Wednesday, 19 March 2025
POLITICS TIPS

‘ชัยวุฒิ’ สั่งจัดการ-ตรวจสอบ กรณี ‘9near’  กร้าว!! เผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลผู้อื่น มีโทษทั้งจำทั้งปรับ

(31 มี.ค.66) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวถึงกรณี ผู้ใช้งานบัญชี ‘9near’ ได้โพสต์ขายข้อมูลที่อ้างว่าเป็นข้อมูลส่วนตัวของคนไทยกว่า 55 ล้านรายการ บนเว็บไซต์ Bleach Forums โดยอ้างว่าได้มาจากหน่วยงานรัฐแห่งหนึ่งในไทย (Somewhere in government) และโพสต์ ตัวอย่างไฟล์ ซึ่งมี ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ วันเกิด เบอร์โทรศัพท์ และเลขประจําตัวประชาชน รวมทั้งมีการโพสต์ ลักษณะข่มขู่หน่วยงานและประชาชนในวงกว้าง

โดยวันที่ 30 มี.ค.66 เว็บไซต์ 9near.org (https://9near.org/) ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับบัญชี 9near โพสต์ ขายข้อมูลบนเว็บไซต์ Bleach Forums) ได้แอบอ้างใส่ชื่อ นายปริญญา หอมเอนก (อ.ปริญญาฯ) เป็นผู้สนับสนุน (Sponsored By...) พร้อมทั้งนํา Youtube Video Clip สัมภาษณ์ อ.ปริญญาฯ รายการ Digital Life Spring ช่อง Spring News ใส่บนเว็บไซต์ด้วย ซึ่งในเว็บไซต์ มีลิงก์ดาวน์โหลดไฟล์ข้อมูล (!! Download !!) ซึ่งเป็นไฟล์ข้อมูล รายชื่อ วันเกิด ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ โดยมีการปิดบังในลักษณะ xxxx ไม่แสดงข้อมูลทั้งหมด ส่วนด้านล่างของ เว็บไซต์ได้ระบุข้อความในลักษณะข่มขู่ให้ผู้คิดว่าข้อมูลของตนรั่วไหล ติดต่อกลับไปก่อนวันที่ 5 เม.ย. 16.00 น. เวลาประเทศไทย ไม่เช่นนั้นจะทําการเผยแพร่ข้อมูล 

ทั้งนี้ อ.ปริญญาฯ ได้เข้าแจ้งความกับกองบังคับการ ปราบปรามการกระทําผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) แล้ว 

ในวันเดียวกัน ด้านผู้ประกาศข่าว นายสรยุทธ์ สุทัศนจินดา ได้โพสต์ข้อความใน facebook ส่วนตัว ว่าได้รับข้อความ SMS ข้อมูลส่วนบุคคลของตน ประกอบด้วย เลขบัตรประชาชน 13 หลัก, วันเดือนปีเกิด, ที่อยู่, เบอร์มือถือ จาก 9 near

ทั้งนี้ รัฐมนตรีชัยวุฒิ กล่าวถึงแนวทางการดําเนินการของกระทรวงดิจิทัลฯ ว่า...

1) ดศ. ได้ประสานผู้ให้บริการ domain name สําหรับเว็บไซต์ 9near.org (Namesilo, LLC) ซึ่งเป็น ผู้ให้บริการในต่างประเทศ เพื่อขอปิดกั้นเว็บไซต์ 9near.org ตั้งแต่วันพุธที่ 29 มี.ค. 66 เวลา 19.00 น. เนื่องจากมี การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่น และระบุข้อความในลักษณะข่มขู่ให้ผู้คิดว่าข้อมูลของตนรั่วไหล ติดต่อกลับไป ซึ่งเข้าข่ายกระทบต่อความมั่นคงของประเทศทําให้ประชาชนตื่นตระหนก ซึ่งขณะนี้ ยังไม่ได้รับการตอบรับหรือ ดําเนินการจากผู้ให้บริการ

2) ดศ. อยู่ระหว่างดําเนินการขอคําสั่งศาลตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งอาจเข้าข่าย

บุกบ้านโป่ง!! ‘ลุงตู่’ ลงพื้นที่ราชบุรี ไหว้พระ-เยี่ยมชมสถานที่ ชาวบ้านแห่ต้อนรับ พร้อมชูป้าย ‘ลุงตู่ อยู่ต่อ’

(13 มี.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม  ว่า เริ่มต้นสัปดาห์ใหม่ พล.อ.ประยุทธ์ในนามนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่จังหวัดราชบุรี โดยมี พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายธนกร วังบุญคงชนะ รมต.ประจำสำนักนายกฯ นายสุชาติ ชมกลิ่น ร่วมคณะ 
.
โดยเมื่อเวลา 09.00 น.นายกรัฐมนตรีและคณะ ออกเดินทางสนามเฮลิคอปเตอร์ พล.ม.2 รอ. เขตพญาไท กรุงเทพฯ โดยจุดแรก เมื่อเวลา 10.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางด้วยรถยนต์โตโยต้าอัลพาร์ด สีขาวทะเบียน กค 9 ราชบุรี มายังวัดหุบกระทิง ตำบลเบิกไพร อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี โดยทันทีที่มาถึงนายกฯได้ทักทายกับนักเรียนโรงเรียนวัดหุบกระทิงที่มารอเจอนายกฯที่บริเวณรั้วโรงเรียน โดยนายกฯกล่าวกับเด็กๆว่า ให้รักสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ไว้ สำหรับลุงยึดและรักทั้ง 3 สถาบัน และรักประชาชน ขอให้เด็กทุกคนเป็นคนดีรู้รักสามัคคี และตอนหนึ่งนายกฯหยอกล้อเด็กๆให้รักษาฟันให้ดีๆ ขณะที่เด็กๆบอกว่าเคยเห็นนายกฯแต่ในติ๊กต๊อกเพิ่งเคยเจอตัวจริงวันนี้ 

จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ สักการะพระประธานอุโบสถ หลวงพ่อสมปรารถนา และนมัสการพระมหาสงกรานต์ (สันติ กะ โร) เจ้าอาวาสวัดหุบกระทิง

ทั้งนี้ ในพื้นที่ นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่เตรียมย้ายมาอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และ น.ส.กุลวลี นพอมรบดี ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ที่เตรียมย้ายมาอยู่พรรค รทสช. เดินทางมาต้อนรับ รวมทั้งมีชาวบ้านมารอต้อนรับพร้อมชูป้ายข้อความ “ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ” , เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตรย์แบะประชาชน ลุงตู่สู้ๆ , หนีเมียมาเชียร์ลุง , ลุงตู่อยู่ยาวๆ เป็นต้น ขณะเดียวกันได้มีการซักซ้อมประชาชนว่าห้ามหอมแก้มและจับมือบีบมือนายกฯเนื่องจากมือนายกฯยังเจ็บอยู่ ขณะที่นายกฯเองก็พยายามยกมือข้างขวาขึ้นสูงเพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนถูกมือที่ยังอักเสบอยู่ ทั้งนี้ ช่วงหนึ่งพล.อ.ประยุทธ์ได้เข้าไปลูบหัวสุนัขที่ชาวบ้านอุ้มมาต้อนรับ พร้อมกล่าวว่า “น่ารักแข็งแรงนะลูก”

จากนั้น นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้เกษตรวิถีพุทธ ภายใต้สโลแกน "คุณลุงทำนา คุณป้าทำสวน" ซึ่งเป็นวิถีความร่วมมือในการพัฒนาระหว่างวัดกับชุมชน เยี่ยมชมร้านกาแฟ มา-หา กาแฟบุญผลกำไรนำไปช่วยเหลือด้านสาธารณะสงเคราะห์ และเยี่ยมชมตลาดร่มสักส่งเสริมให้ชาวบ้านได้มีอาชีพสร้างรายได้หมุนเวียนในชุมชน โดยช่วงหนึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ได้สนทนาธรรมกับจะอาวาสว่า วัดนอกจากเป็นที่พึ่งของพุทธะศาสนิกชนแล้วเป็นที่สั่งสอนพระพุทธศาสนาให้ความร่มเย็นแล้วส่วนหนึ่งที่วัดหุบกระทิง ได้ทำคุยสร้างเศรษฐกิจชุมชนซึ่งถือเป็นเรื่องดีก็ขอให้มีการพัฒนาต่อไปเรื่อยเรื่อย

ส่วนต่างที่หายไป!! 'ก้าวไกล' กัดไม่ปล่อย ‘บีอีเอ็ม’ สอยสัมปทานรถไฟสายสีส้ม ชี้!! อย่าปล่อยให้ 'เมกะโปรเจกต์' กลายเป็น 'เมกะดีล'

(13 มี.ค.66) สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แถลงข่าวเปิดเผยเอกสารหลักฐานที่เพิ่งได้รับ กรณีข้อสงสัยการทุจริตประมูลสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีส้ม ซึ่งเคยอภิปรายไปหลายครั้งก่อนหน้านี้ ให้เห็นถึงความพยายามกีดกันคู่แข่งของบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ผู้ชนะการประมูล ซึ่งก็คือบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ให้ออกไปจากการแข่งขัน โดยมีส่วนต่างที่รัฐต้องจ่ายอุดหนุนให้เอกชนสูงถึงกว่า 6.8 หมื่นล้านบาท

สุรเชษฐ์กล่าวย้ำอีกครั้งหนึ่ง ว่านี่คือการประมูลที่เกิดขึ้นถึงสองครั้ง เพื่อสร้างสิ่งเดียวกัน แต่มีส่วนต่างสูงถึง 6.8 หมื่นล้านบาท และตนขอยืนยันอีกครั้ง ว่าส่วนต่างมีอยู่จริง แม้กระทรวงคมนาคม และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จะพยายามปฏิเสธเพียงใดก็ตาม

โดยสิ่งที่ปรากฏอยู่ในเอกสารที่ตนได้มาครั้งนี้ คือเครื่องยืนยันที่ดีที่สุด นั่นคือข้อเสนอของฝ่ายบีอีเอ็มที่ตนได้พยายามขอมาหลายครั้งผ่านทุกช่องทางแล้วแต่ก็ไม่เคยได้รับการตอบสนองจากหน่วยงานใดๆ ที่เกี่ยวข้องเลย แต่บัดนี้เข้าใจได้ว่าเมื่อหัวโจกไม่อยู่แล้ว ข้าราชการที่รักความยุติธรรมจึงเริ่มเคลื่อนไหว ส่งข้อมูลมาให้ตนในที่สุด

สุรเชษฐ์กล่าวต่อไปว่า เมื่อนำข้อมูลข้อเสนอจากทั้งสองฝ่ายมาเปรียบเทียบกัน จะเห็นได้ว่าข้อเสนอของบีทีเอส จะขอเงินจากรัฐอุดหนุนค่าก่อสร้าง ในปีที่ 3-8 ยอดรวม 79,820 ล้านบาท โดยจะมีกำไรจ่ายคืนรัฐในปีที่ 20 เป็นต้นไป รวมเป็นเงินจำนวน 70,145 ล้านบาท ผลรวมจะเท่ากับเกิดส่วนต่างที่รัฐต้องอุดหนุนเพียง 9,675 ล้านบาท

ขณะที่ข้อเสนอของบีอีเอ็มนั้น มีการขอเงินรัฐอุดหนุนค่าก่อสร้าง ในปีที่ 3-8 เป็นจำนวน 81,871 ล้านบาท โดยผลตอบแทนที่บีอีเอ็มจะให้ตั้งแต่ปีที่ 14 เป็นต้นไป จะคืนเป็นยอดรวมเพียง 3,583 ล้านบาทเท่านั้น

กล่าวคือขณะที่บีทีเอสมีข้อเสนอจะจ่ายคืนให้รัฐ 70,145 ล้านบาท บีอีเอ็มจะคืนให้เพียง 3,583 ล้านบาท โดยที่ค่าก่อสร้างแทบไม่ต่างกันเลย ผิดกับที่ฝ่าย รฟม. มักออกมาอ้างว่าจำเป็นต้องใช้เทคนิคชั้นสูงในการสร้างอุโมงค์ใต้ดิน ทำให้ต้องใช้งบประมาณมากขึ้น แต่หากลงไปดูในรายละเอียดเปรียบเทียบกันแล้ว จะพบว่าทั้งสองข้อเสนอแทบไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย

“ดังนั้น ที่ต่างจริงๆ ก็คือผลตอบแทนที่จะคืนให้รัฐ ซึ่งบีอีเอ็มให้น้อยกว่าบีทีเอสมาก คำถามคือส่วนต่างนี้จะเอาไปทอนให้ใคร แน่นอนว่าทั้งหมดจะอยู่ในกระเป๋าของบีอีเอ็ม แต่บีอีเอ็มจะเอาไปให้ใคร หรือให้พรรคการเมืองใดบ้างหรือไม่ ผมอยากให้พี่น้องสื่อมวลชนและประชาชนร่วมกันติดตาม” สุรเชษฐ์กล่าว

สุรเชษฐ์ยังกล่าวต่อไป ว่าจากวันนี้ไปจนถึงการเลือกตั้ง คณะรัฐมนตรียังมีเวลาเหลืออย่างมากอีกเพียง 2 ครั้งที่จะอนุมัติเรื่องต่างๆ คือในการประชุม ครม. พรุ่งนี้ (14 มีนาคม) หรือหากยังไม่มีการยุบสภาเร็วๆ นี้ ก็จะต้องเป็นการประชุม ครม. สัปดาห์หน้า ที่ต้องจับตาคือจะมีการยัดเรื่องนี้เข้าไปหรือไม่ ซึ่งตนเชื่อว่าถ้าทุกคนเงียบเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อไร จะมีการนำเข้าไปแน่นอน รวมทั้งอาจมีการใช้กระบวนการยุติธรรมมาฟอกขาว ว่าข้อเสนอของบีทีเอสเป็นข้อเท็จจริงนอกสำนวน

เยือนแปดริ้ว!! ‘บิ๊กตู่’ เตรียมลงพื้นที่ฉะเชิงเทรา สักการะหลวงพ่อโสธรฯ พร้อมร่วมพิธีเปิดสวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติฯ 10 มี.ค.นี้ 

(9 มี.ค. 66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เตรียมลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ จังหวัดฉะเชิงเทรา ในวันศุกร์ที่ 10 มีนาคม 2566 เพื่อเป็นประธานในพิธีเปิดสวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พ.ศ. 2562 โดยมี พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน, นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร่วมคณะตรวจราชการ ซึ่งมีกำหนดการ ดังนี้

เวลาประมาณ 14.30 น. นายกรัฐมนตรีและคณะ ออกเดินทางจากสนามเฮลิคอปเตอร์ กรมทหารราบที่ 11 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ เขตบางเขน กรุงเทพฯ ไปยังจุดจอด ฮ. ช.พัน.2 รอ. ค่ายศรีโสธร ต.หน้าเมือง อ.เมืองฉะเชิงเทรา จ.ฉะเชิงเทรา โดยเฮลิคอปเตอร์ แล้วเดินทางไปยังวัดโสธรวารารามวรวิหาร เพื่อสักการะหลวงพ่อพระพุทธโสธร และกราบนมัสการพระราชภาวนาพิธาน เจ้าอาวาสวัดโสธรวารารามวรวิหาร

ยึดหลักยุติธรรม ‘โรม’ ยื่น ก.ต. สอบผู้พิพากษา ถอนหมายจับ สว.ทรงเอ ชี้!! ต้องบังคับใช้กฎหมายเสมอภาค - ไม่แบ่งแยก

(8 มี.ค.66) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เดินทางมายื่นหนังสือถึง คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม หรือ ก.ต. เพื่อให้ตรวจสอบ อธิบดีผู้พิพากษาฯ รองอธิบดีผู้พิพากษาฯ และ ผู้พิพากษา ที่นั่งบัลลังก์ ในกาพิจารณาเพิกถอนหมายจับ สมาชิกวุฒิสภา คนดัง ที่ถูกกล่าวหาเกี่ยวข้องกับยาเสพติด

นายรังสิมันต์ โรม กล่าวว่า วันนี้มายื่นหนังสือถึง คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) เป็นกรณีที่สืบเนื่องจากการอภิปรายทั่วไป 152 โดยในรอบนี้ตนเองทำตามระเบียบและพยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อให้มั่นใจว่ากระบวนการยุติธรรม มันจะเป็นไปซึ่งประโยชน์จริง ๆ อย่างที่ทุกคนทราบว่า ตนเองมีการอภิปราย 152 ข้อมูลหนึ่งที่ตนเองเปิดเผยออกมาคือ สว.ทรงเอ ซึ่งเป็นตัวละครที่เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดและการฟอกเงิน ปรากฏว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ จากกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด หรือ บช.ปส. ที่รับผิดชอบคดีนี้ ได้มายื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอออกหมายจับ หลังจากมาขอ ออกหมายจับ ในช่วงเช้า ของเดือนตุลาคม 2565 ศาลได้อนุมัติหมายจับแล้ว แต่ปรากฏว่า ในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน มีการยกเลิกหมายจับ ดังกล่าว โดยสาเหตุสำคัญ ที่ปรากฏในคำอธิบายของผู้พิพากษา ที่ออกนั่งบัลลังก์พิจารณาและมีการเขียนไว้ในคำสั่งเพิกถอนหมายจับ ว่าได้รับฟังคำแนะนำจากอธิบดีผู้พิพากษาฯ ว่า บุคคลที่ถูกออกหมายจับ หรือ สว.ทรงเอ เป็นบุคคลที่มีความสำคัญ และศาลไม่ทราบมาก่อน ว่า พนักงานสอบสวน มายื่นคำร้องเพื่อออกหมายจับบุคคลดังกล่าว จึงขอให้มีการถอนหมายจับ และขอให้พนักงานสอบสวน ออกหมายเรียก ก่อน

ซึ่งหากพิจารณา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา คดีที่มีอัตราโทษสูง ซึ่งคดีนี้เป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดและการฟอกเงิน โดยทั่วไปไม่มีความจำเป็น ที่จะต้องมีการออกหมายเรียกก่อน สามารถที่จะดำเนินการออกหมายจับได้เลย และในชั้นต้น เดิมทีศาลก็คงจะเห็นด้วย ว่า บุคคลดังกล่าว เป็นวุฒิสมาชิกหรือไม่ จึงออกหมายจับให้ แต่ปัญหาในระบบกฎหมายของไทย ไม่ได้แบ่งแยกว่า การปฏิบัติกับวุฒิสมาชิก กับการปฏิบัติกับบุคคลธรรมดา ต้องมีความแตกต่างกัน เพราะหลักการของกฎหมาย ทุกคนมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน  

ทำได้จริง!! ‘กรณ์’ โชว์ ‘กล้าปลดหนี้’ ใช้แค่ 1 ปี สร้างเถ้าแก่ใหม่ ย้ำชัด โอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน ช่วยหนุน ศก.ปากท้อง

‘กรณ์ เผยผลสำเร็จ ‘กล้าปลดหนี้’ ใช้เวลาเพียง 1 ปี สร้างเถ้าแก่ใหม่ ชี้ โอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน สำคัญต่อเศรษฐกิจปากท้อง

เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2566 นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า เมื่อพูดถึงโอกาสสำคัญที่สุดไม่หนีเรื่องเงินทุน ใครเข้าถึงแหล่งเงินก็ไปได้ ใครเข้าไม่ถึงก็ไม่มีโอกาสทำมาหากิน คนรวยได้เปรียบ เพราะกู้ได้ถูก (หรือไม่ต้องกู้เลย) ส่วนคนจนต้องกู้แพง และยิ่งใครต้องกู้นอกระบบยิ่งไปกันใหญ่

หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า เมื่อปีที่แล้วพรรคเรา นำโดยนายนที ศิริธรรมวัฒน์ ว่าที่ผู้สมัครสส.กทม.พญาไท ทำโครงการ ‘กล้าปลดหนี้’ เพื่อช่วยให้ผู้ที่เป็นหนี้นอกระบบกลับมากู้ในสถาบันการเงินได้ คนเวลาได้ยินคำว่ากู้ มักคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ เพราะจะเป็นการสร้างหนี้ แต่จริง ๆ แล้ว แทบทุกธุรกิจต่างต้องการเงินทุนเพื่อเริ่มต้นด้วยกันทั้งนั้น และในบางครั้งประสบปัญหา เช่น ในสถานการณ์ช่วงโควิด ที่ขาดรายได้ ทำให้ธุรกิจหยุดชะงัก แต่ไม่ได้หมายความว่าในอนาคตธุรกิจจะกลับมาไม่ได้

“โครงการ ‘กล้าปลดหนี้’ ที่เราทำ เป็นการประสานชาวบ้านกับสถาบันการเงิน เพื่อให้สามารถกู้เงินมาหมุนธุรกิจให้ไปต่อ อย่างคุณเปิ้ลเจ้าของร้านหมูกะทะ แต่เชื่อหรือไม่ ไม่เคยกู้จากแบงก์ได้ จึงต้องพึ่งนายทุนนอกระบบ ดอกเบี้ยเดือนละ 20% แต่รอดได้ด้วยเงินกู้ที่เราช่วยประสานให้ เงินกู้ดอกเบี้ยปีละ 33% หรือเดือนละ 2% กว่าเท่านั้น ทำให้วันนี้ธุรกิจอยู่รอด ลูกค้าเริ่มกลับมาเต็มร้าน สามารถฟื้นตัวได้ ล่าสุดซื้อรถกระบะและกำลังจะขยายสาขาสองอีกด้วย” นายกรณ์ กล่าว 

'อนุทิน' ลั่น 'ภท.' ไม่กังวลสูตรคำนวณแบ่งเขต ชี้ แข่งขันกันด้วยนโยบาย มั่นใจไร้ปัญหา

(14 ก.พ. 66) เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี กรณีกรณีพรรคเพื่อไทยออกมาท้วงติงว่าการแบ่งเขตเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบกัน ว่า พรรคภูมิใจไทย ยอมรับทุกกติกา เพราะเรื่องนี้อยู่นอกเหนือการควบคุมของพรรค จะชอบไม่ชอบเมื่อประกาศออกมาก็ตามกฎหมาย และเราต้องจัดสรรคนที่มีความสามารถและชำนาญในพื้นที่ลงไปแข่งขัน โดยเอานโยบายเข้าแข่งขัน ตนเชื่อว่าไม่ว่าจะพื้นที่แบ่งยังไง ถ้านโยบายดี ผู้สมัครใครดี ก็จะได้รับการพิจารณาจากประชาชน

ผู้สื่อข่าวถามว่า กังวลหรือไม่ว่าการแบ่งเขตในลักษณะนี้จะทำให้เกิดบัตรเสียมากขึ้น นายอนุทิน กล่าวว่า "เราไม่กังวลเรื่องพวกนี้ ทำนโยบายให้ดีที่สุดและทำทุกอย่างที่คิดว่าดีที่สุดให้ประชาชนแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็อยู่ที่การพิจารณาจากประชาชน"

‘เพื่อไทย’ จวก รัฐจัดการหลอกลวงออนไลน์ช้า จี้ ‘รมต.ชัยวุฒิ’ ควรปราบแก๊งต้มตุ๋นให้จริงจัง

(25 ม.ค. 66) นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) และผู้ซึ่งประสงค์สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทยกล่าวถึงกรณีที่มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 ม.ค. อนุมัติร่าง พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์ว่า เหตุใดรัฐบาลที่นำโดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ อยู่มา 8 ปีเพิ่งจะคิดทำเอาตอนนี้ ทั้งที่การออก พ.ร.ก.เป็นอำนาจเต็มของรัฐบาลที่ทำได้ทันที และทุกภาคส่วนก็เรียกร้องให้ดำเนินการปราบปรามอย่างจริงจังมานานมากแล้ว ที่ผ่านมาเกิดปัญหาภัยไซเบอร์มากมาย นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดีอีเอสที่มีอำนาจอยู่เต็มมือ ต้องอธิบายกับสังคมให้ได้ว่าจงใจปล่อยปละละเลยไม่ดำเนินการให้เด็ดขาดหรือไม่ หรือดำเนินการล่าช้าเพราะอยู่ภายใต้รัฐบาลที่ทำงานไม่เป็น จนเกิดเป็นหลักฐานความล้มเหลวคาตาประชาชนมากมาย ทั้งแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ เว็บไซต์หลอกลวงและพนันออนไลน์ แอปพลิเคชันฝังมัลแวร์ล้วงข้อมูลประชาชน ตลอดจนคดีออนไลน์กว่า 114,000 คดี คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 22,000 ล้านบาท

นายชนินทร์ กล่าวต่อว่า ตนเห็นด้วยกับเนื้อหาหลายส่วนใน พ.ร.ก.แต่ยังมีข้อกังวล 2 ประการเกี่ยวกับ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีว่า 

1. มีหน้าที่และอำนาจอย่างไรบ้าง เพราะควรมีความพอดีในอำนาจสิทธิ์ขาด อย่าให้เกิดการให้อำนาจล้นจนละเมิดความเป็นส่วนตัวของประชาชน

‘สมคิด’ อัด ‘บิ๊กตู่’ กู้เงินโปะงบประมาณทุกปี ชี้!! สร้างหนี้ให้ประเทศมากกว่า 4 ล้านล้านบาท

(17 ม.ค. 66) นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย (พท.) ฐานะรองประธานคณะกรรมการ ประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน หรือวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า การจัดทำงบประมาณประจำปี 2567 ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ พบว่าเป็นการจัดทำงบประมาณขาดดุลเช่นเดิม ตลอด 8 ปีที่ผ่านมาจัดทำงบประมาณขาดดุลมาโดยตลอด มีการกู้เงินโปะงบประมาณทุกปี จากการตรวจสอบพบว่าพล.อ.ประยุทธ์ใช้การกู้เงินโปะงบประมาณมากกว่า 4 ล้านล้านบาท สร้างหนี้สินไม่รู้จบ การกล่าวอ้างว่าไม่อยากให้เป็นภาระกับรัฐบาลหน้านั้น เป็นการพูดเอาดีเข้าตัว ข้อเท็จจริงคือหนี้สินที่พล.อ.ประยุทธ์สร้างไว้ ใครมาเป็นรัฐบาลต่อไปต้องไปตามใช้หนี้ที่พล.อ.ประยุทธ์ก่อขึ้น หนี้สินก้อนนี้ กระทบเงินลงทุนในการพัฒนาประเทศอย่างแน่นอน ทั้งนี้ งบประมาณประจำปี 2567 ที่สูงถึง 3,350,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 เป็นจำนวน 165 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.18 งบประมาณที่เพิ่มขึ้น ไม่สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย  

นายสมคิด กล่าวต่อว่า หากพล.อ.ประยุทธ์อยากเป็นนายกฯ ต่อ คงไม่สามารถคำนวณได้ว่าประเทศไทยจะเป็นหนี้อีกมากเท่าไหร่ 8 ปีที่ผ่านมาเชื่อว่าประชาชนเห็นอะไรชัดเจนแล้วว่าการบริหารประเทศของรัฐบาลผลออกมาเช่นไร ถึงเวลานี้พล.อ.ประยุทธ์ ต้องยอมรับว่าตัวเองไร้ความสามารถ ประชาชนมองว่าพล.อ.ประยุทธ์แก่เกินกว่าจะมานั่งบริหารประเทศต่อไป ควรให้คนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามานำพาประเทศ จะเกิดประโยชน์กับประชาชนมากกว่า

'นพดล' ชี้!! คนโยง 'เพื่อไทย-ตู้ห่าว' หวังผลทางการเมือง ยัน!! 'อุ๊งอิ๊ง' ไม่เกี่ยวข้อง ขู่!! หากไม่หยุดเจอฟ้องแน่

เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 65 เวลา 11.00 น. ที่พรรคเพื่อไทย นายนพดล ปัทมะ รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคเพื่อไทย (พท.) แถลงว่า จากกรณีที่มีการตั้งข้อกล่าวหาต่อนายหาวเจ๋อตู้ หรือตู้ห่าว นักธุรกิจชาวจีน และพวกว่ามีการกระทำผิดกฎหมายในประเทศไทย และให้ข้อมูลว่ามีกลุ่มทุนต่างชาติกว้านซื้อบ้านในบางโครงการ และพยายามโยงเรื่องนี้มาบิดเบือนใส่ร้ายเพื่อไทย และแกนนำพรรคฯ ให้เสียหายนั้น พรรคฯ ขอชี้แจงว่า กรณีดังกล่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังทำการสืบสวนสอบสวนคดีต่าง ๆ อยู่ในขณะนี้ พรรคเพื่อไทยเห็นว่าเจ้าหน้าที่สามารถดำเนินการตามอำนาจหน้าที่มีอยู่ตามกฎหมายได้อยู่แล้ว เพื่อทำความจริงให้ปรากฏ ซึ่งเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับพรรค พรรคไม่ขัดขวางการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจและขอย้ำว่าเพื่อไทยไม่มีความเกี่ยวข้องกับนายตู้ห่าว และนายตู้ห่าวก็ไม่เคยบริจาคเงินให้พรรคเพื่อไทย ข้อกล่าวหาที่มีต่อผู้ต้องหาก็เกี่ยวเนื่องกับการทำธุรกิจในช่วงเวลาหลายปี

“ที่ผ่านมาที่เพื่อไทยไม่ได้เป็นรัฐบาลซึ่งเป็นเวลาเกือบ 8 ปีแล้ว ดังนั้นหากจะมีการกระทำที่ผิดกฎหมายในช่วงเวลานี้ในประเทศไทย ก็เป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองจะบังคับใช้กฎหมาย และรัฐบาลสามารถไปตรวจสอบว่ามีการประกอบธุรกิจผิดกฎหมายทำนองเดียวกันนี้มากน้อยเพียงใด ซึ่งไม่เกี่ยวกับพรรคเพื่อไทยแต่อย่างใดทั้งสิ้น ดังนั้นอย่าเบี่ยงเบนประเด็น” นายนพดล กล่าว

นายนพดล กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่พยายามโยงว่าชาวต่างชาติกว้านซื้อบ้านในโครงการของบริษัทเอสซี แอสเสท และพาดพิง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ผู้ถือหุ้นในบริษัทนั้น ตนเห็นว่าการพาดพิงและกระจายข่าวต่าง ๆ มีวัตถุประสงค์ทางการเมืองอย่างชัดเจน ขอเรียนว่าน.ส.แพทองธาร ไม่ได้รู้จักกับนายตู้ห่าว และเป็นเพียงผู้ถือหุ้น ไม่ได้เป็นกรรมการบริษัท ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายบ้านให้บุคคลใด ๆ 

นอกจากนั้น บริษัทเอสซี แอสเสท ได้แถลงไปแล้วว่าบริษัทประกอบธุรกิจด้วยความโปร่งใสตามหลักธรรมาภิบาลโดยยึดหลักไม่กระทำผิดกฎหมาย บ้านทุกหลังขายให้คนไทยและนิติบุคคลไทยเท่านั้น และในการชำระค่าบ้าน ผู้ซื้อต้องชำระเงินผ่านธนาคาร ตนขอตั้งเป็นข้อสังเกตว่าทรัพย์สินที่ถูกอายัดของบุคคลกลุ่มนี้ มีบ้าน รถยนต์ และทรัพย์สินที่ซื้อจากหลายโครงการ หลายบริษัท กระจายไป ไม่ใช่ซื้อจากบริษัทเอสซี แอสเสท อย่างเดียว 

“ช่วงเวลานี้ ประเทศกำลังเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง ประชาชนคาดหวังที่จะเห็นพรรคต่าง ๆ นำเสนอนโยบายเพื่อแก้ปัญหาของประชาชน โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจ เพื่อไทยขอเชิญชวนให้ช่วยกันนำเสนอนโยบายและหาทางออกให้ประเทศ และยุติการปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารหรือไอโอที่เป็นการบิดเบือนใส่ร้ายฝ่ายอื่นด้วยความเท็จ ซึ่งประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไร ดังนั้นขอให้พวกที่พยายามตีกินหรือพยายามโยงให้เพื่อไทยเสียหาย ขอให้ยุติการดำเนินการไม่เช่นนั้นเราขอสงวนสิทธิ์ปกป้องเกียรติภูมิและชื่อเสียงของพรรคในกรอบของกฎหมายต่อไป” นายนพดลกล่าว

เมื่อถามว่ามองว่าเป็นการโจมตีทางการเมืองเพื่อหวังผลประโยชน์ในการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ นายนพดล กล่าวว่าตนคิดว่าการบิดเบือนมีวัตถุประสงค์ทางการเมืองค่อนข้างชัดเจน เพื่อไทยเป็นสถาบันทางการเมืองที่พร้อมที่จะต่อสู้กันตามกฎกติกาและการนำเสนอนโยบายแข่งกัน ตนคิดว่าการที่มีการบิดเบือนบุคคลต่าง ๆ ก็พอจะดูออกว่ามีวัตถุประสงค์ทางการเมือง แต่เพื่อไทยสามารถชี้แจงได้ทุกประเด็นและไม่มีอะไรที่จะซ่อนไว้ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top