้วนะ โคตรไม่คุ้มอะ จะกินอิ่มนอนหลับอุ่นได้ไง ในเมื่อถ้าความสบายของเราต้องแลกกับความเจ็บปวดของเธอ เข้าใจว่าเพื่อครอบครัว มันจะมีหนทางที่ดีกว่านี้ไหม กับการทำเพื่อครอบครัวของเรา เจ็บปวดหัวใจมากเลย แต่เจ็บมากกว่า ที่เธอพยายามพิสูจน์ตัวเองมาตลอด แต่ไปไม่ถึงฝันสักที และไม่สามารถช่วยไรเธอได้เลย สงสารมากนะ อยู่กันมากี่ปี ไม่เคยตีเธอเลย เคารพให้เกียรติ ทำอาหารให้เธอกินอิ่ม นอนอุ่นตลอด ใบหน้าเจ็บหนักขนาดนี้ ภายในก็ช้ำไม่น้อยเลยนะ

สุดท้ายนี้ อยากบอกกับเธอว่า ในเมื่อห้ามไม่ได้ แต่อย่าลืมรักตัวเอง รักษาสุขภาพตัวเองด้วยนะ ลูกยังเล็ก อย่าพยายามพิสูจน์ตัวเองให้คนอื่นเห็นจนลืมฟังเสียงครอบครัว ก่อนจะไปพักผ่อนมีการบอกว่า ทำไมไม่โพสต์ไม่ให้กำลังใจผัวเลยนะ เอ้อเอา 

รักและห่วงใยที่สุด  

ต่อยมา 20 ปีแล้วอยากพักหรือยัง

เป็นกำลังใจให้ครับขอให้หายไวๆ

‘อัครเดช’ หนุน!! ‘เอกนัฏ’ เข้มให้โรงงานผลิตน้ำตาล รับซื้อเฉพาะ ‘อ้อยสด’ ชี้!! ต้องควบคุมฝุ่น PM 2.5 สร้างอากาศให้บริสุทธิ์ เพื่อสุขภาพที่ดี ของปชช.

(19 ม.ค. 68) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี เขต 4 และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยถึงกรณีที่กระทรวงอุตสาหกรรมเข้าไปดำเนินมาตรการคุมเข้มโรงงานผลิตน้ำตาล เพื่อป้องกันปัญหาฝุ่น PM 2.5 ว่า เห็นด้วยกับการดำเนินนโยบายอย่างเข้มงวดของนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ดำเนินนโยบายให้โรงงานรับซื้อเฉพาะอ้อยสด ลดอ้อยไฟไหม้ ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมก็ขอความร่วมมือไปยังโรงงานผลิตน้ำตาลทุกโรงงานและชาวไร่อ้อยทุกคนให้ช่วยกันลดปริมาณการเผาอ้อยลงให้ได้ตามเกณฑ์ที่รัฐบาลกำหนด เนื่องจากการเผาอ้อยเป็นส่วนสาเหตุหนึ่งที่สำคัญของการก่อให้เกิดฝุ่น PM 2.5 ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพของประชาชน จึงขอย้ำให้โรงงานช่วยประชาสัมพันธ์ชาวไร่อ้อยให้ทราบถึงผลเสียของการเผาอ้อยด้วย เพราะนอกจากจะทำให้เกิดฝุ่น PM 2.5 แล้ว การเผาอ้อยยังทำให้ความหวานของอ้อยลดลง น้ำหนักอ้อยก็ลดลง ที่สำคัญขายไม่ได้ราคาอีกทั้งไม่ได้เงินอุดหนุนจากภาครัฐ ที่สนับสนุนเงินค่าตัดอ้อยสดและส่งผลเสียต่อหน้าดินในการเพาะปลูกฤดูกาลผลิตถัดไปด้วย

นายอัครเดช ระบุด้วยว่า ขณะนี้รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้เกษตรกรจัดส่งอ้อยสดกับโรงงาน ผ่านการให้เงินสนับสนุนกับชาวไร่อ้อยที่ตัดอ้อยสดที่จะมีการประกาศตัวเลขให้ชาวไร่อ้อยได้ทราบในเร็ววันนี้ ขณะเดียวกันก็จะเร่งให้หน่วยงานรัฐดำเนินมาตรการเชิงรุกเข้าพื้นที่ให้ความรู้อย่างจริงจัง และตนเองก็เชื่อว่าสมาคมชาวไร่อ้อยจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เพราะการลดฝุ่น PM 2.5 ก็จัดเป็นหนึ่งในนโยบายรัฐบาล อีกทั้งที่ผ่านมาคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรมก็เคยเชิญตัวแทนสมาคมชาวไร่อ้อยมาหารือกันในชั้นคณะกรรมาธิการฯ เกี่ยวกับการลดการเผาอ้อยแล้ว ซึ่งสมาคมฯ ก็เห็นด้วยกับมาตรการนี้และพร้อมสนับสนุนการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการฯ และกระทรวงอุตสาหกรรม

“การเผาอ้อยจะส่งผลเสีย นอกจากก่อให้เกิดฝุ่น PM 2.5 ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพของประชาชน ยังทำให้อ้อยหวานน้อยลง น้ำหนักลดลง และส่งผลเสียต่อหน้าดินในการเพาะปลูกครั้งถัดไป ตนเองจึงเห็นด้วยกับนโยบายของนายเอกนัฏ พร้อมขอความร่วมมือชาวไร่อ้อยส่งอ้อยสดให้โรงงาน อย่าเผาอ้อย เพื่อป้องกันฝุ่น PM 2.5 เพื่อสุขภาพที่ดีของพี่น้องประชาชนและตัวเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยเองด้วย” นายอัครเดช กล่าวทิ้งท้าย

เพจดังอ้าง!! เป็นเพื่อน ‘แสตมป์’ เผย!! นักร้องดังเล่าไม่หมด ชี้!! จุดเริ่มต้นทั้งหมดของ ‘การโกหก’ คือ ‘การนอกใจ’

(19 ม.ค. 68) จากกรณีเรื่องร้อนรับต้นปี หลัง“แสตมป์-อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข” ศิลปินชื่อดัง ประกาศบนเวทีคอนเสิร์ต Wednesday Song ถึงเหตุผลที่ห่างหายจากวงการไปว่า เพราะดำเนินการฟ้องร้องบุคคลที่เข้ามาบุกรุกภรรยาเขาหลังเวที และสร้างความเกลียดชังให้เกิดความเข้าใจผิด จนกลายเป็นคดีความ และมีพ่อทหารยศนายพลมาเกี่ยวข้องด้วย จนกลายเป็นกระแสในโซเชียลมีเดีย มีการโยนหลักฐานออกมาจากฝั่งคู่กรณีโยงถึงคดีชู้สาว

โดยล่าสุด เพจเฟชบุ๊ก ‘โตแล้วจะไปญี่ปุ่นกี่ครั้งก็ได้’ ได้เปิดเผยข้อมูลร่ายยาว โดยอ้างว่าเป็นเพื่อนกับแสตมป์และผมคือหนึ่งในพยานให้นิว คดีชู้สาว พร้อมแนบข้อความแชทที่อ้างว่าเป็นบทสนทนาของแสตมป์ ว่า

สวัสดีครับ ผมชื่อ ป้อง เป็นเพื่อนกับแสตมป์ ผมคือหนึ่งในพยานให้นิว คดีชู้สาว (แต่ไม่ถึงปากที่ให้ไปขึ้นศาล) ผมไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับคู่กรณีทั้งแจมและแก๊ป

แต่ผมเป็นคนกลางติดต่อแจมให้แสตมป์ในช่วงเวลาที่เขาติดต่อกันเองไม่ได้ ผมรู้เรื่องราวเกือบทั้งหมดของปัญหานี้ แบบมีหลักฐานเป็นแชททุกช่องทางกับแสตมป์ (แต่ไม่รู้ว่าเป็นคำโกหกของเพื่อนผมหรือไม่)

แม้ผมจะเป็นเพื่อนแสตมป์ แต่ผมรู้สึกไม่โอเคกับการเล่าบนเวทีเพราะแสตมป์เล่าไม่หมด จึงเกิดความวุ่นวายในสังคม ศิลปินและบุคคลหลายคนได้รับผลกระทบทั้งๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับปัญหาของ 4 คนนี้เลย

ผมได้คุยไลน์กับแสตมป์ครั้งสุดท้ายหลัง 30 พฤษภาคม 2566 ไม่กี่วัน (ซึ่งตอนแรกผมต้องไปเป็นพยาน) โดยให้ผมเช็ค IG แจมว่าลบรูปบางอย่างไปหรือยัง ผมตอบไปแล้วหลังจากนั้นผมไม่ได้คุยกับเพื่อนผมอีกเลย จนเกิดเหตุพูดบนเวที ผมทักไลน์ไปว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมยังมีปัญหาอีก เห็นว่าจบ แยกย้ายต่างคนก็ใช้ชีวิตกันไปแล้ว

กลายเป็นนิวตอบไลน์มาว่า “ไม่ต้องห่วง ไว้ว่ากันกำลังมีคนโพสด่าอยู่พอดี” แล้วไม่ตอบอะไรผมอีกเลยผมรอให้คู่กรณีคือแก๊ปได้โพสก่อน เพื่อจะได้อธิบายว่าเป็นคดีชู้สาว ไม่ใช่เป็นเรื่องการคุกคามแบบซาแซงที่แสตมป์เล่าบนเวที

ถ้าบนเวทีแสตมป์เริ่มต้นว่า

ทุกคนครับ ผมนอกใจเมียผมเป็นเวลา 2 ปีก่อนที่เมียผมจะจับได้ แล้วหลังจากนั้นจึงเกิดเรื่องราวต่างๆ ขึ้นครับ (อย่างที่พูดบนเวที) สารที่ประชาชนรับรู้ จะต่างไปจากตอนนี้ ไม่มากไม่น้อยอย่างแน่นอน

อาจจะไม่เกิดเหตุการณ์ทัวร์ไปลงผิด ศิลปินหลายคนก็ไม่ต้องกี่ยวข้องเลยแบบนี้

ความจริงผมก็ไม่เกี่ยวข้องเลย แต่ยอมที่จะแลกเพราะ ทำไมเรื่องความรักที่ไม่ปกติของ 4 คน ต้องมีผู้ไม่เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบแบบนี้ สังคมวุ่นวายไปหมด แฟนเพลงของแต่ละคนต้องมาปะทะกันเองอย่างที่ผมเคยทวีตไปว่า ไม่สงสัยเลยหรอว่าศิลปินเกือบทั้งวงการทราบเรื่อง แต่ทำไมไม่มีใครอยากยุ่ง เพราะ

1. ทุกคนอาจมีแผล หากเข้ามายุ่งเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อาจถูกขุดแบบมั่วๆ ก็ได้ จึงเลือกที่จะเงียบเสียดีกว่า

2. ถ้าออกมาเทคแอคชั่นแล้ว แฟนเพลงฝ่ายนั้นไม่เชื่ออีก ก็กลายเป็นทำให้แฟนเพลงปะทะกันเองแบบที่เกิดขึ้นตอนนี้

3. ถ้าประชาชนรู้ว่าแสตมป์นอกใจเมีย คนที่พังคือตัวแสตมป์เอง

ในเมื่อไม่มีใครเล่าอะไรให้ชัดเจน (แบบไม่โกหก)

ผมขอใช้พื้นที่เพจ ‘โตแล้วจะไปญี่ปุ่นกี่ครั้งก็ได้’ โพสแบบยาวๆ เพื่อที่จะให้ทุกคนทราบ พฤติกรรมความไม่ปกติหลายๆ อย่างจากทั้งแสตมป์และนิว

ผมไม่กลัวว่าจะถูกฟ้องกลับจากฝ่ายใดเลย หากผมยึดหลักพูดความจริงจากหลักฐานแชททั้งหมด หากถูกฟ้องจะต้องมีการพิสูจน์ก่อนว่าผมพูดเท็จ แม้แชทจะเป็นเรื่องโกหกที่แสตมป์เล่ากับผมก็ตาม

ตัวอย่างแรกแสตมป์เคยบอกผมว่าเขาไม่ได้เงินใช้เลยเงินอยู่ที่นิวทั้งหมดเขาอยากสร้างบ้านใหม่ให้แม่ นิวก็ไม่ให้เงินเรื่องนี้แสตมป์บอกผมปี 64 เลยทำให้ผมไม่ชอบนิว แต่พอต้องขึ้นศาล ผมไปเล่าให้ทนายฟังแบบนี้ มีการบันทึกเทปไปให้นิวกับแสตมป์ฟังว่าผมพูดอะไรบ้าง วันต่อมา แสตมป์มาขอโทษผมว่าเรื่องทั้งหมด เขาโกหกผมมาตลอด

หากแสตมป์โกหกผมแบบนี้ แสตมป์ก็สามารถโกหกให้นิว แจม และทุกคนเข้าใจผิดได้เช่นครับขอจบเรื่องแรกเท่านี้ก่อนครับ ไว้จะมาอธิบายความประหลาดอื่นๆ อีก

หมายเหตุ:

1. ก่อนโพสนี้ผมได้คุยกับ โอม Cocktail และวง Tillybird แล้วด้วย เพื่อเช็ความข้อมูลฝ่ายเขา ตรงกับผมที่ได้รับจากแสตมป์ไหม ปรากฎว่า ไม่ตรงกันหลายเรื่อง (ตอนนี้ทั้งหมดบินไปอเมริกาเมื่อคืนนี้)

2. ขอบคุณคุณ Art Eakarat ที่ให้คำปรึกษาด้วยครับ

ปล. ถ้าหลายจากนี้มีชื่อ ผัก อยู่ผักคือ aka ที่แสตมป์ใช้เรียก แจม ครับ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top