Monday, 28 April 2025
CRIMES

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือนภัยการกู้เงินนอกระบบ การทวงหนี้ที่ผิดกฎหมาย การปล่อยกู้ที่ไม่ได้รับอนุญาต มีโทษหนักถึงจำคุก

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอเตือนภัยการกู้เงินนอกระบบ โดยปัจจุบันยังคงอยู่ในห้วงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 อาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของประชาชนบางส่วน จึงมีความจำเป็นต้องไปกู้เงินจากแหล่งเงินกู้ต่างๆ มากขึ้น ซึ่งก็มีเหล่ามิจฉาชีพที่ฉวยโอกาสนี้แฝงตัวมาในรูปแบบของแหล่งเงินกู้นอกระบบและได้กระทำความผิดรูปแบบต่างๆ โดยการกระทำความผิดที่พบคือการเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตราและการทวงหนี้ที่ผิดกฎหมาย เป็นต้น

ดังเช่นกรณีที่ปรากฏบนสื่อสังคมออนไลน์ เมื่อช่วงเย็นวันที่ 26 มี.ค. 65 เกิดเหตุมีผู้ถูกยิงได้รับบาดเจ็บจำนวน 2 ราย บริเวณซอยสุริโยทัย 2 เยื้องการประปาลพบุรี ต.ทะเลชุบศร อ.เมือง จว.ลพบุรี ทั้งคู่เป็นพนักงานขับรถส่งน้ำแข็งของบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งกำลังขับรถกระบะจำนวน 2 คันเพื่อออกไปส่งน้ำดื่มและน้ำแข็ง โดยบนถนนมีปลอกกระสุนขนาด 9 มม. ตกอยู่ 3 ปลอก ที่เสาไฟฟ้าหน้าห้องเช่าเลขที่ 11 ซ.สุริโยทัย 2 และที่กำแพงรั้วใกล้กันพบร่องรอยถูกยิงเป็นรูอยู่ 2 จุด ที่พื้นพบคราบเลือดกระเซ็น รวมทั้งที่ประตูรถด้านขวารถกระบะส่งน้ำดื่ม เบื้องต้นตำรวจได้สอบสวนนายจ้างให้การว่าผู้ก่อเหตุเป็นชาย อายุ 50 ปี และอีกคนเป็นหญิง อายุประมาณ 40 ปี ซึ่งฝ่ายหญิงอ้างว่าเป็นพนักงานของบริษัทไฟแนนซ์ได้ติดตามรถคันดังกล่าวมาขับปาดหน้ารถตู้ทึบตรงจุดเกิดเหตุ โดยบอกกับผู้บาดเจ็บทั้ง 2 รายว่า จะมายึดรถกระบะคันตู้ทึบส่งน้ำแข็ง เนื่องจากค้างค่างวด โดยที่ไม่ได้มีบัตรประจำตัว หรือใบมอบอำนาจมาแสดงผู้บาดเจ็บทั้ง 2 รายจึงไม่ยอม เพราะไม่แน่ใจ รวมทั้งไม่สามารถตัดสินใจแทนเจ้าของรถได้ ซึ่งผู้ก่อเหตุก็พยายามที่จะดึงกุญแจรถไป แต่ผู้บาดเจ็บไม่ให้ และยังให้หญิงสาวขึ้นไปนั่งรอบนรถกระบะคันที่จะยึดต่อมาไม่นานนายจ้างก็มาถึงจุดเกิดเหตุ พยายามพูดคุย เจรจาต่อรองและขอส่งน้ำแข็งให้ลูกค้าที่บรรทุกมาเต็มคันรถก่อน แต่ผู้ก่อเหตุไม่ยอม พยายามจะแย่งกุญแจรถคืนให้ได้ นายจ้างพยายามขอร้อง ต่อรองอีกครั้งแต่ไม่เป็นผล จึงได้เข้าไปดึงตัวหญิงเพื่อให้ออกมาจากรถ ผู้ก่อเหตุเห็นจึงเดินไปหยิบปืนจากในรถแล้วเล็งยิงมาที่กลุ่มนายจ้างจึงพากันวิ่งหนี ทำให้ถูกทั้ง 2 คนได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังก่อเหตุผู้ก่อเหตุ็ได้ขับรถหลบหนีไป กระทั่งเวลาประมาณ 19.00 น.วันที่ 26 มี.ค. 65 ผู้ก่อเหตุได้เดินทางเข้าไปมอบตัวกับพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป  

ความคืบหน้าในทางคดีขณะนี้พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำพยาน รวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องและจะดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาผู้ต้องหาที่ก่อเหตุเพื่อดำเนินคดีตามขั้นตอนต่อไป  โดยขณะนี้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย ได้เสียชีวิตแล้ว ส่วนอีกรายอาการยังสาหัส และจากการสอบสวนเบื้องต้นผู้ก่อเหตุอ้างว่าไม่ได้เป็นพนักงานไฟแนนซ์ มีเพียงหญิงอายุ 40 ปี ที่เป็นพนักงาน ส่วนมูลเหตุในคดีเบื้องต้นสันนิษฐานว่าเกิดจากกรณีที่เพื่อนสาวผู้ก่อเหตุถูกกลุ่มผู้ตายและผู้บาดเจ็บลากตัวออกมาจากรถ จึงทำให้เกิดอารมณ์ชั่ววูบไปคว้าปืนในรถออกมายิงก่อเหตุ

การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายเป็นความผิด ตาม ป.อ. มาตรา 288 ผู้ใดฆ่าผู้อื่น ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุก ตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15 ปี ถึง 20 ปี และความผิดตาม พ.ร.บ. อาวุธปืน ฯ  มาตรา 8 ทวิ ห้ามมิให้ผู้ใดพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว เว้นแต่เป็นกรณีที่ต้องมีติดตัวเมื่อมีเหตุจำเป็นฯ ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี  หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท รวมถึงหากมีการทวงหนี้โดยฝ่าฝืน พ.ร.บ.การทวงถามหนี้ฯ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะการข่มขู่ การใช้ความรุนแรง การใช้วาจาดูหมิ่นหรือการเปิดเผยข้อมูลการเป็นหนี้ของลูกหนี้ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท ส่วนผู้ที่กระกอบธุรกิจสินเชื่อโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุก 1-5 ปี ปรับตั้งแต่ 100,000-500,000 บาทและการเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท และหากมีการตรวจสอบพบทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิด ก็อาจมีความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ หรือกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบหมายให้ พล.ต.อ.ปิยะ อุทาโย รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งการไปยังกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ​ (บก.ปอศ.) ศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ​ (ศปน.ตร.) และหน่วยงานอื่นๆ ในสังกัดที่เกี่ยวข้อง เร่งทำการสืบสวนสอบสวนปราบปรามจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ รวมถึงนายทุนและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกรายอย่างจริงจังต่อเนื่องเด็ดขาด เพื่อให้ได้ผลการปฏิบัติเป็นรูปธรรม

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสถิติของ ศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทาความผิด เกี่ยวกับหนี้นอกระบบ สานักงานตารวจแห่งชาติ (ศปน.ตร.) พบว่าในช่วงระหว่างวันที่ 1 ต.ค. 64 – ก.พ.65 มีการแจ้งการกระทำความผิดซึ่งเกี่ยวข้องกับเงินกู้นอกระบบกว่า 1,048 เรื่อง ซึ่งการกระทำความผิดที่ได้รับแจ้งมากที่สุด 3 อันดับ คือ การปล่อยกู้ออนไลน์ ,การเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตรา, และการทวงหนี้ผิดกฎหมาย ซึ่งทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดําเนินการสืบสวนสอบสวนจับกุมผู้กระทําความผิดต่อไป

'ตำรวจ PCT'​ ทลายออฟฟิศใหญ่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา หลังพบหลอกเป็น สภ.เมืองเชียงใหม่ DHL​ และ Fed EX

(24 มี.ค.65) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอส.ตร.) หรือ PCT: Police Cyber Taskforce, พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.ภ.2/หัวหน้าชุดปฏิบัติการที่ 5 PCT, พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง ผกก.(สอบสวน) บก.สส.ภ.2 ร่วมแถลงผลการจับกุมแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์รายใหญ่ จับกุมผู้ต้องหา 28 ราย ช่วยเหลือเหยื่อคนไทย 5 ราย อยู่ระหว่างคัดแยกอีก 28 ราย รวม 61 ราย ใจกลางเมืองพระสีหนุ หลังสืบทราบว่า หลอกเป็นตำรวจ สภ.เมืองเชียงใหม่ และ พนักงาน DHL Fed EX ผู้เสียหายจำนวนมาก 

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ เปิดเผยว่า ปฏิบัติการครั้งนี้ สืบเนื่องจาก พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. สั่งการให้ขยายผลจับกุมเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทุกราย คดีนี้มอบหมายให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ฯ นำทีมสืบสวนจนทราบแหล่งกบดานของเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์รายนี้ ซึ่งใช้อาคารในเมืองพระสีหนุ เป็นฐานปฏิบัติการ จึงสั่งการให้ชุดปฏิบัติการ ฯ เดินทางไปยังประเทศกัมพูชา เพื่อประสานขอความร่วมมือกับตำรวจประเทศกัมพูชา 

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวต่อว่าในวันที่ 20 มี.ค.65 เวลาประมาณ 14.00 น. พล.ต.อ.Sar Theth รอง ผบ.ตร.แห่งกัมพูชา ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.Wan Wera ผู้ช่วย ผบ.ตร.ฯ พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดพระสีหนุ สนธิกำลังกับตำรวจฝ่ายไทย นำกำลังเข้าตรวจค้นออฟฟิศแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 2 แห่ง ในจังหวัดพระสีหนุ 

จุดที่ 1 โรงงานร้างไม่มีเลขที่ ถ.Santepheap จ.พระสีหนุ  ซึ่งจุดนี้จะมีแผนประทุษกรรมในการหลอกลวงโดยการโทรศัพท์ไปหาเหยื่อแล้ว "อ้างว่ามีพัสดุจากบริษัทขนส่ง DHL หรือ FedEX และถูกด่านของกรมศุลกากรอายัดไว้และมีสิ่งของผิดกฏหมาย จากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองเชียงใหม่ ติดต่อไปเพื่อทำการตรวจสอบบัญชีหรือตรวจสอบการเงินเพื่อหลอกลวงให้ผู้เสียหายโอนเงินให้ โดยใช้รูปโปรไฟล์ในแอพพลิเคชั่นเป็น พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุด ผบ.ตร.มาแอบอ้างทำให้ประชาชนตกเป็นเหย

ผลการตรวจค้นพบจับกุมผู้ต้องหา 28 คน โดยเป็นบุคคลที่ถูกออกหมายจับไว้แล้วทั้งหมด คือ 

นายซิน ฮัง เต หรือนายอาเต๋อ อายุ 28 ปี สัญชาติจีน (ไต้หวัน) หัวหน้าใหญ่, นายจาง เจียน เทียน หรือนายอาหู อายุ 41 ปี สัญชาติจีน (ไต้หวัน) หัวหน้าใหญ่ และ นายพรศักดิ์ รีพล อายุ 30 ปี สัญชาติไทย พร้อมพวกคนไทยอีก 25 คน ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นบุคคลอื่น ร่วมกันเป็นอั้งยี่ร่วมกันเป็นซ่องโจร มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ร่วมกันฟอกเงิน” นอกจากนี้ยังตรวจค้นพบพยานหลักฐานสำคัญ คือ 

1.โทรศัพท์มือถือยี่ห้อ Iphone จำนวน 30 เครื่อง

2.วิทยุสื่อสาร จำนวน 8 เครื่อง

3.คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค จำนวน 4 เครื่อง

4.สคลิปเตรียมบทพูดเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองเชียงใหม่ , เจ้าหน้าที่จาก DHL และ FedEx

5.เอกสารหมายจับศาลจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นเอกสารปลอม

6.เอกสารหมายจับศาลอาญา ซึ่งเป็นเอกสารปลอม

7.เอกสารหมายเรียกของสำนักคดีการเงินการธนาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งเป็นเอกสารปลอม

จุดที่ 2 อาคาร Diwei Entertainment City ถนน 2 Thnou เมืองพระสีหนุ ซึ่งเปิดเป็นบ่อนคาสิโนบังหน้า ลักลอบทำแก๊งคอลเซ็นเตอร์บนชั้น 5 ของตึก ซึ่งจุดนี้จะมีแผนประทุษกรรมในการหลอกลวงโดยการ "หลอกลวงให้หลงรักในแอ็พพลิเคชั่น Tinder จากนั้นชักชวนลงทุนเทรดเงินดิจิตัล โดยจะให้โอนเหรียญชนิด Usdt เข้าไปในกระดาษเทรดเหรียญเถื่อน บางรายที่เทรดเป็นอยู่แล้ว ก็จะถูกชักจูงให้เทรดในโหมด Futures Trade ซึ่งมีความเสี่ยงสูง และหากผู้ถูกหลอกสามารถเทรดจนได้กำไรในพอร์ต ก็ไม่สามารถถอนเงินออกได้อยู่ดี และขั้นตอนสุดท้ายคือจะถูกหลอกให้เสียเงินภาษีเพื่อถอนเงินในพอร์ตออกมา แต่เมื่อผู้ถูกหลอกโอนเงินเข้าไปแล้ว ก็ไม่สามารถถอนเงินออกจากพอร์ตได้เลย"

นอกจากนี้ ยังใช้วิธีการหลอกลวงให้ร่วมลงทุน กับการขายสินค้าแอ็พพลิเคชั่น Lazada ให้ผลตอบแทนสูง 

ผลการตรวจค้น พบคนไทย 33 คนขณะกำลังทำงานคุยกับลูกค้า ซึ่งจะต้องทำการคัดแยกต่อไปว่าใครเป็นเหยื่อ ใครเป็นผู้ต้องหา เบื้องต้นสอบถามมี 5 คนที่สมัครใจอยากกลับประเทศไทย ซึ่งได้ส่งตัวไปยังสถานกงสุลไทยในกัมพูชาเรียบร้อยแล้ว

นอกจากนี้ยังตรวจค้นพบพยานหลักฐานสำคัญ คือ เครื่องคอมพิวเตอร์แบบ All in one จำนวน 68 เครื่อง รวมทั้ง 2 จุด พบเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จำนวน 61 คน คนจีน

รอง ผบ.ตร. กล่าวอีกว่า การเข้าตรวจค้นจับกุมในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยได้เตือนสติให้กับผู้ต้องหาถึงภัยอันตรายของการมาทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งสุดท้ายก็จะถูกขายและถูกใช้แรงงานไม่ต่างจากทาส และจะวนเวียนในวัฏจักรดังกล่าวไม่จบไม่สิ้น และเมื่อกลับประเทศไปก็จะต้องถูกดำเนินคดีทุกราย โดยหลังตรวจค้นจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจประเทศกัมพูชา ได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดดำเนินคดีตามกฎหมายในประเทศกัมพูชาก่อน และเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการตามกฎหมายของประเทศกัมพูชาแล้ว จะดำเนินการส่งตัวผู้ต้องหาให้ประเทศไทย ทั้งนี้ได้สั่งการให้พล.ต.ท.ธิติ  แสงสว่างผบช.ภ.2 , พล.ต.ต.อิทธิพร  โพธิ์ทอง รอง ผบช.ภ.2 ,พล.ต.ต.ณัฐพงษ์ สัตยานุรักษ์ ผบก.ภ.จว.สระแก้ว เตรียมรอรับตัวผู้ต้องหา เพื่อดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป 

ที่ผ่านมา ได้รับความร่วมมือจากกงสุลประจำสถานทูตไทยในพนมเปญ โดยนายวรินทร  ตันวิเชียร ประสานความร่วมมือระหว่างตำรวจกัมพูชา กับตำรวจไทย ในการช่วยเหลือคนไทย ทั้งที่เป็นเหยื่อถูกหลอกมาทำงาน และเป็นผู้ต้องหา โดยการจัดสวัสดิการที่พักและอาหารให้กับทุกคนในฐานะประชาชนคนไทย รอง ผบ.ตร.กล่าว 

ผอ.PCT ย้ำอีกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความกังวลปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ปัจจุบันระบาดหนักและมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์หลากหลายรูปแบบ จึงสั่งการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งปราบปรามอย่างจริงจัง และหาแนวทางเสริมภูมิความรู้ให้กับประชาชน 

ตร. เตือน จ้างวานทำเอกสารราชการปลอม เสี่ยงติดคุก แถมอาจถูกต้มตุ๋นเสียเงินฟรี

(23 มี.ค.65) พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้มีนโยบายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนรู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนั้น

จากกรณี กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ได้สืบสวนจนสามารถออกหมายจับและนำไปสู่การจับกุม แก๊งขายใบตรวจโควิด วุฒิการศึกษา บัตรข้าราชการ ใบขับขี่ บัตรประจําตัว ประชาชน บัตรข้าราชการ โฉนดที่ดิน และทะเบียนรถ ปลอม ซึ่งวิธีการของแก๊งคนร้ายจะโพสต์ประกาศผ่านเว็บไซต์หรือสื่อสังคมออนไลน์ อ้างว่าผู้ซื้อสามารถนำเอกสารไปใช้ติดต่อราชการหรือนำไปใช้ได้เสมือนเอกสารจริง โดยมีพี่น้องประชาชนใช้บริการที่ผิดกฎหมายดังกล่าวเป็นจำนวนมาก และผู้ต้องหาได้รับเงินจากปลอมแปลงเอกสาร รวมเป็นเงินกว่า 5,000,000 บาท 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอเตือนพี่น้องประชาชนที่คิดจะซื้อและนำเอกสารราชการปลอมไปใช้ จะมีความผิดและต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ในความผิดฐาน ใช้เอกสารราชการปลอม ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000 บาท ถึง 100,000 บาท

นอกจากนี้ ยังตรวจสอบพบว่ามีกลุ่มมิจฉาชีพ ได้ทำการโพสต์ข้อความชักชวนให้ใช้บริการปลอมแปลงเอกสารในลักษณะเดียวกัน โดยคิดค่าบริการในการทำเอกสารปลอมเป็นเงินจำนวนมาก และหลังจากที่มีผู้หลงเชื่อ ติดต่อไปใช้บริการ ก็จะให้โอนเงินค่าบริการล่วงหน้า จากนั้นก็จะตัดการติดต่อไป ทำให้มีประชาชนบางส่วนได้รับความเสียหาย  ดังนั้นขอให้อย่าหลงเชื่อบุคคลที่อ้างว่าสามารถทำเอกสารราชการปลอมเป็นอันขาด เพราะเป็นความผิดตามกฎหมาย และอาจเป็นกลุ่มมิจฉาชีพฉวยโอกาสมาหลอกลวงพี่น้องประชาชน

ตร. เตือน แก๊งคอลเซ็นเตอร์ เปลี่ยนแนว พยายามหลอกเอาข้อมูลจากหน่วยงานรัฐและเอกชน

วันที่ 21 มี.ค. 2565 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้มีนโยบายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนรู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนั้น

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตรวจสอบพบว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ได้มีการปรับเปลี่ยนเป้าหมายในการหลอกลวง เป็นหน่วยงานภาครัฐ และองค์กรเอกชนมากขึ้น โดยมักจะแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม เช่น อัยการ ศาล ปปช. ปปท. และหน่วยงานรัฐอื่น ๆ โทรศัพท์เข้ามายังหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย หน่วยงานด้านการปกครองส่วนท้องถิ่น  และภาคเอกชนต่าง ๆ โดยอ้างว่าต้องการประสานงาน หรือขอความร่วมมือ ในการติดตามบุคคลเพื่อขอหมายจับ หรือต้องการข้อมูลว่าบุคคลที่พักอาศัยอยู่ในบ้าน หรือทำงานในบริษัท มีใครบ้าง บางครั้งอาจพยายามหลอกให้เจ้าหน้าที่เข้าไปติดต่อกับเป้าหมายโดยตรง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในการหลอกลวงพี่น้องประชาชน

"ตำรวจเตรียมความพร้อม ถอดบทเรียนรับมือเด็กแว๊น ป่วนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2565"

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามการแข่งรถในทางและความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง (ศปข.ตร.) เรียกประชุมด่วน ผบช.น. ภ.1-9 เตรียมวางมาตรการป้องกันและปราบปรามเด็กแว๊นช่วงสงกรานต์ 2565 ที่จะถึงนี้ โดยการถอดบทเรียนจากเทศกาลฯ ปีที่ผ่านมา 

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. สั่งเตรียมความพร้อมรับมือเด็กแว๊นแต่เนิ่นๆ ก่อนถึงเทศกาลฯ ซึ่งอาจมีการรวมตัวแข่งรถสร้างความเดือดร้อนแก่รถที่สัญจรไปมาและผู้ที่พักอาศัย จึงให้ทุกหน่วยระดมปราบปรามความผิดเกี่ยวกับการแข่งรถในทางและความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง ต่อเนื่องจนกว่าจะถึงห้วงเทศกาลฯ เพื่อป้องปรามไม่ให้มีการฝ่าฝืนกฎหมาย 

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวต่อว่า  ศปข.ตร. ทำงานเชิงรุกมาอย่างต่อเนื่อง โดยให้ทีมสืบสวนทางโซเชียลเฝ้าติดตามการนัดรวมตัวแข่งรถทุกช่องทาง ส่งผลให้สถิติการรวมตัวหรือการแข่งรถลดลงอย่างมาก แต่อย่างไรก็ดี การปราบปรามก็ยังคงดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตั้งแต่ 1 ม.ค. ถึง 28 ก.พ. 65 ที่ผ่านมา มีการดำเนินคดีกับผู้ขับขี่และผู้สนับสนุนไปแล้ว 1,621 ราย ยึดรถยนต์ 936 คัน รถจักรยานยนต์ 18,936 คัน จัดทำประวัติผู้กระทำความผิดและผู้มีพฤติกรรมเสี่ยงที่จะแข่งรถในทางอีก 8,049 ราย

ล่าสุดในเดือน มี.ค.65 จับกุมผู้ต้องหาทั้งหมด 11 ราย ริบรถของกลางตามคำพิพากษา 10 คัน โดยมีที่น่าสนใจหลายคดีด้วยกัน รายแรก ที่ ภ.จว.อยุธยา ทีมสืบสวนสามารถติดตามความเคลื่อนไหวการวมตัวแข่งรถ จนจับกุมผู้ต้องหาได้ 5 ราย ศาลมีคำพิพากษาริบรถของกลาง รายที่สอง บก.น.5 ทีมโซเชียลและฝ่ายสืบสวนติดตามสืบจับแอดมินเพจ "ประเทศคลองเตย" ที่โพสชักชวนแข่งรถในทางบริเวณห้าแยกระนอง ส่งฟ้องศาลดำเนินคดี 

รายต่อมา บก.น.6 ฝ่ายสืบสวนพิสูจน์ทราบแอดมินเพจดัง Three Brothers Channel ขับรถ จยย.ฮาเลย์ ประมาทหวาดเสียว ผิดปกติวิสัย ยืนขับขี่บนเบาะนั่ง กลางถนนเยาวราช ศาลสั่งริบรถ มูลค่ากว่า 1 ล้านบาท และรายล่าสุด ภ.จว.ขอนแก่น พิสูจน์ทราบตัวผู้กระทำผิด ที่ปรากฏตัวอยู่ในคลิปหนุ่มนอนหมอบขับขี่ บนถนนมิตรภาพ นำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหา 2 ราย ซึ่งเป็นบุคคลมีชื่อเสียงในจังหวัดขอนแก่น ในข้อหาขับขี่รถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น ขับขี่รถประมาทหวาดเสียว และข้อหาอื่นๆ รวม 5 ข้อหา ศาลพิพากษาริบรถ 

ผู้ช่วยอู๊ด ลงพื้นที่โคราชเร่งสางคดีรับน้องโหดจนเสียชีวิต

วันนี้ (18 มี.ค.65) เวลา 11.00 น. พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้ช่วย ผบ.ตร.(สส 3)  พร้อมด้วย พล.ต.ต.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย รอง ผบช.ภ.3  ได้เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุคดี นายพัสยศ หรือน้องเปรม ชลภักดี นักศึกษา ปวส.ปี 1 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสานเสียชีวิตจากการรับน้อง โดยมี พ.ต.อ.พิษณุ  วัตถุ พ.ต.อ.คเชนทร์ เสตะปุตตะ รอง ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา พ.ต.อ.คณัสนันท์ สุวรรณทรัพย์ ผกก.สภ.มะเริง พ.ต.ท.สงกรานต์ ปัญญานาค รอง ผกก.(สอบสวน) สภ.มะเริง และร้อยเวรเจ้าของคดี ร่วมตรวจที่เกิดเหตุบริเวณทุ่งนาทิศตะวันออกใต้บ้านโนนมะกอก ต.หนองระเวียง อ.เมือง นครราชสีมา จ.นครราชสีมา

จากนั้น เวลา 13.30 น. พล.ต.ท.สมพงษ์ ได้เดินทางไปยังห้องประชุมสารสิน บช.ภ.3 เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพื่แเร่งรัดติดตามความคืบหน้า และกำชับการสืบสวนสอบสวนในคดีดังกล่าว เพื่อให้รัดกุมและรอบคอบ ตรงไปตรงมา ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และให้มีการสอบสวนให้ครบทุกประเด็น โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ กล่าวภายหลังการประชุมว่า ได้รับมอบหมายจาก พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. (สส) ให้รับผิดชอบกำกับการบริหารราชการหน่วยงาน รวมทั้งสั่งและปฏิบัติราชการแทน ผบ.ตร. ในงานสืบสวนสอบสวน ในพื้นที่ ภ.2 และ ภ.3 และ สพฐ.ตร. จึงได้เดินทางมาเร่งรัดคดี พร้อมย้ำให้ติดตามให้ผู้เสียหายได้รับการช่วยเหลือเยียวยาตามความเหมาะสม ตลอดจนกำชับแนวทางในการให้ข้อมูลกับประชาชนเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง สร้างภาพลักษณ์การทำงานที่ดีของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

‘ผอ.ศอ.ปส.ตร.’ ผนึก ‘ผบช.ปส.’ เปิดปฏิบัติการ สยบไพรี 65/8 ‘ทลายแก๊ง Gerøge Häper’ ยึดทรัพย์กว่า 64 ล้านบาท

(17 มี..65) บ้านเลขที่ 26/416 .ลาดสวาย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี พล...รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะผอ.ศอ.ปส.ตร. พร้อมด้วย พล...สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส., พล...พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผบก.ปส.4 และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมแถลงผลการปฏิบัติการสยบไพรี 65/8 ทลายแก๊ง Gerøge Häper’ (จอร์จ ฮาร์เพอร์)

โดยร่วมกับหน่วยงานด้านการปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่ ได้แก่ ศูนย์รักษาความปลอดภัย กองทัพไทย, สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด,กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย, กองบัญชาการตำรวจนครบาล, กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1, 6, 8 และ 9 ทำการปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 20 จุดทั่วประเทศ

เพื่อจับกุมผู้ต้องหาเครือข่ายยาเสพติด โดยสามารถติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ 6 ราย พร้อมของกลางยาบ้า 16,800 เม็ด ยาอี 300 เม็ด เคตามีน 1.99 กรัม และตรวจยึดทรัพย์สิน ได้แก่ บ้านและที่ดินหลายรายการ, รถยนต์ 7 คัน, รถจักรยานยนต์ 6 คัน, เงินสด 900,000 บาท, บัญชีธนาคาร และบัตรเอทีเอ็มจำนวนมาก รวมมูลค่ากว่า 64 ล้านบาท

พล...รอย เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ประมาณช่วงปี 2562-2564 ได้มีการจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญที่ลักลอบจำหน่ายผ่านสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ จำนวน 5 คดี จึงขยายผลต่อเนื่องเพื่อกวาดล้างผู้ร่วมขบวนการรายอื่นๆ ที่ยังเหลืออยู่ กระทั่งพบมีความเกี่ยวข้องกับเครือข่ายยาเสพติด 2 เครือข่าย โดยเครือข่ายหนึ่งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ตอนเหนือ บริเวณ เขตสายไหม รอยต่อติดกับพื้นที่ อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งอยู่ในพื้นที่กรุงธนบุรี บริเวณ เขตบางมด และ เขตจอมทอง โดยทั้งสองกลุ่มจะทำการซุกซ่อนยาเสพติดตามบ้านพักที่เปิดขึ้นมาโดยเฉพาะ หรือ ซุกซ่อนในรถยนต์ เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจค้น จากนั้นก็จะกระจายยาเสพติดไปทั่วประเทศ

พล...รอย ยังกล่าวอีกว่า อยากฝากเตือนถึงบริษัทขนส่งและไรเดอร์แอปพลิเคชันต่างๆ ให้ตรวจสอบสินค้าที่นำส่งว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมายหรือไม่ มิเช่นนั้นจะต้องถูกตรวจสอบด้วยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดหรือไม่

'ผอ.ศพดส.ตร.'​ สั่ง บช.น.สอบเคสปกครองบุกจับค้ากามพื้นที่ ลุมพินี กำชับให้ทุกหน่วย เชิงรุกจับกุมผู้มีพฤติกรรมเข้าข่ายค้ามนุษย์ฯ

(16 มี.ค.65)​ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร.และผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัวป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง​ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศพดส.ตร.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษกรมการ ปกครอง เปิดปฏิบัติการ “ทลายธุรกิจค้ามนุษย์กลางกรุง” เข้าช่วยเหลือเหยื่อและจับกุมขบวนการนายหน้า เสนอขายบริการทางเพศเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 18 ปี ภายในสถานบริการไม่มีใบอนุญาต ย่านสุขุมวิท โดยปฏิบัติการในครั้งนี้ มีที่มาจากศูนย์ดำรงธรรมกระทรวงมหาดไทย ได้รับร้องเรียนจากองค์กรต่อต้านการค้ามนุษย์ระหว่างประเทศ โอเปอร์เรชั่น อันเดอร์กราวน์เรลโรด (โอ.ยู.อาร์.) ขอให้กรมการปกครอง ตรวจสอบข้อเท็จจริง และดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดกฎหมาย กรณีพบบุคคลมีพฤติการณ์ในการแสวงหาผลประโยชน์ทางเพศโดยมิชอบจากเด็กหญิงที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ในพื้นที่รับผิดชอบ ของ สน.ลุมพินี นั้น​ ได้สั่งการให้กองบัญชาการตำรวจนครบาลตรวจสอบและดำเนินการตามอำนาจหน้าที่

"เชียงราย" ไม่รอด! จับอีกแล้วยาบ้าล้านเศษชายแดนซุกซ่อนบริษัทขนส่ง

ตามนโยบายในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลโดย พลเอก ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอก ณรงค์พันธ์  จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบกผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก พลโท อภิเชษฐ์  ซื่อสัตย์ แม่ทัพภาคที่ ๓ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยา เสพติดกองทัพภาคที่ ๓ และ พลโท บุญยืน อินกว่าง แม่ทัพน้อยที่ 3 ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการบริหารการแก้ไขปัญหายาเสพติดชายแดนภาคเหนือ ได้มอบนโยบายสั่งการให้หน่วยกำลังป้องกันชายแดน สกัดกั้นยาเสพติดให้ได้ตั้งแต่พื้นที่แนวชายแดนนั้น 

พลตรี นฤทธิ์  ถาวรวงษ์ ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมืองผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดกองกำลังผาเมืองได้สั่งการให้หน่วยในความรับผิดชอบของกองกำลังผาเมืองปฏิบัติตามมาตรการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดตามนโยบายของผู้บังคับบัญชาอย่างเคร่งครัดโดยต่อเนื่อง

โดยในห้วงที่ผ่านมาได้มีการบูรณาการด้านการข่าวระหว่างหน่วยงานป้องกันชายแดนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาค 5 และตำรวจ ภูธรจังหวัดเชียงราย พบว่ากลุ่มขบวนการค้ายาเสพติดมีความพยายามที่จะลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามายังประเทศไทยในพื้นที่อำเภอแม่ฟ้าหลวงอำเภอแม่สายและอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เพื่อลำเลียงไปยังพื้นที่ตอนในของประเทศต่อไป

เมื่อวันที่16 มีนาคม2565ที่ผ่านมา พันเอก สุทธิ์เขตต์  ศรีนิลทิน ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ ๓ ได้สั่งการให้กองร้อยทหารม้าที่ 1 กองบังคับการควบคุมที่ 1 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ 3 ร่วมกับ กองบังคับการควบคุมป้องกันและปราบปรามยาเสพติดกองบัญชาการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดที่ 3 ตำรวจและฝ่ายปกครองในพื้นที่เข้าทำการตรวจสอบร้านประกอบการรับ – ส่ง พัสดุสินค้าสถานประกอบกิจการของบริษัทเอกชนในพื้นที่ ตำบลเทอดไทย อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ด้วยเครื่องเอกซเรย์แบบมือถือ

'ตร. เตือน' ข้อมูลองค์กรรั่วไหล ความเสียหายที่สามารถป้องกันได้

วันที่ 16มี.ค.2565 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้มีนโยบายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนรู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนั้น

ในช่วงที่ผ่านมาพบว่า บ่อยครั้งที่องค์กรหรือบริษัทต่าง ๆ ไม่ว่าจะขนาดใหญ่หรือขนาดเล็ก ถูกแฮกเกอร์หรือผู้ไม่หวังดีแอบเอาข้อมูลซึ่งเป็นความลับของบริษัท หรือข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า มาประกาศขายในโลกออนไลน์ หรือนำไปใช้ในการกระทำความผิดอื่น ๆ ส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นยังเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือขององค์กรหรือบริษัทที่ข้อมูลรั่วไหลด้วย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอเรียนว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นสิ่งที่สามารถป้องกันได้ โดยขั้นตอนหลัก ๆ 3 ขั้นตอน ดังนี้

1. องค์กรและบริษัทต่าง ๆ จะต้องระมัดระวังเรื่องการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล หมั่นตรวจสอบบัญชีผู้ดูแลระบบหรือช่องทางที่สามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญ และลบบัญชีของผู้ดูแลระบบหรือปิดกั้นช่องทางเข้าถึงข้อมูลที่ไม่จำเป็น เช่น กรณีพนักงานที่รับผิดชอบเปลี่ยนหน้าที่หรือลาออกจากองค์กรหรือบริษัท เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลที่สำคัญรั่วไหลไปสู่บุคคลภายนอก
2. กำหนดสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลของพนักงานแต่ละคน โดยควรอนุญาตให้เฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงเท่านั้น ที่สามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญขององค์กรหรือบริษัทได้ และกำชับให้ผู้ที่มีสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลเก็บรักษาบัญชีและรหัสผ่านให้ปลอดภัย
3. การสร้างบัญชีผู้ใช้งาน ไม่ควรตั้งรหัสผ่านที่คาดเดาได้ง่าย หรือรหัสผ่านที่เหมือนกันเว็บไซต์อื่น ๆ เพราะในกรณีที่เว็บไซต์อื่นทำรหัสผ่านรั่วไหล ผู้ที่ได้ข้อมูลดังกล่าวไปจะไม่สามารถเข้าถึงบัญชีผู้ใช้งานขององค์กรหรือบริษัทเราได้
4. พนักงานในองค์กรหรือบริษัท จะต้องระมัดระวังในการกดลิงก์หรือเข้าเว็บไซต์ต่าง ๆ และจะต้องตระหนักเสมอว่าการกระทำโดยไม่ระมัดระวังของตัวเรา อาจเป็นการนำมัลแวร์ ไวรัสหรือเปิดช่องให้ผู้ไม่หวังดีเข้ามาโจมตีสร้างความเสียหายให้กับองค์กรและบริษัทได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top