Sunday, 27 April 2025
CRIMES

‘ตำรวจปคบ.-อย.’ จับ 8 คลินิกความงามเถื่อน ‘ฉีดฟิลเลอร์-โบท๊อกซ์’ โดยไม่ได้รับอนุญาต

(6 ธ.ค. 65) เมื่อเวลา 10.00 น. พล.ต.ต.อนันต์ นานาสมบัติ ผบก.ปคบ.พ.ต.อ. ธรากร เลิศพรเจริญ รองผบก.ปคบ. พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ ผกก.4 บก.ปคบ. พร้อมด้วย นพ.ภานุวัฒน์ ปานเกตุ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ภญ.อรัญญา เทพพิทักษ์ ผอ.ศูนย์จัดการเรื่องร้องเรียนและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพ (ศรป.) ร่วมกันแถลงผลกวาดล้างจับกุมคลินิกเสริมความงามเถื่อน 8 แห่งในพื้นที่ กรุงเทพฯ, ชลบุรี, สมุทรสงคราม และปทุมธานี

จากการตรวจค้นเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องหาไว้ได้ 8 ราย คือน.ส.ธนัศร ชัยสมศรี อายุ 24 ปี, น.ส.ศรีษุณี ปัญญาวัฒน์ อายุ 36 ปี, น.ส.ณปาภัทร ชิณะวิ อายุ 39 ปี, นายจิรัฏฐ์ ลาภะนาวิน อายุ 23 ปี, น.ส.ศศิพัชร์ ตะสิงห์ อายุ 36 ปี, นายกรกรต หมวกไสว อายุ 54 ปี, น.ส.บุญพา ผาสุข อายุ 48 ปี และ น.ส.อังคนาง อินทวี อายุ 26 ปี

พ.ต.อ.เนติ เปิดเผยว่า ก่อนหน้าได้รับเรื่องร้องเรียนจาก อย.และ สบส. ให้สืบสวนกรณีมีบุคคลแอบอ้างตัวเป็นแพทย์หลอกเสริมความงามให้ประชาชนหลายพื้นที่ ผู้ให้บริการไม่ใช่แพทย์จริง ๆ บางรายก็ใช้การศึกษาวิธีการฉีดเสริมความงามด้วยตนเองจากทาง YouTube และสั่งยาต่าง ๆ จากช่องทางออนไลน์ ก่อนมาทดลองฉีดหน้าตนเอง ก่อนจะมาทำให้กับลูกค้า

พ.ต.อ.เนติ กล่าวต่อว่า จากการตรวจค้นพบเป็นคลินิกที่เปิดให้เปิดให้บริการโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมตรวจยึดของกลางได้ 836 รายการ ส่วนใหญ่เป็นยาและเวชภัณฑ์ 109 รายการ, เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ตรวจรักษา 57 รายการ, เวชระเบียน 670 รายการ ผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับสารภาพว่า ไม่มีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมแต่อย่างใด โดยกลุ่มผู้ต้องหาจะมีที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะพยาบาลศาสตร์แค่ 2 ราย, มัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 4 ราย, ปวส. 1 ราย และป.6 อีก 1 ราย

เบื้องต้นจึงส่งตัวผู้ต้องหาทั้งหมดให้พนักงานสอบสวน กก.4 ปคบ.ดำเนินคดี ความผิดตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล ฐาน ‘ประกอบกิจการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต และดำเนิน กิจการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต, ประกอบวิชาชีพเวชกรรมฯ, ขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต และขายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตารับยา’

ด่วน! ระเบิดซ้ำจุดเดิมคนร้ายลอบวางบึ้มรถไฟ ขณะจนท.กำลังกู้ซากรถไฟ เบื้องต้นเสียชีวิต 3 เจ็บ 4

เกิดเหตุระเบิดซ้ำลูกสองจุดเดิมที่คนร้ายลอบวางระเบิดรถไฟเมื่อวันก่อน เจ้าหน้าที่การรถไฟเสียชีวิต 3 ราย บาดเจ็บอีกอย่างน้อย 4 ราย ขณะนี้ในพื้นที่ได้มีการตัดสัญญาณโทรศัพท์ หน่วยงานด้านความมั่นคงกำลังเข้าตรวจสอบจุดเกิดเหตุ

เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. มีรายงานด่วนแจ้งว่า ได้เกิดเหตุระเบิดซ้ำลูกสองบริเวณเส้นทางรถไฟจุดเดิมที่ถูกลอบวางระเบิดเมื่อวันก่อน พื้นที่ต.ท่าโพธิ์ อ.สะเดา จ.สงขลา เบื้องต้นมีรายงานว่าคนงานของการรถไฟที่กำลังเข้าไปกู้ซากรถไฟและซ่อมแซมรางเสียชีวิตแล้ว 3 ราย และมีบาดเจ็บอีกอย่างน้อย 4 ราย 

'หนุ่มใหญ่เมืองน้ำหอม' หลอกคนไทยลงทุนสินค้าแบรนด์เนม ตีสนิทผู้เสียหายหลายรายให้ตายใจ ก่อนเชิดเงิน

(5 ธ.ค. 65) พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผบก.สส.สตม.,และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.สส.สตม. กวดขันจับกุมคนต่างด้าวที่แฝงเข้าอยู่ในประเทศไทยเพื่อใช้เป็นสถานที่ก่ออาชญากรรมในรูปแบบต่าง ๆ สร้างความเสียหายให้กับประชาชนและภาพลักษณ์ของประเทศ โดยเน้นย้ำสถานที่พักอาศัยที่คนต่างด้าว พักอาศัย เจ้าของหรือผู้ครอบครองดูแลต้องแจ้ง ต่อสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองภายใน 24 ชั่วโมง ตามมาตรา 38 แห่ง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522​

บิ๊กเด่นส่งทีม PCT ทลายกลุ่ม startup คอลเซ็นเตอร์เมืองไทย หลังจิ๊กโพยของบอสจากประเทศเพื่อนบ้าน ข้ามกลับมาเปิดเองในประเทศไทยได้ 2 เดือน

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสำคัญในเรื่องการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์นี้เป็นอันดับหนึ่งเพราะสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน โดยล่าสุด ทีมนักวิเคราะห์แผนประทุษกรรมของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์  กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. มือปราบคอลเซ็นเตอร์ได้วิเคราะห์ข้อมูลพบแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มใหม่เกิดขึ้นในข้อมูลระบบการรับแจ้งความออนไลน์ ชักชวนให้ลงทุนและทำภารกิจ ภายใต้บริษัทปลอมที่ใช้ชื่อว่า E-SHIPING.SHOP พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ จึงได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. ในฐานะหัวหน้าชุด ศปอส.ตร. (PCT) ชุดที่ 5 ดำเนินการสืบสวนจนทราบว่าแก๊งดังกล่าวอยู่ในประเทศไทย ซึ่งตามปกติจะอยู่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน จนสืบสวนทราบถึงสถานที่ตั้งก่อนนำกำลังบุกทลาย ภายในคอนโดย่าน ต.ท้ายบ้านใหม่ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ มีผู้ร่วมขบวนการภายในห้องมีจำนวน 4 คน ตรวจยึดคอมพิวเตอร์ 3 เครื่อง  โทรศัพท์มือถือจำนวน 9 เครื่อง สมุดบัญชีจำนวน 5 เล่ม ซิมการ์ดโทรศัพท์ 38 ซิม จากการตรวจสอบพบว่าข้อมูล รูปแบบการหลอกลวงเรียกได้ว่าถอดแบบมาจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่อยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งท้ายสุด หนึ่งในผู้ร่วมขบวนการได้ยอมรับว่าได้นำความรู้ นำ Knowhow ที่ได้จากการไปทำในประเทศเพื่อนบ้านกลับมาทำเอง เพราะคิดว่าตัวเองมีความรู้ระดับอาจารย์ไม่จำเป็นที่จะต้องไปทำในประเทศเพื่อนบ้านเพื่อรับเปอร์เซ็นต์จากคนจีนแค่ 3% โดยวาดฝันไว้ว่าตนเองจะเป็นผู้ก่อตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของคนไทยเจ้าแรก และจะเป็น Start Up เพื่อขยายกิจการในประเทศไทย แต่ทำได้เพียง 2 เดือนก็มาถูกจับเสียก่อน

เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 65 เวลาประมาณ 13.00 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.  พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร.  พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น./ หน.ชุดปฏิบัติการ PCT ที่ 5 พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง พ.ต.ท.ชัยวัฒน์ จงเจริญ พ.ต.ต.คณิตนนท์ ถนอมศรี ร.ต.อ.วุฒินันท์ คงดี ร.ต.อ.ปรมา ปราณี ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ศปอส.ตร. (PCT) ชุดที่ 5 ร่วมกับชุดลาดตระเวนออนไลน์ บก.สส.บช.น. สืบสวนติดตามนำมาสู่การเข้าตรวจค้น ห้องพักเลขที่ 188/130 คอนโดน๊อตติ้งฮิลล์ ถ.แพรกษา ต.ท้ายบ้านใหม่ อ.เมือง จว.สมุทรปราการ ตามหมายค้นศาลจังหวัดสมุทรปราการที่ 762/2565 ลงวันที่ 4 ธ.ค. 65 จับกุมตัวผู้ต้องหาดังนี้

นายสุพรพงษ์ ปัญญาไว หรือแบงค์ อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 977/64 ถนนสามเสน แขวงถนนนครชัยศรี เขตดุสิต กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นบุคคลตามหมายจับศาล จ.สุพรรณบุรีที่ จ.236/2565 ลงวันที่ 4 ธ.ค. 65 โดยกล่าวหาว่า 'ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น พร้อมยึดของกลางไว้ ดังนี้
1. คอมพิวเตอร์ อออินวัน จำนวน 3 เครื่อง
2. โทรศัพท์มือถือจำนวน 9 เครื่อง
3. สมุดบัญชีจำนวน 5 เล่ม
4. ซิมการ์ดโทรศัพท์ 38 ซิม
จับกุมตัวผู้ต้องหาได้ที่ภายในคอนโดย่าน ต.ท้ายบ้านใหม่ อ.เมือง จว.สมุทรปราการ
พฤติการณ์กล่าวคือ ทีมนักวิเคราะห์แผนประทุษกรรมของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ 
ผบ.ตร. (มือปราบคอลเซ็นเตอร์) ได้วิเคราะห์ข้อมูลพบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ “กลุ่มใหม่” เกิดขึ้นในข้อมูลระบบการรับแจ้งความออนไลน์ ซึ่งมีรูปแบบการหลอกลวงให้หลงรักก่อน จากนั้นจะชักชวนให้ 'ลงทุนและทำภารกิจ' ภายใต้บริษัทปลอมที่ชื่อว่า E-SHIPING.SHOP 

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ จึงได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. หรือ หัวหน้าชุด ศปอส.ตร. (PCT) ชุดที่ 5 สืบสวนจนทราบว่าแก๊งดังกล่าวนี้มีอฟฟิศตั้งอยู่ที่ ห้องพักเลขที่ 188/130 คอนโดน๊อตติ้งฮิลล์ ถ.แพรกษา ต.ท้ายบ้านใหม่ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ซึ่งโดยปกติออฟฟิศของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่หลอกลวงคนไทยจะอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ไม่มีการตั้งอยู่ในประเทศไทยมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ซึ่งต่อมา พล.ต.ต.ธีรเดชฯ ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ชุด PCT5 เข้าตรวจค้น ห้องพักเลขที่ 188/130 คอนโดน๊อตติ้งฮิลล์ ถ.แพรกษา ต.ท้ายบ้านใหม่ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ตามหมายค้นศาลจังหวัดสมุทรปราการที่ 762/2565 ลงวันที่ 4 ธ.ค. 65 ซึ่งเป็นที่ตั้งออฟฟิศแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าว ผลการตรวจค้นพบนายสุพรพงษ์ ปัญญาไว หรือแบงค์ ผู้ต้องหา นางสาวทิพวรรณ ปัญญาไว หรือแหม่ม    น.ส.สิริธร หมื่นโฮ้ง หรือแสตมป์ และน.ส.คณิณัช จิรโชควนิช หรือแฟง ทั้ง 4 คน อาศัยอยู่ภายในห้องพัก และตรวจค้นพบ คอมพิวเตอร์ 3 เครื่อง , โทรศัพท์มือถือจำนวน 9 เครื่อง , สมุดบัญชีจำนวน 5 เล่ม , ซิมการ์ดโทรศัพท์ 38 ซิม ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลทั้งในโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ทำให้ทราบว่าทั้ง 4 ได้ร่วมกันหลอกลวงโดยมีแผนประทุษกรรมคือ จะสร้างเฟสบุ๊คปลอม (อวตาร) โดยใช้ภาพโปรไฟล์เป็นสาวสวยแล้วขักชวนเพื่อนในเฟสบุ๊ค 

กล่าวคือเป็นการพูดคุยเชิงชู้สาวเพื่อชักชวนมาลงทุน โดยเมื่อเหยื่อสนใจ จะเชิญเข้า 'กลุ่มไลน์' โดยอ้างว่าเป็นบริษัทที่ชื่อว่า E-SHIPING.SHOP ซึ่งแท้จริงเป็นบริษัทที่ไม่มีอยู่จริง และจากนั้นจะให้คุยกับ อ.กอล์ฟ ซึ่งเป็นตัวตนปลอมที่อุปโลกน์ตนเองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน หลอกเสนอขายแผนโปรแกรม หลายๆแบบ เช่นการท่องเที่ยว การแต่งงาน แล้วหลอกให้โอนเงินร่วมลงทุนตามแผนงานต่าง ๆ เหล่านั้น เหมือนเป็นการหลอกให้ทำภารกิจโดยอ้างว่าเมื่อเหยื่อโอนเงินมาแล้วทำภารกิจเสร็จจะได้เงินคืนในจำนวนมากกว่าเดิม โดยภายในกลุ่มไลน์ดังกล่าวจะมีเหยื่ออยู่ในกลุ่มเพียงคนเดียว ที่เหลือจะเป็นหน้าม้าทั้งหมด โดยจะมีการให้หน้าม้าแสร้งสงภาพสลิปการโอนเงินทำทีว่าได้รับเงินจริง

แต่แท้จริงเป็นสลิปการโอนเงินปลอม ซึ่งเมื่อเหยื่อเห็นว่าคนในกลุ่มได้รับเงินโอนจริงจะเกิดความโลภและยอมโอนเงินลงทุนในที่สุด และเมื่อเหยื่อโอนเงินแล้วจะทำทีแสดงข้อมูลในโปรแกรมโชว์ยอดรายได้ให้เหยื่อเห็น แต่เหยื่อต้องการถอนเงินก็จะไม่สามารถถอนได้ โดยจะอ้างว่าเหยื่อทำผิดวิธี และจะชักชวนให้ลงทุนเพิ่มไปเรื่อยๆ โดยรูปแบบการวางระบบของแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มนี้เป็นรูปแบบเดียวกับหลายๆแก๊งที่ตั้งออฟฟิศอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน แต่กลุ่มนี้สามารถรวบรัดระบบต่างๆไว้ในห้องๆเดียวด้วยคอมพิวเตอร์เพียง 3 เครื่อง และใช้คนจัดการเพียง 4 คน ซึ่งมีทั้งการทำระบบหลังบ้าน , ระบบการแบ่งห้องไลน์สนทนา , ระบบแถว 1 ที่การชักชวนเหยื่อ , การปลอมสลิปด้วยเทมเพลตในโปรแกรม Photoshop และอีกหลายขั้นตอน ซึ่งบ่งบอกถึงประสบการณ์และความเข้าใจในการทำแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นอย่างดี  ซึ่งหลังเสร็จสิ้นการตรวจค้น ชุดจับกุมได้ทำการจับกุมตัว นายสุพรพงษ์ ปัญญาไว หรือแบงค์ ตามหมายจับของศาล นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.หนองหญ้าไซ จ.สุพรรณบุรี ดำเนินคดีตามกฏหมาย และได้นำตัวอีก 3 รายมาซักถามปากคำที่ สภ.เมืองสมุทรปราการ  

‘ตร.ไซเบอร์’ เตือน ‘ผูกบัตรเครดิต’ ในแอปฯ เสี่ยงถูก ‘มิจฉาชีพ’ สวมรอยใช้จ่ายเงินแบบไม่รู้ตัว

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษก กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ขอประชาสัมพันธ์เตือนภัยกรณีการผูกบัญชีธนาคาร บัตรอิเล็กทรอนิกส์ ไว้ชำระค่าสินค้ากับแอปพลิเคชันต่าง ๆ รวมถึงระมัดระวังการกรอกข้อมูลทางการเงินผ่านเว็บไซต์ปลอม หรือแอปพลิเคชันปลอม

จากกรณีที่สื่อสังคมออนไลน์ได้นำเสนอข่าวเกี่ยวกับมีผู้เสียหายผูกบัญชีธนาคารไว้กับแอปพลิเคชันขายของออนไลน์ ต่อมาทราบว่าเงินในบัญชีถูกนำไปชำระค่าสินค้าหลายรายการ ความเสียหายกว่า 50,000 บาท โดยไม่ทราบสาเหตุนั้น

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) ได้ขับเคลื่อนตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งให้ความสำคัญและมีความห่วงใยต่อภัยการหลอกลวงผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับการการทำธุรกรรมการเงินออนไลน์ และการซื้อขายของออนไลน์ โดยได้กำชับไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งวางมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดในโลกออนไลน์ทุกรูปแบบอย่างต่อเนื่องและจริงจัง พร้อมสร้างการรับรู้แนวทางป้องกันให้ประชาชน ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 269/5 ผู้ใดใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบในประการ ที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากมีการนำข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ‘โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน’ ก็จะมีความผิดตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(1) ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือความผิดตามกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

‘สืบนครบาล’ รวบ ‘แซนดี้ กระเป๋าหลุยส์’ หลอกขายแบรนด์เนมราคาถูก ผ่านออนไลน์

วันที่ 4 ธ.ค. 65 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น., พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น., พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. / หัวหน้าชุด PCT ที่ 5, พ.ต.อ.สราวุธ คนใหญ่, พ.ต.อ.นิวัตน์ พึ่งอุทัยศรี, พ.ต.อ.กมล นุ่มหอม, พ.ต.อ.ธนากร อ่อนทองคำ, พ.ต.ท.รัฐนันท์ สมวงศ์, พ.ต.ท.ชานนท์ บรรพกาล, พ.ต.ต.ธนากร จอมเกาะ, ร.ต.อ.ธีรเดช พรมลาย, ร.ต.อ.สตางค์ พิศุทธ์พัลลภ, ร.ต.ท.นันทัพพ์ แก่นจันทร์, ร.ต.ท.หญิง มุกนภา เอมรื่น และเจ้าหน้าที่ กก.สส.4 บก.สส.บช.น. จับกุมตัวน.ส.อรอุมา เกิดจันทึก หรือ ‘แซนดี้ กระเป๋าหลุยส์’ อายุ 29 ปี และนายภิญญาพัชร์ หรือ ธันยกานต์ เอี่ยมท่า อายุ 30 ปี ข้อหาฉ้อโกงประชาชน ตามหมายจับของ ‘แซนดี้ กระเป๋าหลุยส์’ จำนวน 3 หมาย 

ประกอบด้วย หมายจับศาลอาญาตลิ่งชัน ที่ จ.552/2565 ลงวันที่ 3 พ.ย.65 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ‘ฉ้อโกงประชาชน’ ท้องที่ สน.ธรรมศาลา, หมายจับศาลจังหวัดยะลา ที่ จ.545/2565 ลงวันที่ 17 พ.ย.65 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ‘ฉ้อโกงประชาชน’ ท้องที่ สภ.เมืองยะลา และหมายจับศาลแขงธนบุรี ที่ 360/2565 ลงวันที่ 28 พ.ย. 65 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ‘ฉ้อโกง’ ท้องที่ สน.บุปผาราม ส่วนหมายจับของ 

นายภิญญาพัชร์ จำนวน 1 หมาย คือ หมายจับศาลจังหวัดยะลา ที่ จ.545/2565 ลงวันที่ 17 พ.ย.65 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ‘ฉ้อโกงประชาชน’ ท้องที่ สภ.เมืองยะลา จับกุมได้ที่บริเวณ คอนโด เดอะโพลิแทน รีฟ ซ.นนทบุรี 15 ต.บางกระสอ อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 65 เวลาประมาณ 06.00 น. ที่ผ่านมา

สืบเนื่องจากผู้เสียหายขอความช่วยเหลือทางเพจ ‘สืบสวนนครบาล IDMB” ให้ช่วยสืบสวนติดตามจับกุมตัว น.ส.อรอุมา เกิดจันทึก หรือแซนดี้ กระเป๋าหลุยส์ โดยใช้ชื่อกลุ่มไลน์โอเพ่นแชทว่า ‘เดอะแซนดี้แบรนด์’ แอบอ้างขายกระเป๋าแบรนด์เนมนำเข้าจากต่างประเทศราคาถูก โดย แซนดี้ จะสรรหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้ตนเองมีความน่าเชื่อถือ ทั้งการโพสต์รูปภาพ การรีวิวกระเป๋า จนกระทั่งมีผู้หลงเชื่อจำนวนมาก และตรวจสอบประวัติการกระทำผิดของผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ปรากฎว่า น.ส.อรอุมา เคยก่อคดีมากว่า 26 คดี รวมมูลค่าความเสียหายประมาณล้านกว่าบาท 

โดยออกเช็คเด้งปี 64 จำนวน 1 คดี สภ.เมืองยะลา ปี 65 ก่อเหตุ 25 คดี ความผิดตามพ.ร.บ.คอมฯ สภ.กุมภวาปี, สภ.บางละมุง, ความรวมคดีฉ้อโกง สภ.สำโรงเหนือ, สน.หลักสอง, รวมความผิดรวมคดีฉ้อโกง สน.สำเหร่, รวมความผิดฉ้อโกง สน.ธรรมศาลา, รวมความผิดร่วมกันฉ้อโกง บก.ปอท. 2 คดี, รวมความผิดฉ้อโกง สน.ธรรมศาลา, สภ.หมวกเหล็ก, สภ.เมืองขอนแก่น, รวมความผิดฉ้อโกงประชาชน สภ.กันทรวิชัย, รวมความผิดฉ้อโกง สภ.ดอนหัวฟ้อ สภ.เมืองนครศรีธรรมราช, สน.บวรมงคล, สภ.วารินชำราบ, สภ.เมืองมหาสารคาม, สภ.โป่งน้ำร้อน, สน.พญาไท และสภ.วังสะพุง 

ตำรวจเมืองคอนระงับเหตุชายคลั่งยิง จนท. เจ็บ หลังเติมน้ำมันแล้วชิ่ง ซ้ำ!! พบยาบ้าในรถ

(2 ธ.ค. 65) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เปิดเผย กรณี เจ้าหน้าที่ตำรวจ ภ.จว.นครศรีธรรมราช และหน่วยปฏิบัติการพิเศษ เข้าระงับเหตุชายคลั่งเติมน้ำมันแล้วไม่จ่ายเงิน ขับรถหนีเจอด่านตรวจ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เข้าเจรจาบริหารเหตุการณ์ตามหลักยุทธวิธี แต่คนขับไม่ยอมลงจากรถมีลักษณะคล้ายคนเมายา และได้ใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจบาดเจ็บ 1 ราย เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการจึงจำเป็นต้องใช้ยุทธวิธีการปลดอาวุธ และเข้าควบคุมตัวผู้ก่อเหตุไว้ได้ ต่อมาภายหลังได้ตรวจค้นรถพบ ยาบ้ากว่า 8,000 เม็ด และจะนำไปขยายผลต่อไป เหตุเกิดเมื่อวันที่ 28 พ.ย. 2565 ที่ผ่านมา

‘บิ๊กโจ๊ก’ ชี้!! คดีทุนจีนสีเทา คืบหน้ากว่า 90% ลั่น!! ไม่มีมวยล้ม แม้ต้องสู้กลุ่มอำนาจเงิน

(1 ธ.ค. 65) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) ให้สัมภาษณ์ความคืบหน้าการดำเนินคดีกลุ่มทุนจีนผิดกฎหมาย ว่า เรื่องดังกล่าวตนรายงานพล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งผบ.ตร. จะเป็นผู้รายงานนายกรัฐมนตรี โดยเรื่องนี้ นายกฯ ได้กำชับครั้งล่าสุดในที่ประชุม ก.ตร. ว่าให้ดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมา ยืนยันเราทำงานยึดหลักกฎหมายตรงไปตรงมา สาวถึงใครก็ว่าไปตามนั้น ถ้าไม่ถึงก็ต้องให้ความเป็นธรรม 

รองผบ.ตร. กล่าวว่า อย่างไรก็ตามการดำเนินคดีนี้ต้องเห็นใจเจ้าหน้าที่เพราะเราใช้กำลังเยอะมาก ทำให้ต้องใช้เวลาเยอะ เช่น กรณีวันที่ 30 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ใช้เวลาทั้งวัน ค้น 3-4 จุด ยึดทรัพย์ 4,000 กว่าล้านบาท ที่เป็นวัตถุทั้งบ้าน รถ เครื่องบิน และต้องนำทรัพย์ที่ยึดมาได้มาโยงเส้นทางการเงิน และยังต้องไล่ต่อว่ายังมีเงินสดอีกหรือไม่แล้วอยู่ที่ไหน

เมื่อถามว่า ปัจจุบันยังมีกลุ่มทุนผิดกฎหมายอยู่ในเมืองไทยอีกหรือไม่ รองผบ.ตร. กล่าวว่า คิดว่าวันนี้หนีออกไปเยอะแล้ว กลุ่มเหล่านี้หลบหนีจากจีนมาอยู่กัมพูชา เมื่อถูกกวาดล้างหนักก็หนีมาอยู่ไทยและสปป.ลาว เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ตนได้คุยกับ ผบ.ตร.สปป.ลาว เมื่อเราจับมือกันแบบนี้ คนสองสัญชาติ ก็ต้องไม่มีแผ่นดินอยู่ ไปอยู่ที่อื่น

วันนี้กลุ่มคนที่อยู่แบบผิดกฎหมายที่ไม่ใช่กลุ่มทุนจีนที่มีปัญหา เขาก็หนีไปเป็นร้อยคนแล้ว เพราะเขาก็กลัวจึงออกไปก่อนดีกว่า แต่หลังจากนี้เราต้องเข้มงวดตั้งแต่กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) และการให้วีซ่า อย่างกรณีการจับกุม นายโทนี่ หรือนายเฉิน จ้าวฮุ้ย ที่ถือวีซ่าธุรกิจ ก็ต้องตรวจสอบว่าออกได้อย่างไร ถูกต้องหรือไม่ ถ้าไม่ถูกก็ต้องเพิกถอน หากใครเกี่ยวข้องกับการให้วีซ่าที่ไม่ถูกกฎหมายต้องถูกดำเนินคดีหมด เช่นวีซ่านักเรียนที่ให้กับคนอายุ 57 ปี แบบนี้ออกมาได้อย่างไร ต้องถูกดำเนินคดีแน่ไม่ปล่อยไว้ เพราะบุคคลเหล่านี้ไม่ได้เข้ามาเพื่อลงทุน แต่มาก่ออาชญากรรม

‘ตำรวจ’ เปิดปฏิบัติการ ‘ชัตดาวน์บ่อขยะเถื่อน’ ลุยตรวจ 16 จุดทั่วกรุงฯ รวบผู้ทำผิดได้ 7 คน

วันที่ (1 ธ.ค. 65) พล.ต.ต.วัชรินทร์ พูสิทธิ์ ผบก.ปทส. สั่งการให้พ.ต.อ.อรุณ วชิรศรีสุกัญยา รอง ผบก.ปทส. (กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม), พ.ต.อ.วิศิษฐ์ พลบม่วง ผกก.1 บก.ปทส., พ.ต.ท.กษิดิ์เดช เจริญลาภ รอง ผกก.1 บก.ปทส., พ.ต.ท.เอกพล ปัญจมานนท์ สว.กก.1 บก.ปทส. นำกำลัง เปิดปฏิบัติการ SHUT DOWN!! บ่อขยะเถื่อนทั่วกรุง Season 2 เข้าตรวจสอบเป้าหมายในเขตต่าง ๆ 16 จุดทั่วกรุงเทพฯ ได้แก่ เขตลาดกระบัง 3 จุด, เขตสะพานสูง 3 จุด, เขตประเวศ 1 จุด, เขตมีนบุรี 2 จุด, เขตคลองสามวา 1 จุด, เขตบึงกุ่ม 1 จุด, เขตบางแค 1 จุด, เขตหนองแขม 2 จุด, เขตสวนหลวง 2 จุด ที่มีการลักลอบเปิดบ่อขยะเถื่อน ส่งกลิ่นเหม็นรบกวนเป็นมลพิษทางอากาศ ซึ่งจากการกำจัดขยะมูลฝอยที่ไม่ถูกวิธี อีกทั้งยังกลายเป็นแหล่งแพร่กระจายเชื้อโรครวมถึงสิ่งสกปรกต่าง ๆ ไปสู่แหล่งน้ำและพื้นที่ใกล้เคียง 

ส่วนผลปฏิบัติการ เจ้าหน้าที่จับกุมผู้กระทำผิดได้ 7 คน คือนายพัฒพร ถาวร อายุ 29 ปี, น.ส.บัวไทย นนเทศา อายุ 40 ปี, นายป่าน ภาคแก้ว อายุ 61 ปี, นายอภิสิทธิ์ กิจเกียรติ์ อายุ 27, ปี น.ส.นงค์ลักษณ์ สงเมือง อายุ 28 ปี, นายกิตติศักดิ์ สิริกิตติสุนทร อายุ 42 ปี และน.ส.ชัญญา สอนพ่วง อายุ 48 ปี 

‘ตร.’ เผย 2 เดือน จับยาเสพติดเฉียด 5 หมื่นคดี พร้อมทลาย ‘แก๊งต่างชาติ-ทุนจีน-พนันบอล’ เพียบ

ผบ.ตร.โชว์ผลงานรอบ 2 เดือน เน้นงานนโยบาย 5 ด้าน เร่งด่วน แก้ปัญหาผู้เสพกว่า 1.4 แสนราย จับกุมปืน 22,027 คดี กวาดล้างยาเสพติด 47,310 คดี พนันฟุตบอล 5,101 ราย ทลายเครือข่ายนายทุนจีน แก๊งต่างชาติ อาชญากรรมทางเทคโนโลยี สร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน

วันนี้ (30 พ.ย.65) เวลา 11.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เปิดเผยว่า ตามนโยบาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของรัฐบาล โดยเฉพาะด้านอาชญากรรม ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน ด้านปัญหายาเสพติด อาวุธปืน สถานบริการ การพนัน คดีออนไลน์ และเครือข่ายคนต่างด้าวที่กระทำผิดกฎหมายในประเทศไทยอย่างเฉียบขาด จริงจัง และต่อเนื่อง โดยบังคับใช้ทุกมาตรการทางกฎหมาย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอแถลงผลการดำเนินการ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. - 28 พ.ย. 65 จำนวน 5 ด้าน ดังนี้

1.) สถิติอาชญากรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (1 ต.ค.- 28 พ.ย.65) รับคำร้องทุกข์ 142,740 คดี  จับกุมได้ 131,349 คดี คิดเป็น ร้อยละ 92

(1.1) จับกุม อาวุธปืนและวัตถุระเบิด 22,027 คดี 20,316 คน (ปืนสงคราม 220 คดี, ปืนไม่มีทะเบียน 6,466 คดี, ปืนมีทะเบียน 529 คดี )

(1.2) คดีเกี่ยวกับการพนัน 15,407 คดี ผู้ต้องหา 18,170 คน จับกุมกรณี บ่อนการพนัน (20 คนขึ้นไป) 4 คดี ผู้ต้องหา 108 คน

โดยศูนย์ป้องกันและปราบปรามการลักลอบเล่นการพนันทายผลฟุตบอลโลก (World Cup 2022) มีผลปฏิบัติ จับกุมเจ้ามือ จำนวน 104 ราย (เจ้ามือ 57 ราย เจ้ามือออนไลน์ 47 ราย) ผู้เล่น 4,975 ราย (ผู้เล่นทั่วไป 4,559 ราย ผู้เล่นออนไลน์ 416 ราย) เดินโพย 22 ราย รวม จำนวนทั้งสิ้น 5,101 ราย โดยยึดของกลางโพยบอล 7,064 ใบ เงินสด 98,140 บาท รวมมูลค่า 1,268,000 บาท
(1.3) จับกุมความผิดเกี่ยวกับสถานบริการ 1,032 คดี ผู้ต้องหา 1,024 คน

2.) ด้านการป้องกันปราบปรามยาเสพติด

(2.1) ค้นหาและนำผู้สมัครใจเข้าสู่กระบวนการบำบัดฯ จำนวน 72,716 ราย และผู้เสพที่มีอาการ ทางจิตประสาท จำนวน 21,143 ราย รวมทั้งสิ้น 93,859 ราย

(2.2) ผู้เสพไม่สมัครใจบำบัดหรือกระทำผิดซ้ำ จับกุม จำนวน 46,980 ราย (กลุ่มฐานความผิดร้ายแรง (ผู้จำหน่าย ครอบครองเพื่อการค้า ซึ่งทำให้เกิดการแพร่กระจายในหมู่ประชาชน) จำนวน 9,329 ราย โดยสามารถนำผู้เสพเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย รวมทั้งสิ้น จำนวน 140,839 ราย ระยะเวลา ต.ค.-พ.ย.65 คิดเป็นร้อยละ 54 เมื่อเทียบกับปีงบประมาณ พ.ศ.2565

(2.3) จับกุมยาเสพติด 47,310 คดี ผู้ต้องหา 46,453 คน ปริมาณของกลางยาบ้า 34,827,953 เม็ด ไอซ์ 67.88 กิโลกรัม เฮโรอีน 125.9 กิโลกรัม เคตามีน 406.5 กิโลกรัม โคเคน 2.4 กิโลกรัม และยาอี 1,217 เม็ด ดำเนินการตามยึดทรัพย์ ตามมาตรการฟอกเงิน 3 ราย

(2.4) ดำเนินโครงการชุมชนยั่งยืนเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดแบบครบวงจรในพื้นที่ 1,483 หมู่บ้าน/ชุมชน จำนวนไม่น้อยกว่า 15,000 ราย โดยจะเริ่มดำเนินการได้ในห้วง ม.ค.-เม.ย.2566

3.) ด้านการแจ้งความออนไลน์ และ อาชญากรรมทางเทคโนโลยี
สถิติการรับแจ้งความออนไลน์ตั้งแต่ 1 มี.ค. - 29 พ.ย.65 รับแจ้งความ 134,268 คดี พบว่า ข้อมูล 5 กลโกงที่พบการรับแจ้งมากที่สุด 
(1) คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้า 
(2) โอนเงินเพื่อหารายได้จากกิจกรรม 
(3) หลอกให้กู้เงินแต่ไม่ได้เงิน 
(4) หลอกให้ลงทุน 
(5) หลอกลวงทางโทรศัพท์แบบเป็นขบวนการ/Call Center)

ข้อมูล 5 กลโกงที่พบความเสียหายสูงสุด
1.หลอกให้ลงทุน (6.4 ลบ.) 
2.หลอกลวงทางโทรศัพท์แบบเป็นขบวนการ (2.1 ลบ.) 
3.โอนเงินเพื่อหารายได้จากกิจกรรม (2.0 ลบ.) 
4.หลอกให้รักแล้วลงทุน (0.99 ลบ.)
5.หลอกให้กู้เงินแต่ไม่ได้เงิน (0.67 ลบ.)
สามารถติดตามอายัดบัญชี 49,765 บัญชี สามารถอายัดได้ทัน 385,759,583 บาท

4.) ด้านเครือข่ายคนต่างด้าวกระทำผิดกฎหมาย ผบ.ตร. สั่งการให้ ผบช.สตม. ดำเนินการเพิ่มความเข้มในการคัดกรอง กวาดล้างและจัดระเบียบ คนต่างด้าวที่ผิดกฎหมาย กระทำความผิดลักษณะเป็นเครือข่ายคนต่างด้าวกระทำผิดกฎหมายในประเทศไทย ดังนี้
(4.1) คัดกรองคนต่างด้าวมีการปฏิเสธคนต่างด้าวเข้าเมือง จำนวน 3,395 ราย คนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง 2,005 ราย ช่วยเหลือ ซ่อนเร้น 21 ราย และจัดระเบียบคนต่างด้าวในประเทศ ไม่รายงานตัวฯ 582 ราย (มาตรา 37) ไม่แจ้งที่พักอาศัยคนต่างด้าว 8,770 ราย (มาตรา 38) และจับกุมคนต่างด้าวอนุญาตสิ้นสุด (Overstay) จำนวน 1,073 ราย

(4.2) ขยายจับกุมเครือข่ายนายทุนจีนผิดกฎหมาย จากกรณี ร้านผับจินหลิง คดีที่เมื่อวันที่ 26 ต.ค.65 เข้าตรวจค้น พบผู้ใช้ยาเสพติดกว่า 104 ราย และพบยาเสพติดจำนวนมาก พร้อมตรวจยึดรถยนต์หรู จำนวน 35 คัน จากการขยายผลพบเพิ่มอีก 4 กรณี ได้แก่

(1) ร้านคลับวันพัทยา พื้นที่ สภ.เมืองพัทยา หลังการตรวจค้น พบยาเสพติดจำนวนมาก ผู้ต้องหา 4 ราย
(2) ร้านท็อปวัน พื้นที่ สน.สุทธิสาร มีกลุ่มคนจีนเป็นเจ้าของ โดยใช้ชื่อคนไทยเป็นนอมินี จำนวน 2 ราย
(3) ร้านจินหลิง พื้นที่ สน.ยานนาวา จับกุมขยายผลผู้ต้อง 4 ราย ได้ของกลางเป็นยาเสพติดประเภท เฮโรอีน ยาอี และแฮปปี้วอเตอร์ ตรวจค้นจุดต้องสงสัยกว่า 38 จุด ยึดรถหรู 5 คัน เงินสด 19 ล้านบาท หลังจากนั้นได้ขออนุมัติออกหมายจับเพิ่มอีก 2 ราย
(4) ร้านเบบี้เฟซ พื้นที่ สน.คลองตัน หลังตรวจค้นที่พัก พบสุราต่างประเทศ ไวน์ต่างประเทศ บุหรี่ต่างประเทศ บุหรี่ไฟฟ้าพร้อมอุปกรณ์ และอาวุธปืน หลังจากรวบรวมพยานหลักฐาน ได้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหา เพิ่มจำนวน 4 ราย โดยคดีนี้อยู่ระหว่างสืบสวนขยายผลผู้กระทำความผิดที่เกี่ยวข้อง

(4.3) จับกุม คนต่างด้าวลักลอบเปิดเว็บพนันออนไลน์ เมื่อวันที่ 28 ต.ค. 65 คนต่างด้าว 56 ราย ใช้ไทยเป็นฐานลักลอบเปิดเว็บพนันออนไลน์ เห่อซิง โดยมีเงินทุนหมุนเวียนกว่า 500 ล้านบาท

(4.4) จับกุมแก๊งค์อุ้มเรียกค่าไถ่ เมื่อวันที่ 1 พ.ย.65 ผู้ต้องหา 2 ราย เกี่ยวข้องกับแก๊งอุ้มตัดนิ้วเพื่อนร่วมแก๊งเรียกค่าไถ่ 37 ล้านบาท

(4.5) จับกุมคนต่างด้าวสวมบัตรประชาชน เมื่อวันที่ 9 พ.ย.65 จับกุมนายทุนรายใหญ่ สวมบัตรประชาชนไทย ตามหมายจับศาล จว.ปัตตานี จ.125/65 ยึดของกลางหลายรายการ เช่น ชุดเครื่องแบบฯ ติดป้ายชื่อ รถยนต์ 2 คัน (ติดธงจีนคล้ายรถสถานทูต) หนังสือเดินทาง 3 เล่ม

(4.6) จับกุม แก๊งคอลเซ็นเตอร์ต่างชาติ เมื่อวันที่ 13 พ.ย.65 รวบหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หนีซุกไทยเสวยสุข ตามหมายจับฯ ข้อหา เกี่ยวกับยาเสพติด การฉ้อโกง การลักทรัพย์ เป็นบุคคลที่เป็นภัยต่อสาธารณะ หนังสือเดินทางปลอม ตรวจยึด รถยนต์ยี่ห้อ Ferrari 1 คัน มูลค่ากว่า 24 ล้านบาท
(5.) โครงการ ‘ทำดี มีรางวัล’ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ ผบ.ตร. ได้มอบเกียรติบัตรตามโครงการ ‘ทำดี มีรางวัล’ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 8 เรื่อง โดยเป็นข้าราชการตำรวจ จำนวน 12 นาย และประชาชน 3 นาย เช่น การช่วยเหลือ ประชาชน นำส่งเด็กผลัดหลง การปฐมพยาบาล (ปั้มหัวใจ) ช่วยเหลือรถจักรยานยนต์ตกคลอง การจับกุมคนร้ายใช้อาวุธปืน ช่วยเหลือเด็กหญิง เจรจาคนพยามยามจะกระโดดสะพาน ใช้ไหวพริบในการจับกุมยาเสพติดกว่า 5 ล้านเม็ด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top